บอกรักพ่อ ในวันที่สายเกินไป

ผมเป็นเด็กบ้านนอกคนนึงเกิดและโตที่ต่างจังหวัด(จังหวัดร้อยเอ็ด) ผมเป็นลูกชายคนเดียว อายุ27ปี (ไม่แมน100%หรอกครับ แต่พ่อแม่ไม่รู้) ด้วยความมุ่งมั่นอยากเรียนจบให้สูงๆ มีงานทำดีๆ เป็นหน้าเป็นตาให้ครอบครัวและวงศ์ตระกูล ผมตัดสินใจเรียนต่อสายอาชีพ ระดับ ปวช. และ ปวส. และต่อ. ป.ตรี. และวิชาชีพครู ฐานะทางบ้านผมไม่ได้ฐานะดี มีกิน มีใช้ ไม่ยากจน พอส่งผมเรียนได้ พ่อแม่ผมเรียนมาน้อย จบแค่ ป.4 เข้ามาขายของที่ กทม. คือ หาบแร่ ของที่หาบขาย ฝังหนึ่งจะมีพวก ไข่ปิ้ง ข้าวเหนียวปิ้ง มันปิ้ง อีกฝั่งจะเป็นพวกถั่วต้ม ผลไม้ หาบของพ่อกับแม่จัดว่าหนักมากเลยหละ ผมลองยกไม่กระดิกเลย พ่อกับแม่จะแยกกันขายเท่าที่จำได้ขายมาตั้งแต่ผมอยู่ประถม. ช่วงปิดเทอมก็จะลงมา กทม. มาหาพ่อแม่กับแม่ เห็นพ่อกับแม่ขายของแล้วสงสารมาก ต้องหาบของขึ้นสะพาน ฝนตกก็ต้องหาที่หลบ บางครั้งเทศกิจก็ไล่ ที่พักของพ่อกับแม่อยู่จะเป็นสลัมแต่ก่อนไมมีไฟฟ้า. ช่วงหลังๆมาขอไฟฟ้าได้. เป็นบ้านหลังเล็กๆทำด้วยเศษไม้. มุงด้วยสังกะสี. กลางวันจะร้อนมาก ผมเป็นเด็กไม่เกเร. ปิดเทอมก็จะลงมาช่วยแบ่งเบาภาระ. ช่วยซักเสื้อผ้า. ช่วยนึ่งข้าวเหนียว. ทำไข่ทรงเครื่อง. เก็บกวาดห้อง. ทำความสะอาด คือทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ พ่อผมเป็นคนกินเหล้า กินหนัก กินเกือบทุกวัน หลังจากกลับมาจากขายของ. ผมจะบอกตลอดว่าทำไมพ่อต้องกิน. แม่ก็บอกไม่ได้. เพราะแม่ก็กินเหมือนกัน. แต่ไม่บ่อยเหมือนพ่อ. สรุปพ่อกับแม่ผมกินเหล้า เมื่อถึงช่วงเทศกาล พ่อกับแม่ก็จะกลับบ้าน แต่พ่อเป็นคนดี. ขยันทำงาน. ชอบเอื้อเฟื้อ. กลับบ้านแต่ละทีคนจะมาเต็มบ้านเลย พ่อก็จะเมาตลอด เพื่อนฝูงมาเยอะกินกันจนค่ำ. ด้วยที่ผมไม่ชอบมากๆที่เห็นพ่อเป็นแบบนี้ ชอบเลี้ยงคนอื่นตลอด ทุกวันบ้านผมไม่เคยเงียบ ตอนเย็นของทุกวันก็จะมีคนมาบ้านผมตลอด. ไม่พ่อผมก็คนอื่นจะซื้อเหล้ามาและทำกลับข้าวกินกันแบบนี้ทุกวัน ผมไม่เป็นส่วนตัวเลย คุยกันเสียงดังผมก็ไม่ชอบ เวลาอ่านหนังสือหรือทำอะไรที่ใช้สมาธิก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ส่วนมากพ่อมีแต่เพื่อนกิน แต่เขาก็มีความสุขที่มีคนคบเขา บางครั้งผมห้าม ก็มีปากมีเสียงกัน จนบางครั้งพ่อจะเข้ามาชกผม แม่ก็คอยห้ามไว้ ผมกับพ่อไม่ค่อยคุยกัน คุยกันได้เฉพาะเวลาที่พ่อไม่กินเหล้า แต่ก็น้อย เพราะพ่อกินเหล้าบ่อย เป็นแบบนี้มาตลอด ผมไม่ค่อยมีความสุขเลยที่เห็นพ่อเป็นแบบนี้ กินแต่เหล้า ข้าวไม่กินก็ได้ถ้ามีเหล้า ไม่ค่อยรักษาสุขภาพ ไม่เคยหาหมอ เป็นอะไรชอบซื้อยากินเอง ช่วงปี 55 ผมก็เลือกจะเข้ามาสอนที่ กทม. เพราะใกล้กับพ่อแม่ ตอนช่วงปี 56 ผมจำได้ไม่ลืม วันนั้นแม่โทรมาบอกว่า พ่อไม่สบาย ปวดท้อง ไปขายของยังไม่หมดต้องเหมารถกลับมา ตอนเย็นพ่อก็ไปหาหมอที่คลินิค หมอบอกว่าเกี่ยวกับตับ. แต่จ่ายยากระเพราะมา..???
