คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 19
สวัสดีค่ะ เจ้าของกระทู้ค่ะ หลังจากตั้งกระทู้เมื่อคืนแล้ว
ก็หลับๆตื่นๆ .....จึงขอมาเพิ่มเติมนะคะ
- เรื่องแต่งงาน ไม่แต่งงานค่ะ
ดิฉันเคยคิดว่า หากแค่อยู่ด้วยกัน แล้วมีความสุข
ไม่ต้องแต่งงานกันก็ได้อยู่ต่อไปเรื่อยๆก็ไม่เปลืองดีด้วย
แต่พ่อแม่ดิฉันบอกว่า ถ้ารักกัน คบกันมานาน แล้วก็อยากให้แต่งงานกันให้ถูกต้อง
มันก็จะดีแก่ตัวดิฉันเอง พ่อแม่เค้าบอกว่า ไม่ต้องจัดงานใหญ่ ถึงขนาดถาโถมให้สิ้นเปลือง
แค่หลัก10กว่า- 20โต๊ะ ให้เป็นพิธี ซึ่งถ้าทำแบบนี้หากแฟนจะมาสานธุรกิจต่อ
ก็จะเริ่มกันได้ พ่อแม่ดิฉันยังพอมีแรงช่วยดูธุรกิจ ประคับประคองได้ตอนนี้
หากปล่อยนานไป หมดแรงกันก่อน ตอนนั้นจะมาเริ่มก็จะเสียเวลากันเปล่าๆ
อีกอย่างดิฉันเองก็อยากแต่งงาน เพื่อที่จะได้มีลูก ตอนที่อายุไม่มากจนเกินไปค่ะ
- เรื่องเงินที่ให้แฟนยืมใช้หนี้บัตรเครดิต
สืบเนื่องมาจากหลังงานบวชแฟนค่ะ พ่อแฟนเค้ามีปัญหาหมุนเงินไม่ทัน
บัตรเครดิตของพ่อแม่เค้าที่มีหลายใบ ก็วงเงินเต็ม
ยืมญาติพี่น้องและคนรู้จักมาหลายคนแล้ว
แต่ก็ยังมีที่ดินแถวรถไฟฟ้าสีม่วง 2แปลง ที่ซื้อไว้มานาน ซึ่งก็ติดอยู่ในธนาคารต้องผ่อน หากไม่หาเงินมาก็ต้องโดนยึด
ตอนนั้นแฟนเพิ่งเริ่มทำงานได้ประมาณ1ปี
พ่อแฟนจึงจะมาคุยกับพ่อดิฉันเพื่อขอยืมเงินสัก 4 แสน ไปหมุนก่อน
ซึ่งแฟนไม่เห็นด้วยเพราะรู้ว่าหากยืมก้อนนี้ คงไม่พ้นแฟนที่จะเป็นคนใช้คืนแน่นอน
ดิฉันเองก็ไม่กล้าที่จะบอกพ่อแม่ของตัวเองด้วย เพราะกลัวจะมองบ้านแฟนไม่ดี
จึงคิดช่วยเค้าโดยการจะขายที่ดินให้แทน โดยเมื่อกลางปีที่แล้วดิฉันขายได้1แปลง
ได้เงินมา 3 ล้านบาท ตอนแรกก็ดีใจค่ะ เพราะคิดว่าได้ช่วยที่บ้านแฟน
และแอบหวังว่าเงินก้อนนี้ส่วนนึงน่าจะมาใช้ในการจัดงานแต่งของเราสองคน
แต่ก็ต้องน่าผิดหวังและตกใจ เมื่อเงิน 3ล้าน
ถูกนำไป ถอนที่ดินคืน 2.1 ล้าน เหลือ9 แสน
พ่อเค้า นำเงิน 2แสน ไปปลดทองอันเป็นมรดกของตระกูลที่กำลังจะโดนโรงรับจำจำยึด
เหลือ7แสน แต่หนี้บัตรเครดิตหลายใบรวมกันเกือบล้าน
ดิฉันอ่านในเน็ต เค้าเสนอให้หยุดจ่ายดอก แล้วรอไกล่เกลี่ยลดหย่อน ให้จบทีเดียว
ทีนี้ เมื่อแม่แฟนถูกเรียกขึ้นศาล ก็ได้ลดหย่อน ปิดไปหลายใบ
