ปลายเดือนกันยายนถึงต้นตุลาคม....
ปลดปล่อยงามทุกอย่างออกจากตัว ยกอะไรที่สุมอยู่ในหัวออก เก็บเสื้อผ้ายัดใส่เป้ พร้อมกล้องถ่ายรูป ขับรถออกไปภาคเหนือ
จุดหมายปลายทาง...นาข้าวขั้นบันได
มีคนบอกว่า สวย...อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ทางขึ้นดอยอินทนนท์ ไม่เชื่อครับ ต้องไปดู...
ระยะทางจากบ้านผม ที่สายไหมไปเชียงใหม่ ดูจาก “อากู๋” กูเกิ้ลแล้ว บอกว่าประมาณ 617 กิโลเมตร ระหว่างทางก็พักไปเรื่อย สบายใจ ไม่มีอะไรมาเร่งรัด...แม้แต่กาลเวลา
จังหวัดเชียงใหม่ ผมเดินทางมาหลายครั้งแล้ว จนบางทีก็ไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหน แต่พอมีพรรคพวกแนะนำให้ไปนาข้าวขั้นบันได ก็สนใจ
ออกจากกรุงเทพฯตอนเช้า มาถึงเชียงใหม่ก็บ่าย 3 โมงเข้าไปแล้ว คืนแรกคงต้องพักที่ตัวเมืองก่อนดีกว่า พอจัดแจงที่พักเสร็จ ก็ต้องลองอาหารเหนือมื้อเย็นเลยครับ
มื้อแรก เป็นร้านลำดวนฟ้าฮ่าม ข้าวซอยขึ้นชื่ออยู่ใกล้กับวัดฟ้าฮ่ามนั่นแหละครับ
ก่อนถึงร้านเป้าหมาย ก็มีร้านข้าวซอยหลายร้าน บางร้านผมไปกินแล้วไม่อร่อย บอกเลย แต่ “คนอื่น” เขาบอกอร่อยมาก ขอไม่เอ่ยถึงละกัน
พอถึงร้านมีที่จอดรถอยู่ตรงข้ามร้านกว้างขวางเลยครับ
สั่งข้าวซอยเนื้อมาชามหนึ่ง กับหมูสะเต๊ะ อร่อยจนต้องสั่งชามที่สองจนได้ รสชาติกลมกล่อมมากครับ
กินอิ่มนอนหลับคืนแรกไป...
เช้าวันรุ่งขึ้น ขับรถขึ้นดอยอินทนนท์ก่อนเลยครับ เพื่อไหว้พระมหาธาตุเจดีย์ นภเมทนีดล และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ
วันธรรมดาที่คนไม่มาก เจ้าหน้าที่ให้นำรถขึ้นไปจอดข้างบนได้เลย ไม่ต้องเดินขึ้นไป แต่ถ้าใครอยากออกกำลังกาย ก็จอดตรงที่จอดรถ เดินไปซื้อบัตรเข้าชมแล้วเดินขึ้นเรียกเหงื่อได้ครับ (ถ้าเป็นหน้าหนาว เดินขึ้นสบายๆ)
กลับลงจากไหว้พระมหาธาตุเจดีย์ฯแล้ว เป้าหมายของผมตอนนั้นคือ บ้านแม่กลางหลวง
บ้านแม่กลางหลวง อยู่ในเขตอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ผมขับรถลงมาจากดอยอินทนนท์ สังเกตทางด้านขวาเห็นป้ายบอกที่พักบ้านแม่กลางหลวง จึงขับรถลงไปดู
ทางลงแคบ แต่รถพอจะสวนทางกันได้ครับ มีสะพานข้ามลำธารเล็กๆ ก่อนจะตีโค้งขึ้นหมู่บ้าน เห็นมีรถตู้จอดอยู่หลายคัน
ถามหาที่พักในบริเวณนั้น บอกเป็นโฮมสเตย์ แต่ด้านล่างถูกจองเต็มหมดแล้ว เพราะมีกองถ่ายละครของช่อง 3 มาถ่ายทำ มีพระเอกและนางเอกมาด้วย
พระเอก - ณเดชน์ คูกิมิยะ ส่วนนางเอกเขาบอกชื่อ “แต้ว”...แหะ แหะ ผมไม่รู้จักครับ เคยได้ยินแต่ “ญาญ่า”
ชาวบ้านเขาแนะนำให้ขับขึ้นเขาไปอีก เจอร้านกาแฟแถวนั้น ก็ลองถามชาวบ้านดูว่า พอมีที่พักอีกหรือไม่ ?
