[เรื่องสั้น]
สวัสดีครับชาวพันทิป กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผม
ผมตั้งใจเขียนถึงคนรักของผมครับ ผมคิดอยู่นานว่าควรจะแชร์ความรู้สึกนี้ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คดีไหม
คนรักของผมเค้าฝันอยากเป็นนักเขียนครับ อีกอย่างเธอชอบเขียนไดอารี่ ไดอารี่ของเธอไม่เหมือนใคร
เธอเขียนไดอารี่จดหมาย ในยุคสมัยที่คนส่วนใหญ่หันมาบันทึกสิ่งต่างๆ ผ่านเทคโนโลยีกันไปค่อนโลกแล้วนี่ละครับ
เธอว่าแบบนี้โรแมนติกดี ถึงจะเขียนให้ตัวเองก็ตาม ผมเดาว่าคงมาจากหนังรักสองเรื่องโปรดของเธอ
ทั้ง The Classic และ The Letter
เช่นนั้นผมขออนุญาติเขียนผ่านกระทู้นี้ให้เป็นเหมือนจดหมายส่งไปให้ถึงเธอ
ถ้าหนังภาคต่อของ The Letter เป็น Timeline ของผมขอเป็น Thread ที่แปลว่ากระทู้แล้วกันครับ
ผมว่าเธอคงมีความสุขที่ผมทำสิ่งนี้ให้เธอ ถ้าเธอมีโอกาสได้อ่าน
The thread หนังของผมเรื่องนี้ไม่พิเศษ แถมยังเรียบง่ายและแสนธรรมดากว่าเรื่องราวของหลายๆ ท่าน
แต่ผมก็ยังอยากเขียนครับ มาเริ่มกันเลยดีกว่า
ตกหลุมรักแรก...
เราเจอกันครั้งแรกบนเครื่องบินไฟล์ท 15.15 น. ของวันที่ 10 มกราคม ปี 2552
เราได้นั่งแถวเดียวกัน มีที่ว่างขั้นกลางระหว่างเราหนึ่งเบาะที่นั่ง เธอนั่งริมทางเดิน ส่วนผมริมหน้าต่าง
ตลอดการเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมงนั้น เธอแค่ฟังเพลงและหลับตา... แค่หลับตา
ผมแอบมองเธอ รู้สึกราวกับว่าเธอกำลังเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน
เธอแค่ต้องการหลับตาอยู่ในโลกที่ไร้ซึ่งผู้คน โลกที่สงบเงียบ เพื่อหนีจากสิ่งที่เธอกำลังเผชิญอยู่
ผมมองเธออยู่อย่างนั้น เธอไม่ใช่คนสวยเลยครับ ออกจะธรรมดามากๆ ด้วยซ้ำไป
แต่ไม่รู้ทำไมผมอยากมองเธออยู่อย่างนั้น อยากเข้าไปลูบหัวเธอเบาๆ แล้วบอกเธอว่า
"ไม่เป็นไรนะ ผมจะช่วยจับมือคุณไว้ จะอยู่ตรงนี้ จะไม่ไปไหน"... ผมตกหลุมรักครับ
ตกหลุมรักครั้งที่สอง...
