สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
ผมอธิบายตามที่ผมเข้าใจนะ
มีสติตามรู้กาย ตามรู้ใจ ตามความเป็นจริง
ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด ให้มีสติครับ
เพื่อให้อยู่ในปัจจุบันขณะ
และเมื่อมีสติ อันเป็นพื้นฐานของศีล
ก็จะไม่ไปทำชั่วทางกาย ทางวาจา คือ เว้นจากการทำชั่วครับ
มีสตินี้ ไม่สามารถทำได้ "ตลอดเวลา" ในปุถุชนนะครับ
ก็มีเผลอบ้าง รู้บ้าง ให้รู้ไปตามสบาย
ถ้ามีสติตลอดนี่เป็นการเพ่งครับ จิตมันจะแข็งๆ เป็นสมถะ
การมีสติ ตามรู้กาย ใจ ตามความเป็นจริง
จะทำให้เราเป็น "ผู้เฝ้าดู" ครับ
ผู้เฝ้าดู หรือ ผู้รู้นี้ จะเป็นคนละส่วนกับ "สิ่งที่ถูกรู้" ครับ
เพราะเดิมทีเดียว เราจะเห็นว่ากายนี้เป็นเรา ใจนี้เป็นเรา
พอเรามีสติ แยกเป็นผู้รู้
ตามรู้กาย ตามรู้ใจ
กายและใจ จะเป็นคนละส่วนกันกับผู้รู้ครับ
นี่คือ แยกธาตุแยกขันธุ์แล้ว
แล้วค่อยแยกตามความถนัดไป
จะแยกขันธุ์ไปเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ก็ตามแต่จริตนิสัย หรือ แยกเป็นธาตุต่างๆก็ตามภูมิธรรม ต่างกันไป
มีสติเห็นตามจริงบ่อยๆ
มันจะแยกธาตุขันธุ์ของมันเองครับ
แรกๆอาจต้อง "คิด" ช่วยแยกธาตุขันธุ์ไปก่อนครับ
แล้วเราแยกธาตุขันธุ์ไปเพื่ออะไร ?
เพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ในกาย ในใจครับ
กายนี้ ใจนี้ ตกอยู่ใต้ความเปลี่ยนแปลง
ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และ ควบคุมบังคับไม่ได้จริง
ในชั้นนี้ จะเป็นขั้นต้นของการเริ่มเดินปัญญาครับ
ให้จิตเห็นความจริงนี้ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า จนใจมันยอมรับ
พอปัญญาแก่รอบ มันจะวางของมันเอง
กายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงของชั่วคราว เป็นธาตุมาประชุมกัน
อาศัยเพียงชั่วเวลาหนึ่ง ก็ต้องสละทิ้งจากไป
ใจนี้ก็เป็นเพียงการไปรับรู้อารมณ์ ทั้งรัก โลภ โกรธ หลง ดี ชั่ว
เพียงชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนแปลงเกิด-ดับ สลับกันไป
รู้ตัวเฉยๆ จึงต่างกับขั้นที่แยกธาตุ แยกขันธุ์
ตรงที่ยังไม่เป็นการเดินปัญญา ในขั้นวิปัสสนาญาณครับ
ขอให้เจริญในปัญญาครับ ^_^
ปล.จะมีวิธีที่เรียกว่า "วิภัชวิธี" คือแยกของเป็นส่วนๆครับ
แล้วสภาพเดิมมันจะหมดไป ให้เราเห็นความจริงแท้
อย่างเช่น การแยกรถยนต์เป็นชิ้นส่วนทั้งหมด
ส่วนใดส่วนหนึ่งก็ไม่เป็นรถยนต์ เป็นเหล็ก เป็นฟองน้ำ เป็นพลาสติก ต่างๆ
พอมันประกอบกันเข้า เราก็สมมุติเรียกมันว่า "รถยนต์"
ซึ่งโดยเนื้อแท้มันไม่เป็นอะไรทั้งนั้น แต่เราไปสมมุติว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมาเอง
ร่างกายและจิตใจเราก็เช่นกันครับ
มันประกอบขึ้นมาจากหลายๆสิ่ง
แล้วเราไปติดสมมุติของมัน ว่าเป็นของดีของวิเศษ
เห็นผิดกันมาหลายกัปป์กัลป์ มาชาตินี้เราจึงเพียรทำให้เกิด "สัมมมาทิฐฎิ"
เพื่อให้จิตแจ้งในความจริงนี้ครับ
(ส่วนที่เสริมมีเพียงเท่านี้ครับ น้อมให้พิจารณาดูครับ)
มีสติตามรู้กาย ตามรู้ใจ ตามความเป็นจริง
ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด ให้มีสติครับ
