๐๐๐ รักนี้เกิดที่ญี่ปุ่น ๐๐๐

๐๐๐ รักนี้เกิดที่ญี่ปุ่น๐๐๐ ( Based on true memories but active love )

ทีมการศึกษาดูงาน 9 วันของนักศึกษาสถาบันญี่ปุ่นที่คัดเลือกจากใบสมัครและพิจารณาจากระดับผลการเรียนของนักศึกษา 14 คน และ ไกด์ 1 คนได้ถ่ายรูปร่วมกันก่อนขึ้นเครื่องบินสู่สนามบิน นาริตะ ประเทศญี่ปุ่น เรามองหาที่นั่งตามลำดับหมายเลข ตาสบเจอหนุ่มใหญ่ทำท่าจะนั่งลงตรงที่นั่งข้างเพื่อนเรา เราจึงกล่าวเป็นภาษาอังกฤษว่า
"ขอฉันนั่งกับเพื่อนเถอะ ที่นั่งฉันหมายเลขนี้คุณกรุณาไปนั่งแทนทีนะคะ" เขาพยักหน้ารับแล้วก็ไปนั่งที่นั่งห่างไปอีกสองที่นั่งในแถวเดียวกัน

เมื่อเครื่องบินถึงสนามบินนาริตะแล้ว ก็ได้ขึ้นรถโคชไปชมพระราชวังอิมพีเรียลเลย ก่อนลงจากรถเราเหลือบไปมองด้านหลัง ก็เห็นว่า อ้าว นั่นเขานี่นะ เฮ้.. เขามากรุ๊ปเดียวกับเราหรือนี่ ก็คนไทยซิ รู้สึกว่าหน้าแตก เมื่อเห็นว่าเขาก็ยิ้มเหมือนจับความรู้สึกนึกคิดของเราทัน เรารู้สึกยิ้มขันในความเปิ่นของตัวเอง ฮื้อม...

เมื่อได้มาถึงวัดอาซากุสะ เขาเข้ามาทัก

" สวัสดีครับ"

เราได้แต่ยิ้ม แบบที่ธรรมชาติกำหนดให้มาจริงๆคือกลั้นหัวเราะลักยิ้มบุ๋มค้างอยู่อย่างนั้นไม่สามารถทำอย่างอื่นอีกได้ ได้แต่บ่นอุบอิบไปว่า...

" แล้วก็ไม่บอก..."

เขามองหน้าเราแล้วหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินห่างไป เราเสยกกระบวยตักน้ำมนต์ดื่มไปอึกหนึ่ง โดยมิได้มองผู้อื่น มารู้ภายหลังว่า บางคนอาจจะแค่จิบเท่านั้น เพื่ออะไรก็ลืมอธิษฐาน เพราะด้วยประหม่าไปหมดแล้ว

วันรุ่งขึ้นเดินทางโดยรถคันเดิมไปชมโรงงานผลิตรถยนต์นิสสันอันใหญ่โต เราเริ่มจะเดินใกล้กันมากขึ้น และบางครั้งบางคราก็ช่วยถ่ายรูปให้กัน เพื่อนำมาประกอบการเขียนรายงานในภายหลัง เขาพยายามปกปิดชื่อบริษัทที่หัวกระดาษที่จดบันทึกอยู่ แต่หาได้รอดสายตาเราไม่

ตอนเย็นทุกคนเดินจากโรงแรมที่พักไปร้านอาหาร สองมือล้วงกระเป๋าก็เดินขนาบเข้ามาคุยด้วย ถามไถ่ที่อยู่ของกันและกัน โดยเราสรุปท้ายว่า

" ถึงคุณจะกลับไปแบกกระสอบข้าวสาร เราก็จะตามไปคบคุณ" เขาบอกว่า

" จะดีมากถ้ามาช่วยผมแบกด้วย" พร้อมกับรอยยิ้มที่พึงพอใจ

หลังจากนั้นก็เป็นเวลาช็อปปิ้ง เรารวมกันสี่คนเดินท่องราตรีโดยมีเขาช่วยเดินตามถือของให้อย่างน่าเอ็นดู

ที่โต๊ะอาหารมื้อเย็นวันหนึ่ง เมื่ออาหารเสิร์ฟครบหมดแล้ว ไกด์ก็ลุกขึ้นกล่าวว่า

" ขออวยพรวันเกิดให้แก่...." เรา....

