เกริ่นนนำกันก่อนนะครับ
ผมกับแฟนรู้จักและคบกันมาจนแต่งงาน ถึงวันนี้ก็เข้าปีที่ 12 แล้วครับ
ตอนนี้มีลูกด้วยกัน 1 คน อายุ 10 ขวบ ผมกับแฟนอายุห่างกัน 5 ปีครับ
ช่วงตอนที่คบกันแรกๆ ก็ไม่ได้ราบเรียบอะไรครับ ก็มีทะเลาะกันบ้าง ดีกันบ้างตามประสาคู่รัก
จนมาวันนึงเธอท้อง บอกตามตรงเลยตอนนั้น คิดอะไรไม่ออกเลยครับ เนื่องด้วยจากที่เป็นวัยรุ่นทั้งคู่
ผมเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ยังหางานทำไม่ได้ แต่สุดท้ายก็เข้าหาผู้ใหญ่ และก็แต่งงานกันครับ
แล้วเธอก็ย้ายมาอยู่บ้านผมครับ เนื่องจากทางบ้านเธอเป็นคนมีหน้ามีตาทางสังคมเยอะ
เลยไม่อยากให้คนอื่นมองลูกตัวเองว่าท้องก่อนแต่ง อยู่บ้านผมเธอก็ใช้ชีวิตปกติครับ อยู่บ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียว ไม่ได้ทำงาน
ส่วนผมก็ได้งานทำเริ่มต้นเงินเดือนก็ถือว่าพออยู่ได้ ณ ตอนนั้น
แต่ทำอยู่ได้ไม่นานก็ต้องออก เพราะที่ทำงานย้ายออฟฟิสออกไปอยู่ไกลมาก แต่ก็ยังโชคดีที่หางานที่ใหม่ได้เลย
โดยช่วงเวลาที่เธออยู่บ้าน ผมก็ไม่รู้หรอกครับ ว่าเธอคิดอะไรรู้สึกอะไร ซึ่งจริงๆแล้วคนวัยนี้จะต้องอยู่กับเพื่อนฝูง ได้ไปเที่ยวไหนต่อไหน แต่เธอกลับต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก
** แฟนผมมีลูกตั้งแต่อายุ 20 ซึ่ง ณตอนนั้น ผมว่าเธอยังไม่พร้อมที่จะเป็นแม่คน ส่วนเรื่องเรียน เธอดรอปไว้ 1 เทอม และกลับไปเรียนต่ออีก 1ปี จนจบ**
เธอเรียนจบออกมาเธอก็ไมได้ทำงาน เพราะผมอยากให้เธออยู่บ้านเลี้ยงลูก ส่วนเรื่องเงิน เธอก็ยังได้จากทางบ้านเธอส่วนนึง และผมอีกส่วนนึง อยู่บ้านมีหน้าที่แค่เลี้ยงลูก ไปรับส่งลูกไปโรงเรียนแค่นั้น
ผมลืมบอกไปว่า ผมไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยว ไม่เจ้าชู้ แม้ว่ามีคนพยายามเข้ามาจีบ หรือมาขอคุยด้วยผมก็ปฏิเสธ โดยบอกไปว่าผมมีแฟนแล้ว ติดบ้าน เลิกงานก็รีบดิ่งกลับบ้าน
งานใหม่ที่ผมได้มา ต้องทำงานเลิก 4-5ทุ่ม เดือนละ 2 อาทิตย์ บางทีก็ตี1 ตี2 เสาร์-อาทิตย์ บางทีก็ต้องไปทำ ซึ่งเป็นอยู่อย่างนี้ 8 ปี (ปัจจุบันลาออกมาแล้ว)