ผมจึงขับรถขึ้นเขาไปอีก ระหว่างทางก็เจอกับกองถ่ายละครนี่แหละครับ โบกรถให้ผ่านไป แต่ไม่เห็นตัวพระเอกนางเอกแต่อย่างใด
ว่าแล้วก็ขับขึ้นมาตามถนนเรื่อยๆ เจอร้านกาแฟชาวบ้าน ก็แนะนำให้ไปพักที่บ้านแม่กลางหลวงฮิลล์ เจอเจ้าของเป็นผู้หญิงชาวบ้าน อายุราวๆ 40-50 ปี บอกที่พัก “มีมี มามาทางนี่” แกก็พาผมเดินไปดูบ้านพัก
บ้านพักของแก สร้างยื่นอยู่ริมหน้าผา มองลงไปก็จะเจอกับนาข้าวขั้นบันไดของชาวบ้านเลย
“คืนละ 600 บาท พักไหมๆ” เจ้าของถาม ผมบอกขอเข้าไปดูห้องข้างในก่อนได้ไหมครับ แกบอกได้ๆ ตามมาๆ
บ้านพักนี้ มีกุญแจคล้องสายยูไว้ พอไขเข้าไป ก็พบกับที่นอน หมอน และหมอนข้าง มีมุ้งทำเป็นกระโจมรูปกรวยอย่างสวยงาม ห้องน้ำมีน้ำอุ่นและส้วมชักโครกด้วยนะ ไม่ธรรมดานะครับ
แต่ไม่มีทีวี แอร์ ตู้เย็น และไวไฟ (ตอนผมไปเร้าเตอร์ไวไฟเสีย) แต่มีสัญญาณ 3G ให้เข้าเล่นเน็ต เฟซบุคยามกลางคืนได้ครับ
โฮมสเตย์ที่นี่ ไม่ได้มีแค่คนไทยมาพักเท่านั้น มีฝรั่งหลายคนมาพัก คุยกับป้าเจ้าของแกพูดสำเนียงแบบชาวเขา บอกว่า นักท่องเที่ยวมาพักกันเรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่ง เขาคงชอบทิวทัศน์บ้านเรา
แต่ในช่วงหน้าหนาว (ซึ่งเป็นไฮซีซั่น) ราคาที่พักอาจจะปรับขึ้นบ้างเล็กน้อย เพราะช่วงเดือนหน้า (พฤศจิกายน) ทุ่งนาข้าวก็จะเหลืองอร่ามเป็นสีทองสวยทีเดียว
ผมก็ถามว่า ฝรั่งมาเที่ยว ป้าก็พูดภาษาอังกฤษได้นะซีครับ ป้าแกบอก ก็พูดบางคำเท่านั้น พูดกับฝรั่งได้ แต่พอฝรั่งพูดมา แกไม่รู้เรื่อง... แล้วป้าก็หัวเราะ
ผมจัดแจงเปิดท้ายรถ ขนกระเป๋าเสื้อผ้ามาเก็บไว้ในห้อง แล้วคว้ากล้องออกไปที่กองถ่ายละครทันที....