เราชอบคุยกันเรื่องสัพเพเหระกันเรื่อยเปื่อยตามประสาคนรักเหมือนคู่รักทั่วไป
แต่เธอไม่ค่อยพูดถึงเรื่องราวของตัวเองมากนัก แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอเคยเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับการเรียนของเธอ
ตอนผมเจอเธอครั้งแรกเธออายุ 23 ปี เธอยังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 1 อยู่เลยครับ ...นี่ทำให้ผมตกหลุมรักเธอ
แปลกใจไหมครับ ทำไมผมถึงตกหลุมรักสิ่งมีชีวิตที่เรียนไม่จบซักที
ในยุคที่แทบทุกคนตัดสินกันด้วยอย่างแรกหน้าตา และอย่างที่สองใบวุฒิการศึกษา
เธอบอกกับผมว่า ตอนเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ตอนนั้นเธอเริ่มมีความคิดว่า
คนที่ประสบความสำเร็จมีวิถีทางเดินที่แตกต่างกัน เธอเริ่มเห็นว่ามีหลายคนประสบความสำเร็จได้โดยไม่ใช้แม้แต่ใบปริญญา
เธอว่าตอนนั้นเธอสับสนและไร้จุดหมาย เธอไม่รู้ว่าจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยทำไม ในเมื่อเธออยากเป็นนักเขียน
เธอเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองและครอบครัวว่า นักเขียนต้องใช้ใบปริญญาไหม แต่เธอก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยครับ
เพราะเธอไม่มีจุดมุ่งหมายในการเรียนและไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรกันแน่ ทำให้เธอย้ายมหาวิทยาลัยถึง 5 ครั้ง
จนตอนนี้เธอบอกผมว่า ลึกๆ แล้วเธอไม่อยากได้ใบปริญญาและอยากพิสูจน์ แต่อีกใจเธอเริ่มหวั่นว่าเธอนั่นคิดผิด
เธอถึงยังเลือกเรียนกับรูปแบบที่เธอคิดว่าเหมาะสมกับเธอ เธอบอกว่าถึงแม้ชีวิตตอนนี้ เธอเหมือนกับคนที่ล้มเหลว
เรียนไม่จบ ไม่มีงานทำ แต่ใจหนึ่งเธอเชื่อว่า แค่เธอยังไม่เจอสิ่งที่ใช่และอยากทำมันจริงๆ เท่านั้น
วันหนึ่งหากเธอพบมัน เธอแอบบอกแบบอายๆ ว่า เธอจะเป็นหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่มีความสุขและคุ้มที่สุดคนหนึ่งในโลก
เพราะอีกฝันหนึ่งของเธอคือการเดินทางคนเดียวรอบโลก แล้วตอนนี้เธอก็ได้อิสระอย่างที่เธอชอบ
และได้เริ่มทำมันแล้วไปทีละก้าว และเธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งในโลกที่กล้าออกเดินทางคนเดียว
ผมหลงรักเรื่องราวของเธอที่ไม่เหมือนใคร ถึงเธอจะไม่แน่ใจว่าผมอาจเป็นคนประเภทต้องเดินตามกฏ
ผมอาจจะมองเรื่องของเธอเป็นเรื่องแย่และแลดูล้มเหลว แต่เธอกลับเล่าให้ผมฟังอย่างภูมิใจ
...แบบนี้จะไม่ให้ผมตกหลุมรักอีกครั้งได้ยังไงกันครับ
ตกหลุกรักครั้งที่สาม...
นิสัยของเธอมีทั้งที่ดี ทั้งที่ไม่ดี ทั้งที่แปลก เหมือนมนุษย์ทั่วไปครับ