จนมาถึงธนาคารที่ไปไถ่ที่ดินออกมา เค้ารู้ว่าเรามีเงิน
แต่ก็ขอลดให้จาก 6 แสนเหลือ 4 แสนบาท หากนำเงินมาชำระก้อนเดียว
4 แสนนี้ จึงเป็นที่มา ที่แฟนนำเงินเก็บที่จะไว้ใช้เป็นสินสอด 2 แสน
และเป็นเงินของดิฉันเอง อีก 2 แสนค่ะ
หลังจากเหตุการณ์นี้ ทำให้พ่อแฟน รู้สึกไม่ปลื้มดิฉัน
เพราะนำที่ท่านไปขาย และเค้าไม่ได้ใช้เงิน
ส่วนดิฉันเอง ช่วยขาย ไม่ได้เงินอะไรสักบาทเดียว ไปวิ่งขอลดหย่อนส่วนกลางหมู่บ้าน
ไปเจรจากับคนซื้อที่ดิน ไปคุยกับพนักงานธนาคารเพื่อขอลดหย่อนหนี้
สุดท้าย พ่อแม่แฟน ไม่ปลื้มเหมือนเดิมค่ะ TTOTT "
พ่อดิฉันบอกดิฉันว่า " แม้เราจะให้เงินเค้ายืม แต่ก็ให้ยืมแค่เงิน อย่าเอาเกียรติของแฟนมาแลก
จะพูดคิดทำอะไรให้คิดให้ดี เพราะไม่มีใคร อยากตกอยู่ในสภาพแบบนี้ "
สุดท้ายนี้ จริงๆ...... แฟนดิฉัน ใครมองภายนอก ก็อิจฉาดิฉันว่ามีแฟนที่ดี
แฟนไม่เที่ยว ไม่สูบบุหรี่ ไม่เจ้าชู้ และกตัญญูดูแลพ่อแม่
หากเลิกกัน ก็กลัวว่าอาจมีใครหลายคนติติงดิฉันว่าเป็นคนไม่ดี เลิกกันเพราะเรื่องเงิน ค่ะ
แม้ตอนนี้แค่คิดจะเริ่มแต่ง ปัญหายังเยอะขนาดนี้ อุปสรรคขวากหนามมากมายเหลือเกิน....โว้....โว
ก็หลับๆตื่นๆ .....จึงขอมาเพิ่มเติมนะคะ
- เรื่องแต่งงาน ไม่แต่งงานค่ะ
ดิฉันเคยคิดว่า หากแค่อยู่ด้วยกัน แล้วมีความสุข
ไม่ต้องแต่งงานกันก็ได้อยู่ต่อไปเรื่อยๆก็ไม่เปลืองดีด้วย
แต่พ่อแม่ดิฉันบอกว่า ถ้ารักกัน คบกันมานาน แล้วก็อยากให้แต่งงานกันให้ถูกต้อง
มันก็จะดีแก่ตัวดิฉันเอง พ่อแม่เค้าบอกว่า ไม่ต้องจัดงานใหญ่ ถึงขนาดถาโถมให้สิ้นเปลือง
แค่หลัก10กว่า- 20โต๊ะ ให้เป็นพิธี ซึ่งถ้าทำแบบนี้หากแฟนจะมาสานธุรกิจต่อ
ก็จะเริ่มกันได้ พ่อแม่ดิฉันยังพอมีแรงช่วยดูธุรกิจ ประคับประคองได้ตอนนี้
หากปล่อยนานไป หมดแรงกันก่อน ตอนนั้นจะมาเริ่มก็จะเสียเวลากันเปล่าๆ
อีกอย่างดิฉันเองก็อยากแต่งงาน เพื่อที่จะได้มีลูก ตอนที่อายุไม่มากจนเกินไปค่ะ
- เรื่องเงินที่ให้แฟนยืมใช้หนี้บัตรเครดิต
สืบเนื่องมาจากหลังงานบวชแฟนค่ะ พ่อแฟนเค้ามีปัญหาหมุนเงินไม่ทัน
บัตรเครดิตของพ่อแม่เค้าที่มีหลายใบ ก็วงเงินเต็ม
ยืมญาติพี่น้องและคนรู้จักมาหลายคนแล้ว
แต่ก็ยังมีที่ดินแถวรถไฟฟ้าสีม่วง 2แปลง ที่ซื้อไว้มานาน ซึ่งก็ติดอยู่ในธนาคารต้องผ่อน หากไม่หาเงินมาก็ต้องโดนยึด