พ่อกินอะไรไม่ได้ กินอะไรลงไปก็อ้วกออกหมด         จากอาการที่แม่เล่าให้ฟังทางโทรศัพท์ไม่ค่อยดีนัก วันรุ่งขึ้น แม่เลยพาพ่อกลับต่างจังหวัดเพื่อไปรักษาตัวที่ ร.พ. ใกล้บ้าน ผมก็โทรถามแม่เป็นระยะๆ เพราะผมก็สอนอยู่ยังกลับไม่ได้   เมื่อถึงบ้านญาติๆก็พาพ่อไปตรวจ ที่ร.พ.เอกชนแห่งนึงจังหวัดใกล้กัน หมอบอกว่าต้องนอน. ร.พ.เพื่อดูอาการก่อน แม่ก็โทรรายงานผมตลอด บอกว่าพ่อยังทานอะไรไม่ได้เหมือนเดิม อ้วกตลอด เห็นท่าไม่ดีผมเลยตัดสินใจ ขอลาหยุด รีบกลับบ้านเลย. พอถึงบ้านก็รีบไปที่ ร.พ ที่พ่ออยู่ พอผมเห็นพ่อผมตกใจมาก พ่อตัวเหลืองมากเหลืองทั้งตัวเลย เหมือนทาด้วยขมิ้นอ่ะ แต่ผมพยายามไม่แสดงอาการ กลัวพ่อคิดมากแล้วทรุดกว่าเดิม ผมก็ยกมือไหว้ พ่อมองหน้าผมแล้วก็ยิ้มแล้วรับไหว้ ผมกับแม่นอนเฝ้าพ่อที่ ร.พ. ตอนกลางคืนก็พาเข้าห้องน้ำบ้าง พอตอนเช้าหมอเข้ามาตรวจ หมอก็ให้อาหารอ่อนๆกับพ่อ และให้ยาเพิ่มเพื่อให้พ่อทานข้าวได้ หลังจากให้ยาตรวจเรียบร้อยพ่อก็ทานข้าว แต่ผ่านไปไม่นานก็อ้วกออกหมดเหมือนเดิม พ่อนอนให้เลือดตลอด. เพราะหมอบอกเกล็ดเลือดต่ำ อยู่ ร.พ. แห่งนี้ได้ไม่นาน เหมือนไม่ดีขึ้น ก็เลยลงความคิดเห็นกับแม่และญาติๆว่าให้ทำเรื่องส่งตัวกลับไปยัง. ร.พ. อำเภอใกล้บ้าน พอไปถึง ร.พ. ในอำเภอ หมอตรวจดูอาการ แล้วทำเรื่องตัวต่อไปที่ ร.พ.จังหวัด(รัฐ) บอกเลยความรู้สึกผมไม่ดีเลย เป็นห่วงพ่อมาก ญาติพี่น้องเลยว่า. อยากให้ไปรักษาตัวที่. ร.พ. เอกชนในตัวจังหวัดอีกแห่งจะดีกว่า บริการจะได้รวดเร็ว และเคยมีคนรักษาแล้วหาย แต่ตอนนั้น ยังไม่ทราบเลยว่าพ่อเป็นอะไร หมอก็ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรมาก เลยตกลงพาพ่อไป ร.พ.เอกชนในจังหวัดซึ่งค่ารักษาค่อนข้างแพง และหมอรับปากว่ารักษาได้ ก็ค่อยโล่งอก สบายใจขึ้นมามาก
แม่ก็บอกให้ผมกลับ กทม. ไปทำเคลียร์งานให้เสร็จก่อนเพราะเป็นช่วงใกล้ปิดเทอม ผมก็บอกแม่เดี๋ยวจะกลับมา และจะหาแม่ตลอด ช่วงที่กลับมา กทม.อีกครั้ง. นอนไม่หลับเลย ห่วงพ่อตลอด ทำงานก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง โทรมมากช่วงนั้น ..