ซึ่งมันดูเหมือนว่าเวลาของครอบครับโดนงานดึงไปส่วนหนึ่ง บางทีผมกลับไปก็หลับกันหมดแล้ว ในช่วงเวลาพวกนี้ ใช้ชีวิตก็มีทะเลาะกันบ้าง หนักเบาแล้วแต่เรื่อง
จนมันเริ่มหนักขึ้นเมื่อเธอเริ่มออกมาทำงานเมื่อปลายปี 2554 กลายเป็นเหมือนว่าเธอได้ออกมาเจอสังคมภายนอก ผู้คนมากหน้าหลายตา นับเป็นโลกใบใหม่ของเธอ
ซึ่งตอนเธอสมัครงานตามที่ต่างๆ เธอจะไม่บอกสถานะว่าเธอแต่งงานและมีลูกแล้ว ด้วยเหตุผลที่เธอบอกกับผมว่า กลัวเค้าจะไม่รับเข้าทำงาน
แฟนผมจัดว่าเป็นคนหน้าตาดี การที่เข้าไปทำงานในบริษัทมันจะต้องมีอยู่แล้วที่ว่าจะมีหนุ่มๆมาคุยมาสนใจเป็นธรรมดา ซึ่งคนพวกนั้นก็ไม่รู้ว่าเธอแต่งงานและมีครอบครัวแล้ว
เพราะเธอไม่เคยบอกใคร จนกระทั่งวันนึ่ง มีคนมาจีบเธอ (โดยจริงๆแล้วเธอเป็นคนหัวอ่อน ใครพูดอะไรก็เชื่อเค้าหมด หรือง่ายๆคือไม่ทันคน ซึ่งตรงนี้ทางบ้านเธอเป็นคนบอกผมเอง)
และเธอก็คุยกับเค้าด้วย ซึ่งตรงนี้ผมมารู้จากการที่ผมเข้าไปดู mail เธอ และเห็นข้อความส่งหากัน ณ ตอนที่รู้ตอนนั้นบอกตามตรงเลยครับรู้เลยว่าหน้าชาเป็นยังไง ไม่มีกะจิตกะใจอยากจะทำอะไรทั้งนั้น ทั้งๆที่ผมดีกับเธอมาตลอด แต่เธอกลับมาทำอย่างนี้กับผม
จนผมสืบหาเบอร์ไอ้ผู้ชายคนนั้นได้ก็เลยโทรไปคุย ซึ่งมันบอกว่ามันไม่รู้นี่ว่าเธอแต่งงานมีลูกมีสามีแล้ว เห็นคุยได้ก็เลยคุย ซึ่งโดยจริงๆแล้วไอ้ผู้ชายคนนี้มันก็มีเมียอยู่แล้วเหมือนกัน
บางทีผมคิดนะว่าผมจะโทรไปบอกเมียมัน ว่าสามีคุณมายุ่งกับแฟนผม ให้มันมีปัญหาครอบครัวเหมือนกับที่ผมเจอบ้าง แต่ผมก็ไม่ได้ทำ เพราะเห็นว่าเมียมันท้องอยู่
สุดท้ายก็คุยกันกับมันและตกลงว่ามันจะไม่มายุ่งกับแฟนผมอีก แต่เอาตามความจริงแล้วมันทำไม่ได้หรอกครับ เพราะยังไงก็ยังทำงานที่เดียวกัน ต้องเจอกันทุกวันอยู่แล้ว
ซึ่งตอนที่แฟนผมรู้ว่าผมโทรไปคุยกับไอ้ผู้ชายคนนั้น เธอโมโหมาก หาว่าผมไปโทรไปหาเรื่องเค้า ซึ่งบอกตามตรง ผมมีภาวะความเป็นผู้ใหญ่พอ คุยกันด้วยเหตผลล้วนๆ
เธอบอกเธอจะกลับไปอยู่บ้านเธอ ด้วยเหตุผลที่ว่า ผมไปปิดโอกาศเธอ อ้าวว.....นี่กลายเป็นผมผิดไปซะงั้น แล้วที่คุณแต่งงานและมีลูกกับผมนี่ล่ะ คุณลืมไปแล้วหรือ .!!
