สืบเนื่องจากกระทู้เก่าๆ ครับ
ดูดาวง่ายๆ เริ่มได้จากดาวไถ
1
http://pantip.com/topic/31652544
2
http://pantip.com/topic/31655494
3
http://pantip.com/topic/31981608
ดูดาวง่ายๆ เริ่มได้จากดาวจระเข้
http://pantip.com/topic/31986330
ดูดาวยากๆ เริ่มได้จากดาวพลูโต
http://pantip.com/topic/32411040
โจสเลนกลับมาอีกครั้งในช่วงสิ้นฝนต้นหนาวนะครับ แต่ตอนนี้ก็ยังฝนตกอยู่ดี ก็เอาเป็นว่าอ่านภาคทฤษฎีไปก่อน ฟ้าเปิดจะได้ดูได้ทันทีก็แล้วกันนะครับ
สืบต่อจากเรื่องเมื่อครึ่งปีก่อน โจสเลนตั้งกระทู้ชวนดูดาวในช่วงหัวค่ำกันมา คราวที่แล้วมีดาวเต่าและดาวจระเข้เป็นพระเอก
คราวนี้ พระเอก ของเราคือ
ดงบังชิงกิ
ผู้ซึ่งมีแฟนคลับเรียกตัวเองว่า "แคสสิโอเปีย" หรือ "กลุ่มดาวค้างคาว" นั่นเองครับ
ดาวค้างคาวดูยากกว่าดาวเต่า ดาวจระเข้อยู่เหมือนกันครับ ความจริงคนโบราณใช้ดาวกลุ่มนี้เป็นเครื่องช่วยบอกทิศทางเพราะว่าใช้หาดาวเหนือได้
แต่ในฐานะคนปัจจุบัน ถ้าจะโกง ด้วยการหาทิศเหนือก่อน แล้วค่อยมองหาดาวค้างคาวทางท้องฟ้าทิศเหนือก็ได้ไม่ว่ากัน
ดาวค้างคาวมีดาวฤกษ์สว่าง (แต่ก็สว่างไม่มาก) 5 ดวง เรียงตัวกันเหมือนตัว "W"
ถ้าไม่ชอบเรื่องเกาหลีๆ ก็มีวรรณกรรมไทยอย่าง "หุบเขากินคน" ที่กล่าวถึง ดวงดาวแห่งอุตรทิศทั้ง 5 แทนตัวเอกในเรื่องทั้ง 5 คน ซึ่งเข้าใจว่าหมายถึงกลุ่มดาวนี้เช่นกัน
ส่วนชื่อกลุ่มดาวของฝรั่ง "แคสสิโอเปีย" (Cassiopia) นั้นเป็นชื่อของราชินีของเอธิโอเปีย
ประเทศนี้ห้ามดูถูกเด็ดขาดนะครับ เพราะเป็นประเทศเดียวในทวีปแอฟริกาที่ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งในยุคอาณานิคม (คล้ายประเทศในเอเชียแถวนี้เลย)
(ตรงสีเทาๆ คือเอธิโอเปีย)
กลุ่มดาวแคสสิโอเปียนั้นใช้หาดาวเหนือได้ด้วยวิธีการลากเส้นตามในรูป
ประเทศไทยอยู่ที่เส้นรุ้ง (ละติจูด) ประมาณ 15 องศาเหนือ ดาวเหนือก็จะอยู่สูงจากฟ้า 15 องศา
แต่ถ้าไปอยู่ประเทศทางเหนือๆ ดาวเหนือก็จะอยู่สูงกว่านี้ และดาวรอบๆ ดาวเหนือก็จะวนรอบดาวเหนือโดยไม่ตกจากฟ้า เรียกว่าเป็น ดาวค้างฟ้า (Circumpolar stars)
แต่ราชินีจะอยู่คนเดียวไม่ได้ เดี๋ยวจะเหง่าเปล่าเปลี่ยวจนเกินอาการเพี้ยนเหมือนจูเลีย โรเบิร์ตในเรื่อง Mirror Mirror