ตอนนั้นแฟนเพิ่งเริ่มทำงานได้ประมาณ1ปี
พ่อแฟนจึงจะมาคุยกับพ่อดิฉันเพื่อขอยืมเงินสัก 4 แสน ไปหมุนก่อน
ซึ่งแฟนไม่เห็นด้วยเพราะรู้ว่าหากยืมก้อนนี้ คงไม่พ้นแฟนที่จะเป็นคนใช้คืนแน่นอน
ดิฉันเองก็ไม่กล้าที่จะบอกพ่อแม่ของตัวเองด้วย เพราะกลัวจะมองบ้านแฟนไม่ดี
จึงคิดช่วยเค้าโดยการจะขายที่ดินให้แทน โดยเมื่อกลางปีที่แล้วดิฉันขายได้1แปลง
ได้เงินมา 3 ล้านบาท ตอนแรกก็ดีใจค่ะ เพราะคิดว่าได้ช่วยที่บ้านแฟน
และแอบหวังว่าเงินก้อนนี้ส่วนนึงน่าจะมาใช้ในการจัดงานแต่งของเราสองคน
แต่ก็ต้องน่าผิดหวังและตกใจ เมื่อเงิน 3ล้าน
ถูกนำไป ถอนที่ดินคืน 2.1 ล้าน เหลือ9 แสน
พ่อเค้า นำเงิน 2แสน ไปปลดทองอันเป็นมรดกของตระกูลที่กำลังจะโดนโรงรับจำจำยึด
เหลือ7แสน แต่หนี้บัตรเครดิตหลายใบรวมกันเกือบล้าน
ดิฉันอ่านในเน็ต เค้าเสนอให้หยุดจ่ายดอก แล้วรอไกล่เกลี่ยลดหย่อน ให้จบทีเดียว
ทีนี้ เมื่อแม่แฟนถูกเรียกขึ้นศาล ก็ได้ลดหย่อน ปิดไปหลายใบ
จนมาถึงธนาคารที่ไปไถ่ที่ดินออกมา เค้ารู้ว่าเรามีเงิน
แต่ก็ขอลดให้จาก 6 แสนเหลือ 4 แสนบาท หากนำเงินมาชำระก้อนเดียว
4 แสนนี้ จึงเป็นที่มา ที่แฟนนำเงินเก็บที่จะไว้ใช้เป็นสินสอด 2 แสน
และเป็นเงินของดิฉันเอง อีก 2 แสนค่ะ
หลังจากเหตุการณ์นี้ ทำให้พ่อแฟน รู้สึกไม่ปลื้มดิฉัน
เพราะนำที่ท่านไปขาย และเค้าไม่ได้ใช้เงิน
ส่วนดิฉันเอง ช่วยขาย ไม่ได้เงินอะไรสักบาทเดียว ไปวิ่งขอลดหย่อนส่วนกลางหมู่บ้าน
ไปเจรจากับคนซื้อที่ดิน ไปคุยกับพนักงานธนาคารเพื่อขอลดหย่อนหนี้
สุดท้าย พ่อแม่แฟน ไม่ปลื้มเหมือนเดิมค่ะ TTOTT "
พ่อดิฉันบอกดิฉันว่า " แม้เราจะให้เงินเค้ายืม แต่ก็ให้ยืมแค่เงิน อย่าเอาเกียรติของแฟนมาแลก
จะพูดคิดทำอะไรให้คิดให้ดี เพราะไม่มีใคร อยากตกอยู่ในสภาพแบบนี้ "
สุดท้ายนี้ จริงๆ...... แฟนดิฉัน ใครมองภายนอก ก็อิจฉาดิฉันว่ามีแฟนที่ดี
แฟนไม่เที่ยว ไม่สูบบุหรี่ ไม่เจ้าชู้ และกตัญญูดูแลพ่อแม่
หากเลิกกัน ก็กลัวว่าอาจมีใครหลายคนติติงดิฉันว่าเป็นคนไม่ดี เลิกกันเพราะเรื่องเงิน ค่ะ
แม้ตอนนี้แค่คิดจะเริ่มแต่ง ปัญหายังเยอะขนาดนี้ อุปสรรคขวากหนามมากมายเหลือเกิน....โว้....โว
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 11
