แจงลำดับความรู้สึก.....

"....ทีนี้อาตมาจะอธิบายเรื่องความรู้สึกอย่างนี้ให้ฟังเป็นลำดับ เช่นความรู้สึกของสัตว์เดรัจฉาน ขอโทษเถอะนะ อย่าว่าอาตมาเอาสัตว์เดรัจฉานมาเทียบเลย เมื่อมันมีความรู้สึกอย่างไรนั้น มันไม่ได้ทบทวน และไม่มีกำลังของสติและปัญญา ซึ่งเป็นกำลังตปธรรมอย่างที่พวกเราสร้างขึ้นมานี้มันไม่มี เพราะฉะนั้น ความรู้สึกที่ปรากฏขึ้น เขาไม่มีกำลังอะไรทบทวน เมื่อจะเป็นไปอย่างไรเขาก็เป็นไปตามความรู้สึกของเขา นี่เป็นส่วนมากของสัตว์เดรัจฉาน


ทีนี้ขึ้นมาถึงมนุษย์เรา หากมนุษย์ใดมีความรู้สึกแล้ว ปล่อยให้ความรู้สึกอันนั้นแหละ เข็นเอาอาการทั้งหมดให้เป็นไปตามอำนาจของมันได้ อันนี้เรียกว่า สัตว์มนุษย์ เพราะมีสัตว์เดรัจฉานเจืออยู่


สำหรับความรู้สึกของโลกียชนนี่ จะมีการเข้าข้างกิเลสบ้าง หรือบางทีก็มีการทบทวนบ้าง แต่บางทีเมื่อรุนแรงก็ไม่มีความสามารถจะยับยั้งไว้ได้ หรือบางทีตั้งใจไว้ดีแล้ว ว่าจะไม่ให้เป็นไปอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ตัวเองตั้งใจไว้แล้ว แต่แล้วก็ปล่อย อันนี้ท่านเรียกว่าปุถุชนหรือโลกียชน


ทีนี้สำหรับกัลยาณปุถุชนไม่เป็นอย่างนั้น คือว่าตั้งใจจะเอาชัยชนะมันอยู่เสมอ ๆ พยามยามอยู่เสมอ ไม่ยอมเอนเอียงเข้าข้างมัน แต่เมื่อเหตุการณ์มันรุนแรงมันก็สู้ไม่ไหว มันรุดเข้าไปต่อสู้กับเหตุการณ์เลย ในเมื่อหล่นไปแล้วก็รู้สึกมีความละอายภายในจิตใจอันนี้ท่านเรียกว่า กัลยาณปุถุชน


ทีนี้ เมื่อผู้ใดมีความรู้สึกขึ้นมาแล้ว ความรู้สึกของจิตจะรุนแรงก็ตาม ไม่รุนแรงก็ตาม แต่สามารถบังคับอาการทั้งสองของกายและวาจาไม่ให้เป็นไปตามความรู้สึกได้อยู่ ตลอดเวลา พร้อมทั้งความรู้สึกของจิตที่มันรุนแรงอยู่ก็สามารถบังคับให้เบาลงได้ แต่ไม่ขาดสูญ..คือมีอุบายวิธีหรือกำลังทำให้มันตกด้วยอำนาจตปธรรมนั้นจริง อยู่ แต่ไม่ทันท่วงที ไม่เก่งที่สุด แต่สามารถบังคับได้ จนเป็นเหตุไม่ให้คนนั้นผูกโกรธเลยเป็นอันขาด ไม่มีทางผูกโกรธได้ มีแต่ความรู้สึก วูบขึ้นก็ตก มีความรู้สึกวูบขึ้นก็เอากำลังเข้าไปยับยั้งตก ความรู้สึกวูบขึ้นเอาไปยับยั้งก็ตก อยู่ในลักษณะนี้แล เรียกว่าโสดาบันบุคคล


เพราะฉะนั้นจะย้อนมาอธิบายเปรียบเทียบเหมือน เหมือนน้ำกะฉอกอยู่ในขันนะ อันหนึ่งมันกะฉอกกระเด็นออกข้างนอก หมายถึงความรู้สึกของปุถุชน ถ้ามันออกแรงนะ ถ้าออกเบาเขาเรียกว่ากัลยาณปุถุชน ถ้ามันกระเพื่อมหรือมันดิ้นอยู่ จริงอยู่ แต่ไม่กระเด็นออก เป็นลักษณะของโสดาปัตติมรรค ทีนี้ความรู้สึกที่ปรากฏขึ้นบังคับได้เลย บังคับได้ไม่ให้รุนแรง และไม่ให้มันหยุดเอง อะไรในทำนองนี้ เป็นโสดาปัตติผล นี่ อยู่ในทำนองนี้ ถ้าไวไฟจนถึงขนาดที่เรียกว่ามีความรู้เป็นเอกรัตติงของจิต สว่าง แจ่ม เหมือนกันกับเรามองไฟอย่างนี้ เราไม่ต้องตั้งปัญหาถามตัวเองหรอกว่าเราจับแล้วไฟมันจะไหม้มือเราไหม ไม่ต้อง สติมันเป็นชวนะ แพล็บ รู้เลย ไม่สามารถจะจับไฟได้ ฉันใด อารมณ์ที่จะนำพาไปสู่ความเศร้าหมอง อารมณ์ที่จะนำพาไปสู่ความดิ้นรน หรือเป็นไปเพื่อความทุกข์นั้นรู้แพล็บ อ่านตลอดหัว ตลอดหางชัชวาล อยู่ตลอดเวลา อันนั้นเป็นลักษณะของอรหันตบุคคล...."


เครดิตภาพ จากอินเตอร์เน็ต


โอวาสธรรม : พระอาจารย์สมชาย  ฐิตวิริโย
พิมพ์คัดจากหนังสือ ฐิตวิริยาจารย์เทศนา (ฉบับย่อ)
-------------------------------------------------------
ขอน้อมใจเผยแพร่เป็นธรรมทาน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่