เพราะฉะนั้นก็ต้องมีราชา ราชาแห่งเอธิโอเปีย (ซึ่งเป็นพระสวามีของพระนางแคสสิโอเปีย) นั้นชื่อว่า ราชา เซฟิอุส (Cepheus)
วิธีกากลุ่มดาวเซฟีอุสนั้นก็ง่ายๆ (หรือเปล่า) ด้วยการลากเส้นจากแขนของดาวแคสสิโอเปีย (ข้างที่งอเยอะกว่า) ไปยังดาวฤกษ์ดวงหนึ่ง
นอกจากนี้ดาวในกลุ่มดาวเซฟีอุสนี่มีบทบาทสำคัญมากในวงการดาราศาสตร์ เพราะทำให้เกิดความก้าวหน้าในเรื่องของการวัดระยะห่างระหว่างดวงดาว
ดาวดวงนั้นเป็นดาวดวงเล็กๆ ที่มองเห็นได้ยาก ชื่อว่า เดลต้าเซฟิไอ
เป็นดาวชนิดที่เรียกว่าดาวแปรแสงแบบเซเฟอิด (Cepheid variables) ซึ่งตั้งชื่อตามดาวเดลต้าเซฟิไอ ที่เป็นดาวประเภทนี้ดวงแรกที่ถูกค้นพบ (ตัวอย่างของดาวประเภทนี้ดวงอื่นๆ คือ ดาวเหนือ)
ก่อนอื่นต้องเกริ่นว่า ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน นักดาราศาสตร์มีวิธีการเพียงวิธีเดียวที่จะวัดระยะห่างจากโลกไปยังดาวฤกษ์ คือ การวัดมุมพาราลแล็กซ์ (parallax)
คงยังไม่พูดเรื่องการวัดมุมพาราลแล็กซ์ในตอนนี้ แต่สิ่งที่จะบอกคือ ถ้านักดาราศาสตร์วัดมุมที่ว่าของดาวฤกษ์ดวงหนึ่งๆ ได้ ก็จะสามารถคำนวณระยะทางจากโลกไปดาวฤกษ์ดวงนั้นๆ ได้ โดยยิ่งมุมเล็กเท่าไหร่ ดาวดวงไหนอยู่ห่างออกไปมากเท่านั้น
แต่วิธีนี้ก็มีข้อจำกัด เพราะดาวที่ห่างออกไปมากๆ มุมพาราลแล็กซ์ก็จะเล็กจนเครื่องมือของมนุษย์เราวัดไม่ได้
แต่ก็ให้ข้อมูลมากเพียงพอสำหรับมนุษย์ที่จะเรียนรู้ว่า คาบของดาวแปรแสงแบบเซเฟอิดนั้นสัมพันธ์กับแสงที่ดาวดวงนั้นปล่อยออกมา (ภาษาวิชาการเรียกว่า Luminosity หรือกำลังความส่องสว่าง)
พูดง่ายๆ คือ ยิ่งระยะเวลาจากสว่างไปมืดจนกลับมาสว่างอีกรอบนานแค่ไหน ก็แปลว่าดาวดวงนั้นปล่อยแสงออกมามากเท่านั้น
ที่นี้นักดาราศาสตร์ก็สามารถคำนวณได้แล้วว่า ดาวแปรแสงแบบเซเฟอิด แต่ละดวงห่างจากโลกเท่าไหร่ โดยคำนวนจากการเปรียบเทียบระหว่าแสงที่ดาวดวงนั้นปล่อยออกมา (คำนวณเอาจากคาบของการสว่าง-มืด) และความสว่างที่เห็นจากบนโลก
คือ ถ้าดาวดวงไหนปล่อยแสงออกมามาก แต่มองจากโลกแล้วไม่สว่าง ก็แปลว่าอยู่ไกล อะไรทำนองนั้น