ผมว่าทางฝ่ายชายเห็นแก่ตัวเกินไป มีการมายืมเงินจขกทไปสองแสนแล้วบ้านยังมีภาระหนี้เพียบ
ขนาดจขกทช่วยเงินไปตั้งสองแสนยังไม่เห็นความดีของลูกสะใภ้ในอนาคต เป็นไปได้เค้าคงเห็น
ว่าหากหนูไม่รับข้อเสนอหนูก็ขึ้นคานไป
ถอนตัวออกมาดีกว่า คบกันมาเจ็ดแปดปี ผู้ชายแบบนี้กระจอกมากเลย แทนที่จะเป็นเสาหลักให้
ผู้หญิงได้พึ่งพิงกลับเอาภาระทางบ้านของตัวเองมาให้ฝ่ายหญิง ลุงเข้าใจแล้วหล่ะว่าทำไมผู้หญิง
ปัจจุบันชอบมีแฟนแก่ๆแบบลุง เพราะผู้ชายสมัยนี้มันทำตัวเป็นแมลงดา ประมาณว่าคอยเกาะผู้หญิง
กินแรงผู้หญิง
เอาเป็นว่าถ้ามันไม่มาสู่ขอไม่ให้เกียรติกันตามประเพณี ก็เลิกกับมันไปเลยดีกว่า ถ้าหนูจะขึ้นคานจริงๆ
ก็หลังไมค์มาบอกลุง เด้วลุงจาช่วยเป็นพ่อสื่อหาคนดีๆให้ ถ้าหาไม่ได้ลุงจะรับเลี้ยงเอง คนดีๆแบบนี้
แค่เป็นแฟนกันก็ยังให้ยื้มเงินไปสองแสน ผู้หญิงดีๆแบบนี้หาได้ที่ไหน ขนาดยังไม่ได้แต่งก็ยังช่วยกันขนาดนี้
ต่อให้มันให้สินสอดทองหมั้นทางฝ่ายหญิงเค้าก็คงคืนให้หมดเพราะเค้ารู้ว่าฝ่ายชายมันจนและหนี้เยอะ
ก็อย่างว่าผู้หญิงสมัยนี้ไม่รักนวลสงวนตัว ได้เสียกันก่อนแต่งงาน พ่อแม่มันก็คงคิดว่าได้กันไปแล้วไม่สนใจ
จะแต่งก็ตามใจ ไม่ได้ง้อ อะไรประมาณนั้นมั๊ง
ขนาดจขกทช่วยเงินไปตั้งสองแสนยังไม่เห็นความดีของลูกสะใภ้ในอนาคต เป็นไปได้เค้าคงเห็น
ว่าหากหนูไม่รับข้อเสนอหนูก็ขึ้นคานไป
ถอนตัวออกมาดีกว่า คบกันมาเจ็ดแปดปี ผู้ชายแบบนี้กระจอกมากเลย แทนที่จะเป็นเสาหลักให้
ผู้หญิงได้พึ่งพิงกลับเอาภาระทางบ้านของตัวเองมาให้ฝ่ายหญิง ลุงเข้าใจแล้วหล่ะว่าทำไมผู้หญิง
ปัจจุบันชอบมีแฟนแก่ๆแบบลุง เพราะผู้ชายสมัยนี้มันทำตัวเป็นแมลงดา ประมาณว่าคอยเกาะผู้หญิง
กินแรงผู้หญิง
เอาเป็นว่าถ้ามันไม่มาสู่ขอไม่ให้เกียรติกันตามประเพณี ก็เลิกกับมันไปเลยดีกว่า ถ้าหนูจะขึ้นคานจริงๆ
ก็หลังไมค์มาบอกลุง เด้วลุงจาช่วยเป็นพ่อสื่อหาคนดีๆให้ ถ้าหาไม่ได้ลุงจะรับเลี้ยงเอง คนดีๆแบบนี้
แค่เป็นแฟนกันก็ยังให้ยื้มเงินไปสองแสน ผู้หญิงดีๆแบบนี้หาได้ที่ไหน ขนาดยังไม่ได้แต่งก็ยังช่วยกันขนาดนี้
ต่อให้มันให้สินสอดทองหมั้นทางฝ่ายหญิงเค้าก็คงคืนให้หมดเพราะเค้ารู้ว่าฝ่ายชายมันจนและหนี้เยอะ
ก็อย่างว่าผู้หญิงสมัยนี้ไม่รักนวลสงวนตัว ได้เสียกันก่อนแต่งงาน พ่อแม่มันก็คงคิดว่าได้กันไปแล้วไม่สนใจ