เพื่อให้อยู่ในปัจจุบันขณะ
และเมื่อมีสติ อันเป็นพื้นฐานของศีล
ก็จะไม่ไปทำชั่วทางกาย ทางวาจา คือ เว้นจากการทำชั่วครับ
มีสตินี้ ไม่สามารถทำได้ "ตลอดเวลา" ในปุถุชนนะครับ
ก็มีเผลอบ้าง รู้บ้าง ให้รู้ไปตามสบาย
ถ้ามีสติตลอดนี่เป็นการเพ่งครับ จิตมันจะแข็งๆ เป็นสมถะ
การมีสติ ตามรู้กาย ใจ ตามความเป็นจริง
จะทำให้เราเป็น "ผู้เฝ้าดู" ครับ
ผู้เฝ้าดู หรือ ผู้รู้นี้ จะเป็นคนละส่วนกับ "สิ่งที่ถูกรู้" ครับ
เพราะเดิมทีเดียว เราจะเห็นว่ากายนี้เป็นเรา ใจนี้เป็นเรา
พอเรามีสติ แยกเป็นผู้รู้
ตามรู้กาย ตามรู้ใจ
กายและใจ จะเป็นคนละส่วนกันกับผู้รู้ครับ
นี่คือ แยกธาตุแยกขันธุ์แล้ว
แล้วค่อยแยกตามความถนัดไป
จะแยกขันธุ์ไปเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ก็ตามแต่จริตนิสัย หรือ แยกเป็นธาตุต่างๆก็ตามภูมิธรรม ต่างกันไป
มีสติเห็นตามจริงบ่อยๆ
มันจะแยกธาตุขันธุ์ของมันเองครับ
แรกๆอาจต้อง "คิด" ช่วยแยกธาตุขันธุ์ไปก่อนครับ
แล้วเราแยกธาตุขันธุ์ไปเพื่ออะไร ?
เพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ในกาย ในใจครับ
กายนี้ ใจนี้ ตกอยู่ใต้ความเปลี่ยนแปลง
ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และ ควบคุมบังคับไม่ได้จริง
ในชั้นนี้ จะเป็นขั้นต้นของการเริ่มเดินปัญญาครับ
ให้จิตเห็นความจริงนี้ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า จนใจมันยอมรับ
พอปัญญาแก่รอบ มันจะวางของมันเอง
กายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงของชั่วคราว เป็นธาตุมาประชุมกัน
อาศัยเพียงชั่วเวลาหนึ่ง ก็ต้องสละทิ้งจากไป
ใจนี้ก็เป็นเพียงการไปรับรู้อารมณ์ ทั้งรัก โลภ โกรธ หลง ดี ชั่ว
เพียงชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนแปลงเกิด-ดับ สลับกันไป
รู้ตัวเฉยๆ จึงต่างกับขั้นที่แยกธาตุ แยกขันธุ์
ตรงที่ยังไม่เป็นการเดินปัญญา ในขั้นวิปัสสนาญาณครับ
ขอให้เจริญในปัญญาครับ ^_^
ปล.จะมีวิธีที่เรียกว่า "วิภัชวิธี" คือแยกของเป็นส่วนๆครับ
แล้วสภาพเดิมมันจะหมดไป ให้เราเห็นความจริงแท้
อย่างเช่น การแยกรถยนต์เป็นชิ้นส่วนทั้งหมด
ส่วนใดส่วนหนึ่งก็ไม่เป็นรถยนต์ เป็นเหล็ก เป็นฟองน้ำ เป็นพลาสติก ต่างๆ
พอมันประกอบกันเข้า เราก็สมมุติเรียกมันว่า "รถยนต์"
ซึ่งโดยเนื้อแท้มันไม่เป็นอะไรทั้งนั้น แต่เราไปสมมุติว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมาเอง
ร่างกายและจิตใจเราก็เช่นกันครับ
มันประกอบขึ้นมาจากหลายๆสิ่ง
แล้วเราไปติดสมมุติของมัน ว่าเป็นของดีของวิเศษ
เห็นผิดกันมาหลายกัปป์กัลป์ มาชาตินี้เราจึงเพียรทำให้เกิด "สัมมมาทิฐฎิ"
เพื่อให้จิตแจ้งในความจริงนี้ครับ
(ส่วนที่เสริมมีเพียงเท่านี้ครับ น้อมให้พิจารณาดูครับ)
แสดงความคิดเห็น
แยกธาตุ แยกขันธุ์ ตามที่หลวงพ่อปราโมทย์สอน คืออย่างไรครับ ต่างจากการรู้ตัวอย่างไร
แต่แยกธาตุแยกขันธุ์ตามที่หลวงพ่อปราโมทย์สอน แตกต่างจากการรู้ตัว อย่างไรครับ
มือใหม่หัดภาวนาขอคำแนะนำ ขอคำอธิบายเป็นภาษาชาวบ้านๆ ไม่ต้องยกบาลีมานะครับ ผมยังไม่เก่ง