ดูดาวง่ายๆ เริ่มได้จากดาวค้างคาว ตอนที่ 1 : เมื่อดงบังไปเอธิโอเปีย เจอกับคนหิ้วหัวและงูเก็งก็อง
ดูดาวง่ายๆ เริ่มได้จากดาวไถ
1 http://pantip.com/topic/31652544
2 http://pantip.com/topic/31655494
3 http://pantip.com/topic/31981608
ดูดาวง่ายๆ เริ่มได้จากดาวจระเข้
http://pantip.com/topic/31986330
ดูดาวยากๆ เริ่มได้จากดาวพลูโต
http://pantip.com/topic/32411040
โจสเลนกลับมาอีกครั้งในช่วงสิ้นฝนต้นหนาวนะครับ แต่ตอนนี้ก็ยังฝนตกอยู่ดี ก็เอาเป็นว่าอ่านภาคทฤษฎีไปก่อน ฟ้าเปิดจะได้ดูได้ทันทีก็แล้วกันนะครับ
สืบต่อจากเรื่องเมื่อครึ่งปีก่อน โจสเลนตั้งกระทู้ชวนดูดาวในช่วงหัวค่ำกันมา คราวที่แล้วมีดาวเต่าและดาวจระเข้เป็นพระเอก
คราวนี้ พระเอก ของเราคือ
ดงบังชิงกิ
ผู้ซึ่งมีแฟนคลับเรียกตัวเองว่า "แคสสิโอเปีย" หรือ "กลุ่มดาวค้างคาว" นั่นเองครับ
ดาวค้างคาวดูยากกว่าดาวเต่า ดาวจระเข้อยู่เหมือนกันครับ ความจริงคนโบราณใช้ดาวกลุ่มนี้เป็นเครื่องช่วยบอกทิศทางเพราะว่าใช้หาดาวเหนือได้
แต่ในฐานะคนปัจจุบัน ถ้าจะโกง ด้วยการหาทิศเหนือก่อน แล้วค่อยมองหาดาวค้างคาวทางท้องฟ้าทิศเหนือก็ได้ไม่ว่ากัน
ดาวค้างคาวมีดาวฤกษ์สว่าง (แต่ก็สว่างไม่มาก) 5 ดวง เรียงตัวกันเหมือนตัว "W"
ถ้าไม่ชอบเรื่องเกาหลีๆ ก็มีวรรณกรรมไทยอย่าง "หุบเขากินคน" ที่กล่าวถึง ดวงดาวแห่งอุตรทิศทั้ง 5 แทนตัวเอกในเรื่องทั้ง 5 คน ซึ่งเข้าใจว่าหมายถึงกลุ่มดาวนี้เช่นกัน
ส่วนชื่อกลุ่มดาวของฝรั่ง "แคสสิโอเปีย" (Cassiopia) นั้นเป็นชื่อของราชินีของเอธิโอเปีย
ประเทศนี้ห้ามดูถูกเด็ดขาดนะครับ เพราะเป็นประเทศเดียวในทวีปแอฟริกาที่ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งในยุคอาณานิคม (คล้ายประเทศในเอเชียแถวนี้เลย)
(ตรงสีเทาๆ คือเอธิโอเปีย)
กลุ่มดาวแคสสิโอเปียนั้นใช้หาดาวเหนือได้ด้วยวิธีการลากเส้นตามในรูป
ประเทศไทยอยู่ที่เส้นรุ้ง (ละติจูด) ประมาณ 15 องศาเหนือ ดาวเหนือก็จะอยู่สูงจากฟ้า 15 องศา
แต่ถ้าไปอยู่ประเทศทางเหนือๆ ดาวเหนือก็จะอยู่สูงกว่านี้ และดาวรอบๆ ดาวเหนือก็จะวนรอบดาวเหนือโดยไม่ตกจากฟ้า เรียกว่าเป็น ดาวค้างฟ้า (Circumpolar stars)