ในเรื่องนี้เราเรียนรู้กันไป หัวเราะบ้าง เตือนบ้างกับข้อเสียของแต่ละฝ่าย
นิสัยของเราไม่มีปัญหาเรื่องการคบกันเลย ดังนั้นการตกหลุมรักครั้งที่สามไม่ใช่เพราะนิสัยทั่วไปของเธอแน่นอนครับ
แต่เป็นนิสัยเรื่องการถ่ายภาพ ขอบอกก่อนว่าผมชอบถ่ายภาพครับ ผมเรียนรู้ทฤษฎีมาพอสมควร เราสองคนชอบถ่ายภาพเหมือนกัน
สเน่ของเธอคือเธอเลือกใช้กล้องฟิล์ม ถ่ายไปจนครบ 36 ภาพ กว่าจะได้เห็นภาพ เป็นอย่างผมนี่ทนไม่ไหวแล้วครับ
เธอบอกเหตุผลที่ชอบกล้องฟิล์ม เป็นเพราะเธอตื่นเต้นทุกครั้งที่กดชัตเตอร์ การไปรอล้างฟิล์มแต่ละครั้งก็ต้องใช้เวลา
เธอจะได้หาเรื่องให้ตัวเองไปนั่งร้านกาแฟ ดื่มเครื่องดื่มร้อนๆ สักแก้ว สะสมความตื่นเต้นไปเรื่อยๆ
จนกระทั้งตอนที่ไปรับรูป ได้เห็นรูปที่ตัวเองถ่าย เธอว่าตอนนั้นละยิ่งตื่นเต้นเลย
"นี่ถ้าหัวใจออกมาเต้นข้างนอกได้ คงออกมาเต้นระบำชาชะช่าไปแล้ว"
ฟังเธอเล่าในสิ่งที่เธอรักอย่างออกท่าออกทางแล้วอดยิ้มไม่ได้
อีกเหตุผลที่เธอชอบกล้องฟิล์มเป็นเพราะภาพฟิล์มสวยธรรมชาติแบบที่เธอไม่ต้องแต่งครับ เธอว่ามันเรียบง่ายแต่ก็งดงามดี
คงเป็นเพราะผมชอบถ่ายรูป พอเห็นเธอมีความสุขกับการถ่ายภาพ ผมเลยตกหลุมรักเธอครั้งที่สาม
แต่ขอมีที่สามจุดห้าละกันครับ เธอไม่ถ่ายรูปตามทฤษฎี
อันที่เธอเห็นว่าสวย ถูกใจตัวเองแล้ว นั่นคือรูปภาพที่สวยสำหรับเธอครับ
เธอว่าเธอความจำไม่ค่อยดี ทฤษฎีจำไม่ค่อยจะได้
เป็นที่หงุดหงิดใจกับจอมทฤษฎีในการกดชัตเตอร์แต่ละภาพอย่างผมที่เดียว
...แต่เพราะแบบนี้ละครับถึงเป็นสามจุดห้า คนรักที่ต่างจากเราบ้างก็กลมๆ ดี
ตกหลุมรักครั้งที่สี่...
ไดอารี่จดหมายของเธอ เท่านี้ละครับข้อนี้ ผมว่ามันน่ารักดี
คนอะไรส่งจดหมายปิดผนึกให้ตัวเอง จ่าหน้าซองถึงตัวเอง รับด้วยตัวเองและไม่เปิดอ่าน
ผมละอยากรู้เหลือเกินว่า ในไดอารี่เหล่านั้นมีข้อความว่าอะไรบ้าง
จะมีข้อความที่เขียนถึงผมบ้างรึเปล่า น่าแอบหยิบมาเปิดอ่านสักฉบับสองฉบับไหมละครับ
ตกหลุมรักครั้งที่ห้า...
ผมอ่านจดหมายของเธอ...
ไดอารี่เหล่านั้นถูกแพ็คใส่กล่องวางอยู่ตรงหัวเตียงตรงที่ผมลืมตาขึ้น
ผมค่อยๆ เปิดอ่านทีละฉบับ
ผมบรรจงอ่านแต่ละตัวอักษรให้เหมือนกับที่เธอบรรจงเขียนไว้อย่างเป็นระเบียบ
ผมค่อยๆ ตกหลุมรักเธอมากขึ้น จากที่รักมากเป็นมากขึ้นกว่าเดิม
เรื่องราวทั้งทุกข์และสุขของเธอในจดหมาย เหมือนกับว่าผมอยู่ตรงนั้นกับเธอจริงๆ
บางอย่างเกี่ยวกับเธอที่ผมไม่เคยรู้
บางสถานที่ที่ผมและเธอเคยไปด้วยกัน ทำให้ความทรงจำดีดีเหล่านั้นหวนคืนมาอีกครั้ง
มันยิ่งทำให้... จุก
เธอไม่เคยบอกรักผมเลยสักครั้งเดียว...
จดหมายฉบับสุดท้าย ไม่มีตราไปรษณีย์ เป็นฉบับเดียวที่ไม่ถูกส่ง
มันจ่าหน้าซองถึงผม...