ป่าวครับ ไม่ได้จะไปขอถ่ายรูปกับ ณเดชน์ และน้องแต้วหรอกครับ พอดีโลเคชั่นที่ถ่ายทำละคร มีแปลงปลูกข้าวขั้นบันไดที่สวยงามอีกแปลงหนึ่ง สวยกว่าบริเวณที่ผมพักเสียอีก
ระหว่างทางก็เห็นมีชาวบ้านมายืนออๆกัน หันไปหันมา เขามายืนรอดาราว่าง จะขอเข้าไปถ่ายรูปด้วยนั่นเอง
วิถีชีวิตชาวบ้านแถวนี้ นอกจากยึดอาชีพเกษตรกรปลูกข้าวแล้ว อาชีพเสริมที่ได้รับจากการท่องเที่ยว ก็ช่วยจุนเจือครอบครัวของพวกเขาได้เช่นกัน มีร้านอาหารเปิดขึ้นหลายแห่ง เพื่อให้บริการแก่นักท่องเที่ยว
ผมตามเก็บภาพพระอาทิตย์ยามเย็นกับนาข้าวขั้นบันได้ไว้ได้หลายใบ ก่อนเดินทางกลับเข้าที่พัก พอพระอาทิตย์ตกดิน อากาศเย็นเริ่มเข้ามาเยือนผิวกายสัมผัสได้ทันที จึงไม่แปลกใจนักที่บ้านพักจะไม่ติดแอร์ และมีน้ำอุ่นให้บริการ
อาบน้ำอุ่นเสร็จ ก่อนนอนเปิดประตูบ้านพักออกมา มีแต่ความมืดมิด จะเห็นแสงไฟเป็นจุดบางจุดเท่านั้น แมลงก็มีอยู่บ้าง ผมจึงปิดไฟหน้าบ้าน ปิดประตูเตรียมตัวจะนอน
พอไฟหน้าบ้านปิดเท่านั้น มีเสียงเหมือนตัวอะไรไม่รู้วิ่งขึ้นมาหน้าบ้านผม ไม่รู้เป็นสัตว์อะไรเหมือนกัน มันน่าจะมาหาอะไรกิน เป็นอย่างนี้สักพัก ผมไม่กล้าเปิดประตูออกมา ไม่ใช่อะไร…กลัวถูกขย้ำนะครับ เพราะตอนเปิดไฟทิ้งไว้ เหมือนกับมันรู้ มันก็ไม่มา…ถึงจะหวั่นๆนิดหน่อย แต่ด้วยความเพลีย ก็หลับไป…
เช้าตื่นแต่ตี 5 ล้างหน้าล้างตาก่อนหยิบกล้องไปเก็บภาพตอนเช้า แย้มประตูแป๊บ เห็นไม่มีอะไร ก็ออกมาได้ ระหว่างทางเดินไปเจอป้าเจ้าของบ้าน ก็เล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟัง ป้าแกบอกว่า “อ๋อ ไม่มีอะไร หมามันวิ่งขึ้นมานะซี” โล่งอกไปที กลัวจะเป็นเสือนะครับ
เก็บภาพเสร็จ ก็เตรียมตัวแพ็คกระเป๋ากลับเข้าตัวเมืองเชียงใหม่อีกครั้ง แต่ก่อนกลับ ขอแวะเก็บภาพน้ำตกฟุ้งๆที่น้ำตกแม่ปาน อ.แม่แจ่ม สักภาพสองภาพ
ผมขับรถออกจากบ้านแม่กลางหลวง ไปทางขึ้นดอยอินทนนท์อีกครั้ง แต่คราวนี้เลี้ยวไปทางแม่แจ่ม ขับไปเรื่อยๆ ก็ยังไม่เห็นทางเข้าน้ำตกสักที
ผมจอดรถข้างทางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิด Google Map ปรากฏว่า ไม่มีสัญญาณ 3G และสัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี (ของทรูครับ) หรือจะต้องให้ผมเปลี่ยนเป็น 4G ครับ แต่ 3G เอาให้รอดก่อนไหมครับ ???