จะแต่งก็ตามใจ ไม่ได้ง้อ อะไรประมาณนั้นมั๊ง
ความคิดเห็นที่ 58
ฐานะดี พ่อแม่รักและดูเป็นคนมีเหตุผลดี ครอบครัวดี จบการศึกษาดี หนูมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ทุกคนอยากมีอยู่แล้วนะ
หนูคิดดูดีๆ จะเอาปัญหาเข้ามาในชีวิตทำไม
ฟังคำของคุณแม่หนูไว้ แล้วคิดดีๆ คิดเยอะๆ ท่านพูดถูกแล้ว
"หากแฟนจะกตัญญู กับพ่อแม่แล้ว ไม่อยู่กับเราก็ไม่ผิด แต่เราก็ควรจะชัดเจน ไม่ใช่รอยืดเยื้อไปเรื่อยๆ
ถือว่าหมดบุญต่อกัน"
ฝ่ายชายอาจจะไม่ใช่คนไม่ดี แต่เท่าที่อ่าน เค้าไม่ใช่คนมีวุฒิภาวะมากพอที่จะเป็นผู้นำครอบครัว หรือ มีครอบครัวได้
อายุจะ 30 ปีแล้ว แต่
- ยังไม่สามารถตัดสินใจชีวิตตัวเองได้
- ยังไม่สามารถบริหารหนี้สิ้นและการเงินของตัวเองและครอบครัวได้
- ยังไม่สามารถอธิบายความจำเป็นในการบริหารการเงินแก่พ่อแม่ของตัวเองได้ (ในกรณีของที่ดิน ถ้าเค้าบอกเองว่าตัวเค้าเป็นตัดสินใจเรื่องการจ่ายหนี้เอง คุณก็ไม่ต้องโดนว่าที่พ่อแม่สามีเขม่น)
เอาแค่เหตุผลข้างต้น ป้าว่าหนูควร "เลิก" ดีกว่า
ชีวิตหลังแต่งงาน มันไม่หอมหวานอย่างที่หนูคิด
ลำพังไม่มีปัญหาเรื่องเงินทอง และพ่อแม่ไม่กินเส้นกัน ก็ปัญหาเยอะอยู่แล้ว
ป้าไม่ได้มองในเรื่องสินสอด หรือฐานะของฝ่ายชายนะ แต่ป้ามองวุฒิภาวะของฝ่ายชายและครอบครัวของฝ่ายชายเป็นหลัก
การดำเนินชีวิตของครอบครัวฝ่ายชายก็สำคัญ ถ้าฝ่ายชายไม่เข้มแข็งพอ ไม่สามารถแบ่งแยกได้
ฝ่ายชายจะนำปัญหาและความแตกร้าวเข้ามาในชีวิตแต่งงานเอง
หนู "เลิก" เอาความรักมาบังตาได้แล้วล่ะ
หนูไม่น่าใช่คนโง่ ความรักระหว่าง ช-ญ มันไม่ได้ยั่งยืน หรืออยู่ค้ำฟ้า สวยงาน หอมหวาน ยืนยาว สักเท่าไหร่นักหรอก
แต่งงานกันไปแล้ว ความรักมันก็จะน้อยลง แต่มันจะเปลี่ยนเป็นความผูกพัน ความเคารพ ความเชื่อถือ และการให้เกียรติกันมากกว่า
แต่ช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลง มันต้องอาศัยตัวแปรหลายๆ อย่าง และความหนักแน่นของทั้งสองฝ่าย มันถึงจะเปลี่ยนไปอยู่จุดนั้นได้นะ
หนูแน่ใจรึเปล่า ว่าทั้งหนูและเค้าจะสามารถฝ่าฟันจนไปถึงจุดนั้นได้
หนูคิดดูดีๆ จะเอาปัญหาเข้ามาในชีวิตทำไม
ฟังคำของคุณแม่หนูไว้ แล้วคิดดีๆ คิดเยอะๆ ท่านพูดถูกแล้ว