บ่ายวันนึ่งประมาณช่วงบ่ายสามโมงจะสี่โมง ช่วงจะเลิกงาน กำลังจะเดินไปลงเวลากลับ ได้รับโทรศัพท์สายของแม่โทรเข้า ผมก็รับสายบอกว่าฮัลโหลแม่ ก็เงียบไปพักนึง ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อผม แต่ไม่ใช่เสียงแม่พูด เป็นเสียงน้าพูด ผมก็บอกว่าครับ. แล้วผมก็รอฟังว่าน้าจะโทรมาบอกเรื่องอะไร ทำไมแม่ไม่โทรเอง น้าก็เงียบไปพักนึง แล้วบอกว่า...ทำใจดีๆไว้นะ ...ผมได้ยินคำนี้ เข่าอ่อนเลยเดินต่อไม่ได้ ทรุดลงนั่งอยู่ตรงนั้นเฉยๆเลย เพื่อนครูเห็นรีบวิ่งเข้ามา แล้วช่วยพยุงบอกว่า ทำใจดีๆไว้คอยปลอบผมเพราะรู้ว่าช่วงนี้พ่อผมไม่สบาย แล้วน้าก็พูดต่อว่าให้รีบกลับบ้านด่วน หมอบอกว่าอยู่ได้ไม่เกินอาทิตย์ ให้เอาพ่อกลับไปอยู่บ้าน ..ตอนนั้นผมพูดอะไรไม่ออกเลย น้ำตาไหลไม่รุ้ตัว ผมรีบกลับบ้านคืนนั้นเลย. ระหว่างเดินทางกลับผมไม่นอน คิดเห็นแต่หน้าพ่ออย่างเดียว พอถึงบ้านหัวใจผมแทบสลาย เห็นพ่อนอนอยู่แบบไม่นอนนิ่งนะ. นอนแบบกระวนกระวายหน้าพ่อบวมมาก ตัวบวมตัวเหลืองเหมือนเดิม เหมือนบวมยาเลย ญาติๆบอกเหมือนหมอลองยาให้ยาเยอะ ช่วงรักษา ร.พ. นี้พ่อนอนตลอด เหมือนเพลีย ไม่คุย หมอก็ฉีดยาบ่อยเกิน ทั้งฉีดทั้งกิน. เห็นพ่ออยู่ในสภาพนี้แล้ว ผมออกมานั่งร้องไห้เลย หน้าพ่อเปลี่ยนไปคนละคน เหมือนพ่อเบลอ เสียงเหมือนคนพูดไม่รู้เรื่อง เรียกชื่อคนไปมั่ว คิดอะไรออกมาก็พูด ไม่เป็นเรื่องเป็นราว ..ผมไม่รุ้จะเอายังไงต่อ คิดอะไรไม่ออกเลยตอนนั้น ไม่อยากเห็นพ่อนอนอยู่ในสภาพแบบนี้ เลยปรึกษาญาติๆอีกครั้ง ว่าขอรักษาให้ถึงที่สุด เลยส่งพ่อเข้า ร.พ รัฐของจังหวัด ทุกอย่างยังเหมือนเดิมคือพ่อพูดไม่รุ้เรื่อง กระวนกระวาย จนพยาบาลต้องให้ยาให้พ่อหลับ. แล้วนำเชือกมาผูกที่ขาและแขนพ่อ เพราะพ่อดิ้นตลอดถ้ารุ้สึกตัว บอกตรงๆสงสารพ่อแม่. ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย ช่วงนั้นผมกับแม่ได้แต่ร้องไห้ ผมโอกาสที่พ่อจะรอดน้อยมาก 3 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้นเลย หมอบอกจะให้เสียบเครื่องช่วยหายใจไหม ญาติก็บอกว่าไม่ต้องเสียบ ทรมานพ่อเปล่าๆ ให้เอาพ่อกลับบ้านเหอะ ช่วงนั้นคิดอะไรไม่ออก ผมกับแม่ก็ให้เขาเสียบเผื่อจะมีความหวัง ตกลงกันเสร็จพยาบาลก็ให้ผมกับแม่เซ็นเอกสารยินยอมให้ใช้เครื่องช่วยหายใจ..