หยิบ GPS ของ Garmin ขึ้นมา พิมพ์คำว่า น้ำตกแม่ปาน กลับไม่ปรากฏข้อมูลใดๆ ...เอาล่ะซีทีนี้
ดีที่สุดคือ “ปาก” ครับ
ผมขับไปเรื่อยๆ เจอชาวบ้าน จึงถามทางเขา ก็บอกว่า น้ำตกแม่ปานเลยมาไกลแล้ว สรุปก็คือ หลง....ครับ ผมขับมาจนถึงบ้านกองแขก อ.แม่แจ่ม
ถ้าจะเข้าตัวเมืองก็ขับตรงไปข้างหน้า เลี้ยวซ้ายออกถนนใหญ่ได้ครับ
ทำตามคำแนะนำชาวบ้าน ขับมาไกลเหลือเกิน จนถึงอุทยานแห่งชาติออบหลวง แวะพักและเข้าห้องน้ำสักนิด
มาถึงแล้ว ก็ขอเข้าไปชมธรรมชาติที่นี่ มีผาหินเหมือนช่องเขาขาด มีการขุดพบแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาตร์ มีหลุมศพของมนุษย์โบราณ ผาเขียนสี และมีจุดชมวิวบนยอดเขา
ผมอยากไปเก็บภาพด้านบน เพราะไม่เคยมาที่นี่เลย ทางเดินเป็นทางขึ้นเขานะครับ ใครที่สุขภาพไม่แข็งแรง หรือเป็นโรคประจำตัว หรืออ้วนมาก ไม่แนะนำให้ขึ้นนะครับ เพราะขึ้นไม่ได้แน่นอนครับ
ทางขึ้นจุดชมวิว ต้องปีนเขาขึ้นไป บางช่วงค่อนข้างชันทีเดียว แนะนำว่า ใครไม่ชอบประเภทนี้อย่าขึ้นไปเด็ดขาด โดยเฉพาะช่วงกลางวัน แดดร้อนมากด้วย อาจเป็นลมไปได้ง่ายๆ
พอปีนเขาขึ้นไปจนสุดแล้ว ภาพที่ได้กลับไม่สวยเท่าไหร่ เพราะมองไปมีแต่พุ่มไม้บนยอดเขา มองเห็นถนนอยู่ไกลๆลิบๆ ผิดหวังนิดหน่อย เพราะปีนเขาขึ้นมาเหนื่อยมาก แต่ได้ภาพไม่ประทับใจ
ขาขึ้นไม่เท่าไหร่ ขาลงยิ่งแล้วใหญ่นะครับ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ และถ้าเป็นฤดูฝน อย่ามาเด็ดขาด เพราะผาลื่นและชันมากครับ
จากนั้น ผมก็เดินทางกลับเข้าตัวเมืองเชียงใหม่อย่างสวัสดิภาพ ค้างอีกหนึ่งคืน เช้าตื่นซื้อของฝากพรรคพวกกัน ไหว้พระครูบาศรีวิชัย ก่อนกลับเข้ากรุงเทพฯ
ใครที่ชอบบรรยากาศธรรมชาติ และปลีกวิเวก แนะนำให้มาเที่ยวบ้านแม่กลางหลวงครับ....
ชาคริต เพชรอินทร์









แม่กลางหลวง…และนาข้าวขั้นบันได
ปลดปล่อยงามทุกอย่างออกจากตัว ยกอะไรที่สุมอยู่ในหัวออก เก็บเสื้อผ้ายัดใส่เป้ พร้อมกล้องถ่ายรูป ขับรถออกไปภาคเหนือ
จุดหมายปลายทาง...นาข้าวขั้นบันได
มีคนบอกว่า สวย...อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ทางขึ้นดอยอินทนนท์ ไม่เชื่อครับ ต้องไปดู...
ระยะทางจากบ้านผม ที่สายไหมไปเชียงใหม่ ดูจาก “อากู๋” กูเกิ้ลแล้ว บอกว่าประมาณ 617 กิโลเมตร ระหว่างทางก็พักไปเรื่อย สบายใจ ไม่มีอะไรมาเร่งรัด...แม้แต่กาลเวลา
จังหวัดเชียงใหม่ ผมเดินทางมาหลายครั้งแล้ว จนบางทีก็ไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหน แต่พอมีพรรคพวกแนะนำให้ไปนาข้าวขั้นบันได ก็สนใจ
ออกจากกรุงเทพฯตอนเช้า มาถึงเชียงใหม่ก็บ่าย 3 โมงเข้าไปแล้ว คืนแรกคงต้องพักที่ตัวเมืองก่อนดีกว่า พอจัดแจงที่พักเสร็จ ก็ต้องลองอาหารเหนือมื้อเย็นเลยครับ
มื้อแรก เป็นร้านลำดวนฟ้าฮ่าม ข้าวซอยขึ้นชื่ออยู่ใกล้กับวัดฟ้าฮ่ามนั่นแหละครับ
ก่อนถึงร้านเป้าหมาย ก็มีร้านข้าวซอยหลายร้าน บางร้านผมไปกินแล้วไม่อร่อย บอกเลย แต่ “คนอื่น” เขาบอกอร่อยมาก ขอไม่เอ่ยถึงละกัน
พอถึงร้านมีที่จอดรถอยู่ตรงข้ามร้านกว้างขวางเลยครับ
สั่งข้าวซอยเนื้อมาชามหนึ่ง กับหมูสะเต๊ะ อร่อยจนต้องสั่งชามที่สองจนได้ รสชาติกลมกล่อมมากครับ
กินอิ่มนอนหลับคืนแรกไป...