ซึ่งในช่วงที่มีปัญหากันอยู่นี่ ผมก็ยังต้องกลับบ้านดึกๆอยู่เหมือนเดิม ก็เลยไม่รู้ว่าเธอกลับบ้านกี่โมง แล้วทำอะไรบ้าง ผมก็อาศัยถามลูกว่าวันนี้แม่กลับบ้านเร็วมั้ย
ความเชื่อใจกันนะตอนนี้บอกตามตรง คงให้เต็ม 100 ไม่ได้เหมือนเดิม
เดี๋ยวมาต่อครับ
คุณจะทำอย่างไรเมื่อมีคู่ชีวิตแบบนี้
ผมกับแฟนรู้จักและคบกันมาจนแต่งงาน ถึงวันนี้ก็เข้าปีที่ 12 แล้วครับ
ตอนนี้มีลูกด้วยกัน 1 คน อายุ 10 ขวบ ผมกับแฟนอายุห่างกัน 5 ปีครับ
ช่วงตอนที่คบกันแรกๆ ก็ไม่ได้ราบเรียบอะไรครับ ก็มีทะเลาะกันบ้าง ดีกันบ้างตามประสาคู่รัก
จนมาวันนึงเธอท้อง บอกตามตรงเลยตอนนั้น คิดอะไรไม่ออกเลยครับ เนื่องด้วยจากที่เป็นวัยรุ่นทั้งคู่
ผมเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ยังหางานทำไม่ได้ แต่สุดท้ายก็เข้าหาผู้ใหญ่ และก็แต่งงานกันครับ
แล้วเธอก็ย้ายมาอยู่บ้านผมครับ เนื่องจากทางบ้านเธอเป็นคนมีหน้ามีตาทางสังคมเยอะ
เลยไม่อยากให้คนอื่นมองลูกตัวเองว่าท้องก่อนแต่ง อยู่บ้านผมเธอก็ใช้ชีวิตปกติครับ อยู่บ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียว ไม่ได้ทำงาน
ส่วนผมก็ได้งานทำเริ่มต้นเงินเดือนก็ถือว่าพออยู่ได้ ณ ตอนนั้น
แต่ทำอยู่ได้ไม่นานก็ต้องออก เพราะที่ทำงานย้ายออฟฟิสออกไปอยู่ไกลมาก แต่ก็ยังโชคดีที่หางานที่ใหม่ได้เลย
โดยช่วงเวลาที่เธออยู่บ้าน ผมก็ไม่รู้หรอกครับ ว่าเธอคิดอะไรรู้สึกอะไร ซึ่งจริงๆแล้วคนวัยนี้จะต้องอยู่กับเพื่อนฝูง ได้ไปเที่ยวไหนต่อไหน แต่เธอกลับต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก
** แฟนผมมีลูกตั้งแต่อายุ 20 ซึ่ง ณตอนนั้น ผมว่าเธอยังไม่พร้อมที่จะเป็นแม่คน ส่วนเรื่องเรียน เธอดรอปไว้ 1 เทอม และกลับไปเรียนต่ออีก 1ปี จนจบ**
เธอเรียนจบออกมาเธอก็ไมได้ทำงาน เพราะผมอยากให้เธออยู่บ้านเลี้ยงลูก ส่วนเรื่องเงิน เธอก็ยังได้จากทางบ้านเธอส่วนนึง และผมอีกส่วนนึง อยู่บ้านมีหน้าที่แค่เลี้ยงลูก ไปรับส่งลูกไปโรงเรียนแค่นั้น
ผมลืมบอกไปว่า ผมไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยว ไม่เจ้าชู้ แม้ว่ามีคนพยายามเข้ามาจีบ หรือมาขอคุยด้วยผมก็ปฏิเสธ โดยบอกไปว่าผมมีแฟนแล้ว ติดบ้าน เลิกงานก็รีบดิ่งกลับบ้าน
งานใหม่ที่ผมได้มา ต้องทำงานเลิก 4-5ทุ่ม เดือนละ 2 อาทิตย์ บางทีก็ตี1 ตี2 เสาร์-อาทิตย์ บางทีก็ต้องไปทำ ซึ่งเป็นอยู่อย่างนี้ 8 ปี (ปัจจุบันลาออกมาแล้ว)