แต่ราชินีจะอยู่คนเดียวไม่ได้ เดี๋ยวจะเหง่าเปล่าเปลี่ยวจนเกินอาการเพี้ยนเหมือนจูเลีย โรเบิร์ตในเรื่อง Mirror Mirror
เพราะฉะนั้นก็ต้องมีราชา ราชาแห่งเอธิโอเปีย (ซึ่งเป็นพระสวามีของพระนางแคสสิโอเปีย) นั้นชื่อว่า ราชา เซฟิอุส (Cepheus)
วิธีกากลุ่มดาวเซฟีอุสนั้นก็ง่ายๆ (หรือเปล่า) ด้วยการลากเส้นจากแขนของดาวแคสสิโอเปีย (ข้างที่งอเยอะกว่า) ไปยังดาวฤกษ์ดวงหนึ่ง
นอกจากนี้ดาวในกลุ่มดาวเซฟีอุสนี่มีบทบาทสำคัญมากในวงการดาราศาสตร์ เพราะทำให้เกิดความก้าวหน้าในเรื่องของการวัดระยะห่างระหว่างดวงดาว
ดาวดวงนั้นเป็นดาวดวงเล็กๆ ที่มองเห็นได้ยาก ชื่อว่า เดลต้าเซฟิไอ
เป็นดาวชนิดที่เรียกว่าดาวแปรแสงแบบเซเฟอิด (Cepheid variables) ซึ่งตั้งชื่อตามดาวเดลต้าเซฟิไอ ที่เป็นดาวประเภทนี้ดวงแรกที่ถูกค้นพบ (ตัวอย่างของดาวประเภทนี้ดวงอื่นๆ คือ ดาวเหนือ)
ก่อนอื่นต้องเกริ่นว่า ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน นักดาราศาสตร์มีวิธีการเพียงวิธีเดียวที่จะวัดระยะห่างจากโลกไปยังดาวฤกษ์ คือ การวัดมุมพาราลแล็กซ์ (parallax)
คงยังไม่พูดเรื่องการวัดมุมพาราลแล็กซ์ในตอนนี้ แต่สิ่งที่จะบอกคือ ถ้านักดาราศาสตร์วัดมุมที่ว่าของดาวฤกษ์ดวงหนึ่งๆ ได้ ก็จะสามารถคำนวณระยะทางจากโลกไปดาวฤกษ์ดวงนั้นๆ ได้ โดยยิ่งมุมเล็กเท่าไหร่ ดาวดวงไหนอยู่ห่างออกไปมากเท่านั้น
แต่วิธีนี้ก็มีข้อจำกัด เพราะดาวที่ห่างออกไปมากๆ มุมพาราลแล็กซ์ก็จะเล็กจนเครื่องมือของมนุษย์เราวัดไม่ได้
แต่ก็ให้ข้อมูลมากเพียงพอสำหรับมนุษย์ที่จะเรียนรู้ว่า คาบของดาวแปรแสงแบบเซเฟอิดนั้นสัมพันธ์กับแสงที่ดาวดวงนั้นปล่อยออกมา (ภาษาวิชาการเรียกว่า Luminosity หรือกำลังความส่องสว่าง)
พูดง่ายๆ คือ ยิ่งระยะเวลาจากสว่างไปมืดจนกลับมาสว่างอีกรอบนานแค่ไหน ก็แปลว่าดาวดวงนั้นปล่อยแสงออกมามากเท่านั้น
ที่นี้นักดาราศาสตร์ก็สามารถคำนวณได้แล้วว่า ดาวแปรแสงแบบเซเฟอิด แต่ละดวงห่างจากโลกเท่าไหร่ โดยคำนวนจากการเปรียบเทียบระหว่าแสงที่ดาวดวงนั้นปล่อยออกมา (คำนวณเอาจากคาบของการสว่าง-มืด) และความสว่างที่เห็นจากบนโลก
คือ ถ้าดาวดวงไหนปล่อยแสงออกมามาก แต่มองจากโลกแล้วไม่สว่าง ก็แปลว่าอยู่ไกล อะไรทำนองนั้น