แล้วก็มีคนมาเข็นรถพ่อไปตึกอายุรกรรม ตึกนั้นเป็นตึกที่ผู้ป่วยหนักสุดแล้ว ทุกเตียงใช้เครื่องช่วยหายใจหมด. ก็นอนเฝ้าพ่อ เลือดไหลออกจากตัวพ่อตลอดทั้งหู ทั้งปาก ที่พ่อนอนให้เลือด มันไหลออกหมด ร่างกายพ่อไม่รับแล้ว ผมกับญาติก็คอยซับตลอด ซื้อผ้ามาซับเอง ไม่มีพยาบาล ไม่มีหมอมาดูแลเลย  ผมก็ถามพยาบาลว่า เลือดไหลตลอดเลยต้องทำยังไง พยาบาลก็บอกเอาผ้ามาซับสิ(อืม ผมโง่ถาม หรือพยาบาลไม่รู้จะทำยังไง) แล้วเขาก็เดินหนีไม่พูดไร ตรงห้องนั้นเหมือนให้หมอพึ่งจบใหม่ มาศึกษาซะมากกว่านะผมว่า เห็นหน้าอ่อนๆ ถือสมุดจดรายละเอียดเฉยๆ พ่อนอนได้ประมาณ1คืน ที่ห้องนี้ ไม่ตอบสนองอะไรเลยไม่ขยับตัว พยาบาลบอกว่าถ้าถอดเครื่องช่วยหายใจ พ่อก็จะไปเลย พวกเราตัดสินใจให้พ่อช่วยถอดเครื่องช่วยหายใจ พยาบาลให้ลูกหรือญาติเป็นคนถอด ผมอ่อนแอมากไม่เรี่ยวแรงแล้วช่วงนั้น เลยให้น้องของพ่อเป็นคนถอด ..รับพ่อกลับ บนรถเงียบสงัด ไม่มีใครพูดอะไร ผมก็นั่งมองพ่อตลอดทาง พอถึงบ้าน ไม่เกิน2 ชั่วโมงพ่อก็จากผมไป เต็มไปด้วยความเศร้า( ผมบรรยายไม่ออกครับช่วงนี้) หลังจากงานพ่อเสร็จ ก็อยู่เป็นเพื่อนแม่1 สัปดาห์ ก็ลงไปทำงาน กทม.เหมือนเดิมโดยให้หลานๆไปนอนเป็นเพื่อนแม่....
....มาถึงทุกวันนี้ ผ่านไป1 ปี ผมยังจำทุกเหตุการณ์นั้นได้ดี ไม่เคยลืม ตอนพ่อมีชีวิตอยู่ พ่อตั้งความหวังไว้มากอยากให้ผมได้เป็นข้าราชการครู. ตอนพ่อมีชีวิตอยู่ผมลงสนามสอบ บรรจุ 2ครั้ง ไม่ติดเลย เพราะผมคิดว่าสอบเล่นๆเรื่อยเพราะมีโอกาสสอบอีกมากมาย จนพ่อมาเสียชีวิตก่อน ยังไม่ทันเห็นผมประสบความสำเร็จเลย ผมเสียใจมาก ที่ทำให้พ่อภูมิใจในตัวผมไม่ได้ ถึงแม้จะไม่คุยกัน แต่ผมก็รักพ่อมาก
...พอมาถึงปีนี้ ปี57 ลงสนามสอบครั้งที่3 ผมจึงต้องขยัน เตรียมตัวมุ่งมั่น ผมใช้วิธีคิดว่า ถ้ายังคิดว่าตัวเองมีโอกาสสอบอีกหลายครั้งเราก็จะเล่นๆกับมัน ผมเลยเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ให้คิดว่าโอกาสสอบของผมมีครั้งนี้มีอีกครั้งเดียว เป็นแรงผลักดันให้ตัวเอง
วันประกาศผลสอบบรรจุครั้งที่1/2557
ผลปรากฏว่า...ผมสอบติดครู ครับ ผมดีใจมากแม่ก็ดีใจ ผมทำสำเร็จแล้ว ผมบอกในใจตัวเองว่า พ่อ ผมทำได้แล้วนะ ผมสอบติดแล้วนะพ่อ..
ตอนพ่อมีชีวิตอยู่ผมไม่เคยบอกรักพ่อเลย ..แต่วันนี้ผมอยากจะบอกพ่อว่า "ผมรักพ่อนะ" ถ้าแม้ว่ามันจะสายเกินไป!!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่