เช้าวันรุ่งขึ้น ขับรถขึ้นดอยอินทนนท์ก่อนเลยครับ เพื่อไหว้พระมหาธาตุเจดีย์ นภเมทนีดล และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ
วันธรรมดาที่คนไม่มาก เจ้าหน้าที่ให้นำรถขึ้นไปจอดข้างบนได้เลย ไม่ต้องเดินขึ้นไป แต่ถ้าใครอยากออกกำลังกาย ก็จอดตรงที่จอดรถ เดินไปซื้อบัตรเข้าชมแล้วเดินขึ้นเรียกเหงื่อได้ครับ (ถ้าเป็นหน้าหนาว เดินขึ้นสบายๆ)
กลับลงจากไหว้พระมหาธาตุเจดีย์ฯแล้ว เป้าหมายของผมตอนนั้นคือ บ้านแม่กลางหลวง
บ้านแม่กลางหลวง อยู่ในเขตอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ผมขับรถลงมาจากดอยอินทนนท์ สังเกตทางด้านขวาเห็นป้ายบอกที่พักบ้านแม่กลางหลวง จึงขับรถลงไปดู
ทางลงแคบ แต่รถพอจะสวนทางกันได้ครับ มีสะพานข้ามลำธารเล็กๆ ก่อนจะตีโค้งขึ้นหมู่บ้าน เห็นมีรถตู้จอดอยู่หลายคัน
ถามหาที่พักในบริเวณนั้น บอกเป็นโฮมสเตย์ แต่ด้านล่างถูกจองเต็มหมดแล้ว เพราะมีกองถ่ายละครของช่อง 3 มาถ่ายทำ มีพระเอกและนางเอกมาด้วย
พระเอก - ณเดชน์ คูกิมิยะ ส่วนนางเอกเขาบอกชื่อ “แต้ว”...แหะ แหะ ผมไม่รู้จักครับ เคยได้ยินแต่ “ญาญ่า”
ชาวบ้านเขาแนะนำให้ขับขึ้นเขาไปอีก เจอร้านกาแฟแถวนั้น ก็ลองถามชาวบ้านดูว่า พอมีที่พักอีกหรือไม่ ?
ผมจึงขับรถขึ้นเขาไปอีก ระหว่างทางก็เจอกับกองถ่ายละครนี่แหละครับ โบกรถให้ผ่านไป แต่ไม่เห็นตัวพระเอกนางเอกแต่อย่างใด
ว่าแล้วก็ขับขึ้นมาตามถนนเรื่อยๆ เจอร้านกาแฟชาวบ้าน ก็แนะนำให้ไปพักที่บ้านแม่กลางหลวงฮิลล์ เจอเจ้าของเป็นผู้หญิงชาวบ้าน อายุราวๆ 40-50 ปี บอกที่พัก “มีมี มามาทางนี่” แกก็พาผมเดินไปดูบ้านพัก
บ้านพักของแก สร้างยื่นอยู่ริมหน้าผา มองลงไปก็จะเจอกับนาข้าวขั้นบันไดของชาวบ้านเลย
“คืนละ 600 บาท พักไหมๆ” เจ้าของถาม ผมบอกขอเข้าไปดูห้องข้างในก่อนได้ไหมครับ แกบอกได้ๆ ตามมาๆ
บ้านพักนี้ มีกุญแจคล้องสายยูไว้ พอไขเข้าไป ก็พบกับที่นอน หมอน และหมอนข้าง มีมุ้งทำเป็นกระโจมรูปกรวยอย่างสวยงาม ห้องน้ำมีน้ำอุ่นและส้วมชักโครกด้วยนะ ไม่ธรรมดานะครับ
แต่ไม่มีทีวี แอร์ ตู้เย็น และไวไฟ (ตอนผมไปเร้าเตอร์ไวไฟเสีย) แต่มีสัญญาณ 3G ให้เข้าเล่นเน็ต เฟซบุคยามกลางคืนได้ครับ
โฮมสเตย์ที่นี่ ไม่ได้มีแค่คนไทยมาพักเท่านั้น มีฝรั่งหลายคนมาพัก คุยกับป้าเจ้าของแกพูดสำเนียงแบบชาวเขา บอกว่า นักท่องเที่ยวมาพักกันเรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่ง เขาคงชอบทิวทัศน์บ้านเรา
แต่ในช่วงหน้าหนาว (ซึ่งเป็นไฮซีซั่น) ราคาที่พักอาจจะปรับขึ้นบ้างเล็กน้อย เพราะช่วงเดือนหน้า (พฤศจิกายน) ทุ่งนาข้าวก็จะเหลืองอร่ามเป็นสีทองสวยทีเดียว
ผมก็ถามว่า ฝรั่งมาเที่ยว ป้าก็พูดภาษาอังกฤษได้นะซีครับ ป้าแกบอก ก็พูดบางคำเท่านั้น พูดกับฝรั่งได้ แต่พอฝรั่งพูดมา แกไม่รู้เรื่อง... แล้วป้าก็หัวเราะ
ผมจัดแจงเปิดท้ายรถ ขนกระเป๋าเสื้อผ้ามาเก็บไว้ในห้อง แล้วคว้ากล้องออกไปที่กองถ่ายละครทันที....