ซึ่งมันดูเหมือนว่าเวลาของครอบครับโดนงานดึงไปส่วนหนึ่ง บางทีผมกลับไปก็หลับกันหมดแล้ว ในช่วงเวลาพวกนี้ ใช้ชีวิตก็มีทะเลาะกันบ้าง หนักเบาแล้วแต่เรื่อง
จนมันเริ่มหนักขึ้นเมื่อเธอเริ่มออกมาทำงานเมื่อปลายปี 2554 กลายเป็นเหมือนว่าเธอได้ออกมาเจอสังคมภายนอก ผู้คนมากหน้าหลายตา นับเป็นโลกใบใหม่ของเธอ
ซึ่งตอนเธอสมัครงานตามที่ต่างๆ เธอจะไม่บอกสถานะว่าเธอแต่งงานและมีลูกแล้ว ด้วยเหตุผลที่เธอบอกกับผมว่า กลัวเค้าจะไม่รับเข้าทำงาน
แฟนผมจัดว่าเป็นคนหน้าตาดี การที่เข้าไปทำงานในบริษัทมันจะต้องมีอยู่แล้วที่ว่าจะมีหนุ่มๆมาคุยมาสนใจเป็นธรรมดา ซึ่งคนพวกนั้นก็ไม่รู้ว่าเธอแต่งงานและมีครอบครัวแล้ว
เพราะเธอไม่เคยบอกใคร จนกระทั่งวันนึ่ง มีคนมาจีบเธอ (โดยจริงๆแล้วเธอเป็นคนหัวอ่อน ใครพูดอะไรก็เชื่อเค้าหมด หรือง่ายๆคือไม่ทันคน ซึ่งตรงนี้ทางบ้านเธอเป็นคนบอกผมเอง)
และเธอก็คุยกับเค้าด้วย ซึ่งตรงนี้ผมมารู้จากการที่ผมเข้าไปดู mail เธอ และเห็นข้อความส่งหากัน ณ ตอนที่รู้ตอนนั้นบอกตามตรงเลยครับรู้เลยว่าหน้าชาเป็นยังไง ไม่มีกะจิตกะใจอยากจะทำอะไรทั้งนั้น ทั้งๆที่ผมดีกับเธอมาตลอด แต่เธอกลับมาทำอย่างนี้กับผม
จนผมสืบหาเบอร์ไอ้ผู้ชายคนนั้นได้ก็เลยโทรไปคุย ซึ่งมันบอกว่ามันไม่รู้นี่ว่าเธอแต่งงานมีลูกมีสามีแล้ว เห็นคุยได้ก็เลยคุย ซึ่งโดยจริงๆแล้วไอ้ผู้ชายคนนี้มันก็มีเมียอยู่แล้วเหมือนกัน
บางทีผมคิดนะว่าผมจะโทรไปบอกเมียมัน ว่าสามีคุณมายุ่งกับแฟนผม ให้มันมีปัญหาครอบครัวเหมือนกับที่ผมเจอบ้าง แต่ผมก็ไม่ได้ทำ เพราะเห็นว่าเมียมันท้องอยู่
สุดท้ายก็คุยกันกับมันและตกลงว่ามันจะไม่มายุ่งกับแฟนผมอีก แต่เอาตามความจริงแล้วมันทำไม่ได้หรอกครับ เพราะยังไงก็ยังทำงานที่เดียวกัน ต้องเจอกันทุกวันอยู่แล้ว
ซึ่งตอนที่แฟนผมรู้ว่าผมโทรไปคุยกับไอ้ผู้ชายคนนั้น เธอโมโหมาก หาว่าผมไปโทรไปหาเรื่องเค้า ซึ่งบอกตามตรง ผมมีภาวะความเป็นผู้ใหญ่พอ คุยกันด้วยเหตผลล้วนๆ
เธอบอกเธอจะกลับไปอยู่บ้านเธอ ด้วยเหตุผลที่ว่า ผมไปปิดโอกาศเธอ อ้าวว.....นี่กลายเป็นผมผิดไปซะงั้น แล้วที่คุณแต่งงานและมีลูกกับผมนี่ล่ะ คุณลืมไปแล้วหรือ .!!
ซึ่งในช่วงที่มีปัญหากันอยู่นี่ ผมก็ยังต้องกลับบ้านดึกๆอยู่เหมือนเดิม ก็เลยไม่รู้ว่าเธอกลับบ้านกี่โมง แล้วทำอะไรบ้าง ผมก็อาศัยถามลูกว่าวันนี้แม่กลับบ้านเร็วมั้ย
ความเชื่อใจกันนะตอนนี้บอกตามตรง คงให้เต็ม 100 ไม่ได้เหมือนเดิม
เดี๋ยวมาต่อครับ