เสียงร้องเพลง แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ก็ดังขึ้น พร้อมแววตาที่เขามองมาระคนแปลกใจ เมื่อจบเสียงเพลงแล้ว เขาก็ยกจานอาหาร ถามเราว่า

"รับเป็ดหน่อยไหมครับ "

" เยส พลีส..." เราตอบไปโดยอัตโนมัติ

เขาตักเป็ดให้ และมีคำถามในวันต่อมาว่า เขาเหมือนต่างชาติมากนักหรือ..

เราได้ตอบไปว่า เขาเหมือนแขกขาวนี่นะ

วันสุดท้ายที่โรงแรมสุดท้ายที่พักเมืองอิเคะบุคุโระ เขาบอกหลังจากทานอาหารเย็นว่า

" ผมกลัวคุณโกรธ ถ้าคุณรู้ทีหลังคนอื่นว่า ผมเป็นใคร " ว่าแล้วเขาก็หยิบนามบัตรมายื่นให้ เราก็ส่งของเราแลกกันไป

เช้าวันรุ่งขึ้นในรถโคชเดินทางสู่แอร์พอร์ต ที่นั่งด้านหลังรถทุกคนสามารถหมุนเก้าอี้เข้าหากันรวมกลุ่มเล่าโจ๊กและความเปิ่นที่ได้มาสู่กันฟัง จนมีการสรุปให้มาพูดความรู้สึกก่อนจากกัน โดยเขาเป็นผู้น่าจะอาวุโสโดยรวมพูดก่อน เมื่อเขาสวมแว่นกันแดดปิดบังดวงตาไปยืนพูดด้านหน้ารถ ทุกคนก็ได้ยินเขากล่าวว่า

" ผมไม่คิดว่ากำแพงน้ำแข็งในหัวใจผมจะพังทลายลงจนได้..."

มีเสียงหัวเราะและตบมือดังลั่น เขาหยุดก่อนกล่าวต่อ..

" ผมไม่คิดว่าการมาครั้งนี้จะมีสิ่งที่แถมมาด้วย ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งที่วิเศษอย่างยิ่ง แม้จะเป็นช่วงสั้นๆที่เรามาอยู่ด้วยกันก็จะไม่มีวันลืมเลย...."

เมื่อเขาพูดจบก็มีเสียงเรียกให้เราออกไปพูด คงในฐานะที่น้องๆบอกว่าเราเฮ้วที่สุด จนเราต้องถามว่าแปลว่าอะไร..

เราพูดว่า.." มีสิ่งวิเศษมากๆเกิดขึ้น เพราะเกิดกับคนสองคนทีเดียว หวังว่าพวกเราคงเป็นพยานได้..."

เสียงตบมือเคล้าหัวเราะก็ดังขึ้นอีก เรากล่าวขอบคุณทางเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และความอบอุ่นเพิ่มจนร้อนจัดในรถคันนี้ ขอบคุณทุกๆคน เรากลับมาที่นั่ง

ที่สนามบินนาริตะ มีหญิงชาวญี่ปุ่นมารอเขาเขาที่สนามบิน ซึ่งเขาบอกภายหลังว่าเป็น Pen friend สมัยยังหนุ่ม

เมื่อไกด์แจกบอร์ดดิ้งพาสให้เราและเพื่อนหญิงแล้วก็พากันขึ้นเครื่อง เราเห็นเขานั่งอยู่แล้วตรงข้างเลขที่นั่งของเรา แต่เราไม่ได้ไล่เขาไปอีกในหนนี้...

เที่ยวบินระยะเวลา 5-6 ขั่วโมงที่สุดแสนจะสั้น แต่มันก็ยาวนานพอที่เราสองคนจะได้ทันขอบคุณไกด์คนนั้น

ที่สนามบินดอนเมืองเราจากกันด้วยสายตาที่มิอาจบอกอะไรได้หมด เมื่อเขาเดินลับสายตาไป นามบัตรก็ถูกควักขึ้นมาดู..

Dr. .... Managing Director
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่