ผมค่อยๆ คลี่กระดาษถนอมสายตาสีน้ำตาลอ่อนแผ่นนั้น
20 กรกฎาคม 2557
'ขอบคุณความรัก'
ปัณณ.
ผมตกหลุมรักเธอครั้งสุดท้าย...
ผมและเธอได้แต่งงานและจดทะเบียนสมรสกันในวันที่ 28 มกราคม 2557
หลังจากนั้นวันที่ 19 กรกฎาคม 2557 ผมเกิดอาการไตวายเฉียบพลัน
ภรรยาของผมได้บริจาคไตข้างหนึ่งให้กับผมอย่างถูกต้องตามกฏหมาย
25 กรกฎาคม 2557 เธอคงเหนื่อยมากจริงๆ ผมนั่งอยู่บนรถเข็นข้างๆ เธอ
ผมมองไปที่ใบหน้าของเธอและอยากมองเธออยู่อย่างนั้นเหมือนครั้งแรกที่เราพบกัน
เธอหลับตาเหมือนเดิม แตกต่างกันตรงที่วันนี้เธอดูสบายใจกว่าวันนั้นมาก
ผมค่อยๆ จับหูฟังเข้าไปในใบหูทั้งสองข้างของเธอ เปิดเพลง Always with me ที่เธอชอบ...
ครั้งนี้ผมค่อยๆ ใช้มือลูบหัวเธออย่างอ่อนโยน แล้วบอกเธอว่า
"ผมก็คิดแบบนั้น คำว่ารักไม่จำเป็นเลย ในเมื่อคุณรู้ใจผม ผมก็รู้ใจคุณ
คุณไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้ ทั้งพ่อและแมวของคุณ
ความฝันของคุณ ผมจะดูแลมันเอง
อ่อ.. ยังมีไตของคุณอีกนะ ผมจะดูแลมันเอง"
เพราะผมดันตกหลุมรักคุณไปตั้งห้าครั้งนี่นา...
5 ครั้งที่ผมตกหลุมรักคุณ
สวัสดีครับชาวพันทิป กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผม
ผมตั้งใจเขียนถึงคนรักของผมครับ ผมคิดอยู่นานว่าควรจะแชร์ความรู้สึกนี้ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คดีไหม
คนรักของผมเค้าฝันอยากเป็นนักเขียนครับ อีกอย่างเธอชอบเขียนไดอารี่ ไดอารี่ของเธอไม่เหมือนใคร
เธอเขียนไดอารี่จดหมาย ในยุคสมัยที่คนส่วนใหญ่หันมาบันทึกสิ่งต่างๆ ผ่านเทคโนโลยีกันไปค่อนโลกแล้วนี่ละครับ
เธอว่าแบบนี้โรแมนติกดี ถึงจะเขียนให้ตัวเองก็ตาม ผมเดาว่าคงมาจากหนังรักสองเรื่องโปรดของเธอ
ทั้ง The Classic และ The Letter
เช่นนั้นผมขออนุญาติเขียนผ่านกระทู้นี้ให้เป็นเหมือนจดหมายส่งไปให้ถึงเธอ
ถ้าหนังภาคต่อของ The Letter เป็น Timeline ของผมขอเป็น Thread ที่แปลว่ากระทู้แล้วกันครับ
ผมว่าเธอคงมีความสุขที่ผมทำสิ่งนี้ให้เธอ ถ้าเธอมีโอกาสได้อ่าน
The thread หนังของผมเรื่องนี้ไม่พิเศษ แถมยังเรียบง่ายและแสนธรรมดากว่าเรื่องราวของหลายๆ ท่าน
แต่ผมก็ยังอยากเขียนครับ มาเริ่มกันเลยดีกว่า
ตกหลุมรักแรก...