"หากแฟนจะกตัญญู กับพ่อแม่แล้ว ไม่อยู่กับเราก็ไม่ผิด แต่เราก็ควรจะชัดเจน ไม่ใช่รอยืดเยื้อไปเรื่อยๆ
ถือว่าหมดบุญต่อกัน"
ฝ่ายชายอาจจะไม่ใช่คนไม่ดี แต่เท่าที่อ่าน เค้าไม่ใช่คนมีวุฒิภาวะมากพอที่จะเป็นผู้นำครอบครัว หรือ มีครอบครัวได้
อายุจะ 30 ปีแล้ว แต่
- ยังไม่สามารถตัดสินใจชีวิตตัวเองได้
- ยังไม่สามารถบริหารหนี้สิ้นและการเงินของตัวเองและครอบครัวได้
- ยังไม่สามารถอธิบายความจำเป็นในการบริหารการเงินแก่พ่อแม่ของตัวเองได้ (ในกรณีของที่ดิน ถ้าเค้าบอกเองว่าตัวเค้าเป็นตัดสินใจเรื่องการจ่ายหนี้เอง คุณก็ไม่ต้องโดนว่าที่พ่อแม่สามีเขม่น)
เอาแค่เหตุผลข้างต้น ป้าว่าหนูควร "เลิก" ดีกว่า
ชีวิตหลังแต่งงาน มันไม่หอมหวานอย่างที่หนูคิด
ลำพังไม่มีปัญหาเรื่องเงินทอง และพ่อแม่ไม่กินเส้นกัน ก็ปัญหาเยอะอยู่แล้ว
ป้าไม่ได้มองในเรื่องสินสอด หรือฐานะของฝ่ายชายนะ แต่ป้ามองวุฒิภาวะของฝ่ายชายและครอบครัวของฝ่ายชายเป็นหลัก
การดำเนินชีวิตของครอบครัวฝ่ายชายก็สำคัญ ถ้าฝ่ายชายไม่เข้มแข็งพอ ไม่สามารถแบ่งแยกได้
ฝ่ายชายจะนำปัญหาและความแตกร้าวเข้ามาในชีวิตแต่งงานเอง
หนู "เลิก" เอาความรักมาบังตาได้แล้วล่ะ
หนูไม่น่าใช่คนโง่ ความรักระหว่าง ช-ญ มันไม่ได้ยั่งยืน หรืออยู่ค้ำฟ้า สวยงาน หอมหวาน ยืนยาว สักเท่าไหร่นักหรอก
แต่งงานกันไปแล้ว ความรักมันก็จะน้อยลง แต่มันจะเปลี่ยนเป็นความผูกพัน ความเคารพ ความเชื่อถือ และการให้เกียรติกันมากกว่า
แต่ช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลง มันต้องอาศัยตัวแปรหลายๆ อย่าง และความหนักแน่นของทั้งสองฝ่าย มันถึงจะเปลี่ยนไปอยู่จุดนั้นได้นะ
หนูแน่ใจรึเปล่า ว่าทั้งหนูและเค้าจะสามารถฝ่าฟันจนไปถึงจุดนั้นได้
ความคิดเห็นที่ 32
คุณบอกว่ามีสิทธิ์ที่ฝ่ายชายแต่งเข้าบ้าน มาทำกิจการที่บ้านคุณต่อจากพ่อแม่คุณ
แต่งกันไป สรุปสมบัติ ทรัพย์สินที่พ่อแม่คุณหามาตลอดชีวิต
จะต้องเอาไปใช้หนี้ให้บ้านฝ่ายชาย?
ไม่สงสารพ่อแม่ตัวเองบ้างเหรอคะ?
อ่านๆดู ก็ไม่ใช่ว่าพ่อแม่คุณจะร่ำรวยกันมาแต่อ้อนแต่ออกนี่คะ
เขาก็คงกัดก้อนเกลือทำงานสร้างตัวมาเหมือนกันนะ
แต่งกันไป สรุปสมบัติ ทรัพย์สินที่พ่อแม่คุณหามาตลอดชีวิต
จะต้องเอาไปใช้หนี้ให้บ้านฝ่ายชาย?
ไม่สงสารพ่อแม่ตัวเองบ้างเหรอคะ?