ป่าวครับ ไม่ได้จะไปขอถ่ายรูปกับ ณเดชน์ และน้องแต้วหรอกครับ พอดีโลเคชั่นที่ถ่ายทำละคร มีแปลงปลูกข้าวขั้นบันไดที่สวยงามอีกแปลงหนึ่ง สวยกว่าบริเวณที่ผมพักเสียอีก
ระหว่างทางก็เห็นมีชาวบ้านมายืนออๆกัน หันไปหันมา เขามายืนรอดาราว่าง จะขอเข้าไปถ่ายรูปด้วยนั่นเอง
วิถีชีวิตชาวบ้านแถวนี้ นอกจากยึดอาชีพเกษตรกรปลูกข้าวแล้ว อาชีพเสริมที่ได้รับจากการท่องเที่ยว ก็ช่วยจุนเจือครอบครัวของพวกเขาได้เช่นกัน มีร้านอาหารเปิดขึ้นหลายแห่ง เพื่อให้บริการแก่นักท่องเที่ยว
ผมตามเก็บภาพพระอาทิตย์ยามเย็นกับนาข้าวขั้นบันได้ไว้ได้หลายใบ ก่อนเดินทางกลับเข้าที่พัก พอพระอาทิตย์ตกดิน อากาศเย็นเริ่มเข้ามาเยือนผิวกายสัมผัสได้ทันที จึงไม่แปลกใจนักที่บ้านพักจะไม่ติดแอร์ และมีน้ำอุ่นให้บริการ
อาบน้ำอุ่นเสร็จ ก่อนนอนเปิดประตูบ้านพักออกมา มีแต่ความมืดมิด จะเห็นแสงไฟเป็นจุดบางจุดเท่านั้น แมลงก็มีอยู่บ้าง ผมจึงปิดไฟหน้าบ้าน ปิดประตูเตรียมตัวจะนอน
พอไฟหน้าบ้านปิดเท่านั้น มีเสียงเหมือนตัวอะไรไม่รู้วิ่งขึ้นมาหน้าบ้านผม ไม่รู้เป็นสัตว์อะไรเหมือนกัน มันน่าจะมาหาอะไรกิน เป็นอย่างนี้สักพัก ผมไม่กล้าเปิดประตูออกมา ไม่ใช่อะไร…กลัวถูกขย้ำนะครับ เพราะตอนเปิดไฟทิ้งไว้ เหมือนกับมันรู้ มันก็ไม่มา…ถึงจะหวั่นๆนิดหน่อย แต่ด้วยความเพลีย ก็หลับไป…
เช้าตื่นแต่ตี 5 ล้างหน้าล้างตาก่อนหยิบกล้องไปเก็บภาพตอนเช้า แย้มประตูแป๊บ เห็นไม่มีอะไร ก็ออกมาได้ ระหว่างทางเดินไปเจอป้าเจ้าของบ้าน ก็เล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟัง ป้าแกบอกว่า “อ๋อ ไม่มีอะไร หมามันวิ่งขึ้นมานะซี” โล่งอกไปที กลัวจะเป็นเสือนะครับ
เก็บภาพเสร็จ ก็เตรียมตัวแพ็คกระเป๋ากลับเข้าตัวเมืองเชียงใหม่อีกครั้ง แต่ก่อนกลับ ขอแวะเก็บภาพน้ำตกฟุ้งๆที่น้ำตกแม่ปาน อ.แม่แจ่ม สักภาพสองภาพ
ผมขับรถออกจากบ้านแม่กลางหลวง ไปทางขึ้นดอยอินทนนท์อีกครั้ง แต่คราวนี้เลี้ยวไปทางแม่แจ่ม ขับไปเรื่อยๆ ก็ยังไม่เห็นทางเข้าน้ำตกสักที
ผมจอดรถข้างทางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิด Google Map ปรากฏว่า ไม่มีสัญญาณ 3G และสัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี (ของทรูครับ) หรือจะต้องให้ผมเปลี่ยนเป็น 4G ครับ แต่ 3G เอาให้รอดก่อนไหมครับ ???