เราเจอกันครั้งแรกบนเครื่องบินไฟล์ท 15.15 น. ของวันที่ 10 มกราคม ปี 2552
เราได้นั่งแถวเดียวกัน มีที่ว่างขั้นกลางระหว่างเราหนึ่งเบาะที่นั่ง เธอนั่งริมทางเดิน ส่วนผมริมหน้าต่าง
ตลอดการเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมงนั้น เธอแค่ฟังเพลงและหลับตา... แค่หลับตา
ผมแอบมองเธอ รู้สึกราวกับว่าเธอกำลังเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน
เธอแค่ต้องการหลับตาอยู่ในโลกที่ไร้ซึ่งผู้คน โลกที่สงบเงียบ เพื่อหนีจากสิ่งที่เธอกำลังเผชิญอยู่
ผมมองเธออยู่อย่างนั้น เธอไม่ใช่คนสวยเลยครับ ออกจะธรรมดามากๆ ด้วยซ้ำไป
แต่ไม่รู้ทำไมผมอยากมองเธออยู่อย่างนั้น อยากเข้าไปลูบหัวเธอเบาๆ แล้วบอกเธอว่า
"ไม่เป็นไรนะ ผมจะช่วยจับมือคุณไว้ จะอยู่ตรงนี้ จะไม่ไปไหน"... ผมตกหลุมรักครับ
ตกหลุมรักครั้งที่สอง...
เราชอบคุยกันเรื่องสัพเพเหระกันเรื่อยเปื่อยตามประสาคนรักเหมือนคู่รักทั่วไป
แต่เธอไม่ค่อยพูดถึงเรื่องราวของตัวเองมากนัก แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอเคยเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับการเรียนของเธอ
ตอนผมเจอเธอครั้งแรกเธออายุ 23 ปี เธอยังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 1 อยู่เลยครับ ...นี่ทำให้ผมตกหลุมรักเธอ
แปลกใจไหมครับ ทำไมผมถึงตกหลุมรักสิ่งมีชีวิตที่เรียนไม่จบซักที
ในยุคที่แทบทุกคนตัดสินกันด้วยอย่างแรกหน้าตา และอย่างที่สองใบวุฒิการศึกษา
เธอบอกกับผมว่า ตอนเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ตอนนั้นเธอเริ่มมีความคิดว่า
คนที่ประสบความสำเร็จมีวิถีทางเดินที่แตกต่างกัน เธอเริ่มเห็นว่ามีหลายคนประสบความสำเร็จได้โดยไม่ใช้แม้แต่ใบปริญญา
เธอว่าตอนนั้นเธอสับสนและไร้จุดหมาย เธอไม่รู้ว่าจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยทำไม ในเมื่อเธออยากเป็นนักเขียน
เธอเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองและครอบครัวว่า นักเขียนต้องใช้ใบปริญญาไหม แต่เธอก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยครับ
เพราะเธอไม่มีจุดมุ่งหมายในการเรียนและไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรกันแน่ ทำให้เธอย้ายมหาวิทยาลัยถึง 5 ครั้ง
จนตอนนี้เธอบอกผมว่า ลึกๆ แล้วเธอไม่อยากได้ใบปริญญาและอยากพิสูจน์ แต่อีกใจเธอเริ่มหวั่นว่าเธอนั่นคิดผิด
เธอถึงยังเลือกเรียนกับรูปแบบที่เธอคิดว่าเหมาะสมกับเธอ เธอบอกว่าถึงแม้ชีวิตตอนนี้ เธอเหมือนกับคนที่ล้มเหลว
เรียนไม่จบ ไม่มีงานทำ แต่ใจหนึ่งเธอเชื่อว่า แค่เธอยังไม่เจอสิ่งที่ใช่และอยากทำมันจริงๆ เท่านั้น
วันหนึ่งหากเธอพบมัน เธอแอบบอกแบบอายๆ ว่า เธอจะเป็นหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่มีความสุขและคุ้มที่สุดคนหนึ่งในโลก
เพราะอีกฝันหนึ่งของเธอคือการเดินทางคนเดียวรอบโลก แล้วตอนนี้เธอก็ได้อิสระอย่างที่เธอชอบ
และได้เริ่มทำมันแล้วไปทีละก้าว และเธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งในโลกที่กล้าออกเดินทางคนเดียว
ผมหลงรักเรื่องราวของเธอที่ไม่เหมือนใคร ถึงเธอจะไม่แน่ใจว่าผมอาจเป็นคนประเภทต้องเดินตามกฏ
ผมอาจจะมองเรื่องของเธอเป็นเรื่องแย่และแลดูล้มเหลว แต่เธอกลับเล่าให้ผมฟังอย่างภูมิใจ
...แบบนี้จะไม่ให้ผมตกหลุมรักอีกครั้งได้ยังไงกันครับ
ตกหลุกรักครั้งที่สาม...