อ่านๆดู ก็ไม่ใช่ว่าพ่อแม่คุณจะร่ำรวยกันมาแต่อ้อนแต่ออกนี่คะ
เขาก็คงกัดก้อนเกลือทำงานสร้างตัวมาเหมือนกันนะ
แสดงความคิดเห็น
รู้สึกด้อยค่าค่ะ!! พ่อแม่ไม่เรียกสินสอด แต่พ่อแม่ฝ่ายชายไม่มาสู่ขอ ไม่มีผู้ใหญ่มาคุย แล้วบอกอยากแต่งงานให้จัดเอง TTOTT
สวัสดีค่ะเพื่อนๆทุกคน ดิฉันติดตามกระทู้ใน pantip มานานแต่มาตั้งกระทู้ปรึกษาครั้งแรกค่ะ
ตอนนี้คบกับแฟนมา 7 ปี เรา 2 คน อายุ 20 ปลายๆ ค่ะ
แฟนมีเชื้อจีน อยู่กับพ่อแม่ ที่บ้านมีลูกชาย3คน เป็นลูกชายคนกลาง ทำงานออฟฟิต เงินเดือน2-3หมื่นบาท
ส่วนดิฉันมีเชื้อจีน อยู่กับพ่อแม่ ที่บ้านมีลูกสาว2คน ดิฉันเป็นคนโต จบปริญญาโท แต่ทำธุรกิจส่วนตัวกับที่บ้านค่ะ
เมื่อตอนต้นปีที่ผ่านมา พ่อแม่ของดิฉันได้เคยคุยเรื่องแต่งงาน
เพราะเห็นว่าคบกันก็นานแล้ว
โดย
1. พ่อแม่ดิฉันไม่เรียกสินสอดใดๆค่ะ
2. หากแฟนดิฉันจะมาสานต่อกิจการที่บ้าน พ่อแม่ดิฉันก็ยินดีจะยกให้
(คือที่บ้านมีแต่ลูกสาวและดิฉันเป็นคนโตค่ะ แต่ถ้าแฟนไม่มาสานต่อที่บ้านก็อาจจะเลิก
ด้วยเงินทุนที่มีพอกินพอใช้ไม่ต้องทำก็ไม่เดือดร้อนค่ะ)
3. จะแต่งเข้ามาอยู่บ้านดิฉัน หรืออยากจะย้ายไปอยู่ด้วยกันก็ได้ตามใจ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาทางบ้านแฟนดิฉันมีปัญหาหนี้สิน หนี้บัตรเครดิต (อันนี้รู้ตั้งแต่ปีแรกที่คบกัน
แต่ตอนนั้นติดว่ายังเรียนกันอยู่ และคิดว่าปัญหาคงหมดไปถ้าโตและทำงาน)
ซึ่งตอนนี้ กลับกลายเป็นว่า ทางบ้านแฟน
- หนี้สินบุคคลหลายล้านก็ยังไม่เคลียร์
- หนี้บัตรเครดิตของพ่อแม่แฟน ได้ทำการปิดทุกใบแล้ว โดยแฟนดิฉันนำเงินที่จะเก็บไว้เป็นค่าสินสอดไปใช้หนี้ทั้งหมด ประมาณ2แสน และดิฉันได้ให้แฟนยืมเงิน ไปจ่ายอีก2 แสน
- ทั้งนี้จะมีหนี้ก้อนใหม่เข้ามาอีกหลายล้าน จากการที่คนในบ้านแฟน กู้ซื้อบ้านใหม่ราคา3ล้านกว่า เพราะบ้านเดิมเป็นบ้านเช่าและหมดสัญญาค่ะ
(ด้านการเงินบ้านเรา2คนถูกเลี้ยงมาคนละแบบกัน แม้จะเคยล้มมาเหมือนกัน
บ้านดิฉันโชคดีที่ทุกคนช่วยกัน หาเงิน เก็บเงิน จึงทำให้มีเหลือเก็บ และฟื้นตัวได้เร็ว
ส่วนบ้านแฟนก็จะมียืมคนมาบ้าง รูดบัตร ส่งดอกกันเรื่อยๆ การใช้จ่ายที่เน้นกินใช้ไม่ได้คิดอะไรกันมาก บางทีไปกินกันแพงกว่าครอบครัวดิฉันอีก >_<" คือตรงนี้อยู่ที่การบริหารจัดการเงินของแต่ละครอบครัวจริงๆนะคะ)
ซึ่งเรื่องการเงินด้วยนี้ แฟนดิฉันบอกกับดิฉันว่า ไม่เห็นด้วยกับการกู้ซื้อบ้านใหม่แพงๆ
เพราะกลัวเรื่องหมุนเงินไม่ทัน แต่พี่เค้าเป็นคนจัดการ ดังนั้นแฟนจึงอยากจะแต่งเข้ามาบ้านดิฉัน อยากมาทำธุรกิจส่วนตัว
แล้วระหว่างนี้ก็ทยอยใช้หนี้พ่อแม่ รวมถึงส่งเงินกลับไปให้เค้าใช้