หยิบ GPS ของ Garmin ขึ้นมา พิมพ์คำว่า น้ำตกแม่ปาน กลับไม่ปรากฏข้อมูลใดๆ ...เอาล่ะซีทีนี้
ดีที่สุดคือ “ปาก” ครับ
ผมขับไปเรื่อยๆ เจอชาวบ้าน จึงถามทางเขา ก็บอกว่า น้ำตกแม่ปานเลยมาไกลแล้ว สรุปก็คือ หลง....ครับ ผมขับมาจนถึงบ้านกองแขก อ.แม่แจ่ม
ถ้าจะเข้าตัวเมืองก็ขับตรงไปข้างหน้า เลี้ยวซ้ายออกถนนใหญ่ได้ครับ
ทำตามคำแนะนำชาวบ้าน ขับมาไกลเหลือเกิน จนถึงอุทยานแห่งชาติออบหลวง แวะพักและเข้าห้องน้ำสักนิด
มาถึงแล้ว ก็ขอเข้าไปชมธรรมชาติที่นี่ มีผาหินเหมือนช่องเขาขาด มีการขุดพบแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาตร์ มีหลุมศพของมนุษย์โบราณ ผาเขียนสี และมีจุดชมวิวบนยอดเขา
ผมอยากไปเก็บภาพด้านบน เพราะไม่เคยมาที่นี่เลย ทางเดินเป็นทางขึ้นเขานะครับ ใครที่สุขภาพไม่แข็งแรง หรือเป็นโรคประจำตัว หรืออ้วนมาก ไม่แนะนำให้ขึ้นนะครับ เพราะขึ้นไม่ได้แน่นอนครับ
ทางขึ้นจุดชมวิว ต้องปีนเขาขึ้นไป บางช่วงค่อนข้างชันทีเดียว แนะนำว่า ใครไม่ชอบประเภทนี้อย่าขึ้นไปเด็ดขาด โดยเฉพาะช่วงกลางวัน แดดร้อนมากด้วย อาจเป็นลมไปได้ง่ายๆ
พอปีนเขาขึ้นไปจนสุดแล้ว ภาพที่ได้กลับไม่สวยเท่าไหร่ เพราะมองไปมีแต่พุ่มไม้บนยอดเขา มองเห็นถนนอยู่ไกลๆลิบๆ ผิดหวังนิดหน่อย เพราะปีนเขาขึ้นมาเหนื่อยมาก แต่ได้ภาพไม่ประทับใจ
ขาขึ้นไม่เท่าไหร่ ขาลงยิ่งแล้วใหญ่นะครับ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ และถ้าเป็นฤดูฝน อย่ามาเด็ดขาด เพราะผาลื่นและชันมากครับ
จากนั้น ผมก็เดินทางกลับเข้าตัวเมืองเชียงใหม่อย่างสวัสดิภาพ ค้างอีกหนึ่งคืน เช้าตื่นซื้อของฝากพรรคพวกกัน ไหว้พระครูบาศรีวิชัย ก่อนกลับเข้ากรุงเทพฯ
ใครที่ชอบบรรยากาศธรรมชาติ และปลีกวิเวก แนะนำให้มาเที่ยวบ้านแม่กลางหลวงครับ....
ชาคริต เพชรอินทร์