นิสัยของเธอมีทั้งที่ดี ทั้งที่ไม่ดี ทั้งที่แปลก เหมือนมนุษย์ทั่วไปครับ
ในเรื่องนี้เราเรียนรู้กันไป หัวเราะบ้าง เตือนบ้างกับข้อเสียของแต่ละฝ่าย
นิสัยของเราไม่มีปัญหาเรื่องการคบกันเลย ดังนั้นการตกหลุมรักครั้งที่สามไม่ใช่เพราะนิสัยทั่วไปของเธอแน่นอนครับ
แต่เป็นนิสัยเรื่องการถ่ายภาพ ขอบอกก่อนว่าผมชอบถ่ายภาพครับ ผมเรียนรู้ทฤษฎีมาพอสมควร เราสองคนชอบถ่ายภาพเหมือนกัน
สเน่ของเธอคือเธอเลือกใช้กล้องฟิล์ม ถ่ายไปจนครบ 36 ภาพ กว่าจะได้เห็นภาพ เป็นอย่างผมนี่ทนไม่ไหวแล้วครับ
เธอบอกเหตุผลที่ชอบกล้องฟิล์ม เป็นเพราะเธอตื่นเต้นทุกครั้งที่กดชัตเตอร์ การไปรอล้างฟิล์มแต่ละครั้งก็ต้องใช้เวลา
เธอจะได้หาเรื่องให้ตัวเองไปนั่งร้านกาแฟ ดื่มเครื่องดื่มร้อนๆ สักแก้ว สะสมความตื่นเต้นไปเรื่อยๆ
จนกระทั้งตอนที่ไปรับรูป ได้เห็นรูปที่ตัวเองถ่าย เธอว่าตอนนั้นละยิ่งตื่นเต้นเลย
"นี่ถ้าหัวใจออกมาเต้นข้างนอกได้ คงออกมาเต้นระบำชาชะช่าไปแล้ว"
ฟังเธอเล่าในสิ่งที่เธอรักอย่างออกท่าออกทางแล้วอดยิ้มไม่ได้
อีกเหตุผลที่เธอชอบกล้องฟิล์มเป็นเพราะภาพฟิล์มสวยธรรมชาติแบบที่เธอไม่ต้องแต่งครับ เธอว่ามันเรียบง่ายแต่ก็งดงามดี
คงเป็นเพราะผมชอบถ่ายรูป พอเห็นเธอมีความสุขกับการถ่ายภาพ ผมเลยตกหลุมรักเธอครั้งที่สาม
แต่ขอมีที่สามจุดห้าละกันครับ เธอไม่ถ่ายรูปตามทฤษฎี
อันที่เธอเห็นว่าสวย ถูกใจตัวเองแล้ว นั่นคือรูปภาพที่สวยสำหรับเธอครับ
เธอว่าเธอความจำไม่ค่อยดี ทฤษฎีจำไม่ค่อยจะได้
เป็นที่หงุดหงิดใจกับจอมทฤษฎีในการกดชัตเตอร์แต่ละภาพอย่างผมที่เดียว
...แต่เพราะแบบนี้ละครับถึงเป็นสามจุดห้า คนรักที่ต่างจากเราบ้างก็กลมๆ ดี
ตกหลุมรักครั้งที่สี่...