ซึ่งทุกวันนี้ก็ส่งเป็นประจำเดือนละ5,000บาทตั้งแต่เริ่มทำงานเดือนแรกไม่เคยขาด
แต่เมื่อแฟนได้ไปคุยกับแม่แล้ว แม่แฟนก็บอกว่า
"ทำใจไม่ได้....หากลูกชายต้องแต่งออกไป"
แฟนจึงไม่ได้ทำอะไรต่อค่ะ ส่วนดิฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเหี่ยวฟีบลงค่ะ
ทั้งนี้ดิฉันไม่สนิทกับแม่แฟน เพราะสไตล์แม่แฟนจะเป็นคนเงียบๆพูดน้อยนะคะ
ดิฉันคุยอะไรก็เหมือนถามแล้วก็ตอบเฉยๆค่ะ ทั้งๆที่ปกติดิฉันจะเข้ากับคนได้ง่ายมาก
เพราะต้องคุยต้องเจอลูกค้าบ่อยๆ แต่คราวนี้เหมือนเคมีไม่ตรงกันเลยได้แค่นิ่งๆเงียบๆไปค่ะ
หลังจากเวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนถึงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
เราได้ วนมาคุยเรื่องนี้อีก ดิฉันคิดว่า ให้เวลาเค้าคุยกับแม่มานานแล้ว 9เดือนกว่า
คืออยากได้ความชัดเจนค่ะ ว่าจะเดินยังไงต่อไป
คราวนี้ พอแฟนไปถาม แม่แฟน เค้าก็บอกมาว่า
"ให้จัดการกันเอง ผู้ใหญ่มาเจอกันก็วันแต่งงานเลย"
พอดิฉันฟังแล้ว ก็สับสนว่าหากไม่มีผู้ใหญ่มาสู่ขอ ทั้งพ่อแม่แฟนและใครอื่นเลย
จะคุยกันเรื่องฤกษ์แต่ง การจัดงาน อย่างไร คือบ้านเรา2คนก็อยู่ไม่ไกลกันเลยแค่20-30สิบโล
และตอนงานบวชแฟนเมื่อ2ปีก่อน ครอบครัวดิฉันก็ไปร่วมงานกันทุกคนตั้งแต่ตี4ตี5 ที่ต่างจังหวัด
ตอนนั้นพ่อแม่แฟนก็เคยได้เจอได้คุยกันกับพ่อแม่ดิฉันค่ะ (อ่อ ตอนงานบวชแฟน ดิฉันไม่ได้ถือหมอนนะคะ
บ้านแฟนบอกว่ามันเป็นธรรมเนียม ห้ามร่วมขบวนใดๆ ดิฉันจึงถูกไปเป็นตากล้องแทนค่ะ TT-TT" )
ก่อนหน้านี้แม่ดิฉันบอกกับดิฉันว่า
"หากแฟนจะกตัญญู กับพ่อแม่แล้ว ไม่อยู่กับเราก็ไม่ผิด แต่เราก็ควรจะชัดเจน ไม่ใช่รอยืดเยื้อไปเรื่อยๆ
ถือว่าหมดบุญต่อกัน"
ดิฉันก็เห็นด้วยกับแม่นะคะ แต่ก็แอบคิดว่า "ในเมื่อบ้านดิฉันไม่ได้เรียกร้องสินสอดใดๆ
หนี้สินที่แฟนติดดิฉัน ก็ยังคงทยอยใช้อยู่ ไม่ได้ให้รีบร้อนจ่ายให้หมดแต่อย่างใด
แต่งมาก็มาสืบทอดกิจการที่บ้านดิฉัน ไม่ต้องดิ้นรนหาที่เงินเพื่อหาบ้านอยู่
.....กับการแค่ให้ผู้ใหญ่มาคุย..... เพื่อให้เกียรติพ่อแม่ของดิฉันเท่านั้นเอง"
เพื่อนๆคิดว่า ดิฉันคิดมากไปไหมคะ ? ดิฉันควรบอกกับพ่อแม่ดิฉันว่าอย่างไรดีคะ ?
หรือควรคิดว่าพ่อแม่แฟนแค่มาร่วมงานวันแต่งก็ดีเพียงพอแล้ว... ตอนนี้สับสนกับตัวเองมากไม่เคยรู้สึกด้อยค่าอย่างนี้เลยค่ะ TToTT"
ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนล่วงหน้านะคะ
---->>>>> ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนค่ะ ขอมาเพิ่มเติมในความคิดเห็นที่ 19 ค่ะ