ไดอารี่จดหมายของเธอ เท่านี้ละครับข้อนี้ ผมว่ามันน่ารักดี
คนอะไรส่งจดหมายปิดผนึกให้ตัวเอง จ่าหน้าซองถึงตัวเอง รับด้วยตัวเองและไม่เปิดอ่าน
ผมละอยากรู้เหลือเกินว่า ในไดอารี่เหล่านั้นมีข้อความว่าอะไรบ้าง
จะมีข้อความที่เขียนถึงผมบ้างรึเปล่า น่าแอบหยิบมาเปิดอ่านสักฉบับสองฉบับไหมละครับ
ตกหลุมรักครั้งที่ห้า...
ผมอ่านจดหมายของเธอ...
ไดอารี่เหล่านั้นถูกแพ็คใส่กล่องวางอยู่ตรงหัวเตียงตรงที่ผมลืมตาขึ้น
ผมค่อยๆ เปิดอ่านทีละฉบับ
ผมบรรจงอ่านแต่ละตัวอักษรให้เหมือนกับที่เธอบรรจงเขียนไว้อย่างเป็นระเบียบ
ผมค่อยๆ ตกหลุมรักเธอมากขึ้น จากที่รักมากเป็นมากขึ้นกว่าเดิม
เรื่องราวทั้งทุกข์และสุขของเธอในจดหมาย เหมือนกับว่าผมอยู่ตรงนั้นกับเธอจริงๆ
บางอย่างเกี่ยวกับเธอที่ผมไม่เคยรู้
บางสถานที่ที่ผมและเธอเคยไปด้วยกัน ทำให้ความทรงจำดีดีเหล่านั้นหวนคืนมาอีกครั้ง
มันยิ่งทำให้... จุก
เธอไม่เคยบอกรักผมเลยสักครั้งเดียว...
จดหมายฉบับสุดท้าย ไม่มีตราไปรษณีย์ เป็นฉบับเดียวที่ไม่ถูกส่ง
มันจ่าหน้าซองถึงผม...
ผมค่อยๆ คลี่กระดาษถนอมสายตาสีน้ำตาลอ่อนแผ่นนั้น
20 กรกฎาคม 2557
'ขอบคุณความรัก'
ปัณณ.
ผมตกหลุมรักเธอครั้งสุดท้าย...
ผมและเธอได้แต่งงานและจดทะเบียนสมรสกันในวันที่ 28 มกราคม 2557
หลังจากนั้นวันที่ 19 กรกฎาคม 2557 ผมเกิดอาการไตวายเฉียบพลัน
ภรรยาของผมได้บริจาคไตข้างหนึ่งให้กับผมอย่างถูกต้องตามกฏหมาย
25 กรกฎาคม 2557 เธอคงเหนื่อยมากจริงๆ ผมนั่งอยู่บนรถเข็นข้างๆ เธอ
ผมมองไปที่ใบหน้าของเธอและอยากมองเธออยู่อย่างนั้นเหมือนครั้งแรกที่เราพบกัน
เธอหลับตาเหมือนเดิม แตกต่างกันตรงที่วันนี้เธอดูสบายใจกว่าวันนั้นมาก
ผมค่อยๆ จับหูฟังเข้าไปในใบหูทั้งสองข้างของเธอ เปิดเพลง Always with me ที่เธอชอบ...
ครั้งนี้ผมค่อยๆ ใช้มือลูบหัวเธออย่างอ่อนโยน แล้วบอกเธอว่า
"ผมก็คิดแบบนั้น คำว่ารักไม่จำเป็นเลย ในเมื่อคุณรู้ใจผม ผมก็รู้ใจคุณ
คุณไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้ ทั้งพ่อและแมวของคุณ
ความฝันของคุณ ผมจะดูแลมันเอง
อ่อ.. ยังมีไตของคุณอีกนะ ผมจะดูแลมันเอง"
เพราะผมดันตกหลุมรักคุณไปตั้งห้าครั้งนี่นา...