สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
ในอนาคตเมืองไทยก็อาจจะเป็นแบบอเมริกาหรืออีกหลายประเทศในยุโรปแม้แต่ในญี่ปุ่น ออสเตรเลียครับ
ถ้าคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ยังไม่ตระหนัก ยังไม่เข้าใจระบบสาธารณสุข และระบบการทำงานของแพทย์
ยังเชื่อคำโฆษณาหรือสิ่งที่สื่อผ่านภาพยนต์ในไทย ซึ่งไม่ใช่ข้อทเ็จจริงทางการแพทย์
มีข้อเรียกร้องทางฝั่งผู้รับบริการสาธารณสุข ระบบสาธารณสุขภาครัฐก็มีแนวโน้มล้มเหลวมากขึ้น
นั่นเพราะคำว่าสามสิบบาทรักษาทุกโรคนั่นแหละ ที่มีคนทักท้วงตั้งแต่เริ่มโครงการแล้ว
จริงอยู่เป็นโครงการที่ดีต่อประชาชน และเป็นประชานิยมที่ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ชื่นชม
แต่อีกทางหนึ่งกลับทำให้ระบบสาธารณสุขไทยในฐานะผู้ให้บริการสุขภาพ เต็มไปด้วยปัญหาสะสม
บุคลากรมีความทุกข์ และเริ่มมีปัญหาในเชิงระบบมากมาย ตามที่มีคนมองเห็นก่อนล่วงหน้าและทักท้วงไว้แล้ว
ตอนนี้เริ่มมีปัญหาการขาดทุนของสถานบริการภาครัฐ การลดค่าใช้จ่ายในทุกด้าน
แน่นอนปัญหาจึงตามมาด้วยเรื่องของมาตรฐาน คุณภาพ อัตรากำลัง ภาระงานที่ไม่สมดุล
การใช้บุคลากรเกินกำลัง ความผิดพลาดทางการแพทย์ และการพัฒนาคุณภาพให้ได้ตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง
ขณะนี้หลายประเทศก็เริ่มปรากฏปัญหาระบบสุขภาพแล้ว โดยเฉพาะในอเมริกาเองตามที่ จขกท ยกตัวอย่างมาให้เห็น
และมีแนวโน้มว่าอาจเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เนื่องจากมีการใช้ค่าใช้จ่ายที่สูงมาก เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ต่อผู้รับบริการได้รับ
ประเทศไทยกำลังเดินหน้าด้วยทิศทางเดียวกันที่ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ต่อประชาชน
จากการที่มีการวิเคราะห์กันเบื้องต้นแล้วว่ามีค่าใช้จ่ายที่ศูนย์เปล่าสูงขึ้นมากมายจากผู้รับบริการเอง
ก็ไม่ทราบว่าถึงเวลาที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงหรือยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงหรือยังเท่านั้น
ถ้าคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ยังไม่ตระหนัก ยังไม่เข้าใจระบบสาธารณสุข และระบบการทำงานของแพทย์
ยังเชื่อคำโฆษณาหรือสิ่งที่สื่อผ่านภาพยนต์ในไทย ซึ่งไม่ใช่ข้อทเ็จจริงทางการแพทย์
มีข้อเรียกร้องทางฝั่งผู้รับบริการสาธารณสุข ระบบสาธารณสุขภาครัฐก็มีแนวโน้มล้มเหลวมากขึ้น
นั่นเพราะคำว่าสามสิบบาทรักษาทุกโรคนั่นแหละ ที่มีคนทักท้วงตั้งแต่เริ่มโครงการแล้ว
จริงอยู่เป็นโครงการที่ดีต่อประชาชน และเป็นประชานิยมที่ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ชื่นชม
แต่อีกทางหนึ่งกลับทำให้ระบบสาธารณสุขไทยในฐานะผู้ให้บริการสุขภาพ เต็มไปด้วยปัญหาสะสม
บุคลากรมีความทุกข์ และเริ่มมีปัญหาในเชิงระบบมากมาย ตามที่มีคนมองเห็นก่อนล่วงหน้าและทักท้วงไว้แล้ว
ตอนนี้เริ่มมีปัญหาการขาดทุนของสถานบริการภาครัฐ การลดค่าใช้จ่ายในทุกด้าน
แน่นอนปัญหาจึงตามมาด้วยเรื่องของมาตรฐาน คุณภาพ อัตรากำลัง ภาระงานที่ไม่สมดุล
การใช้บุคลากรเกินกำลัง ความผิดพลาดทางการแพทย์ และการพัฒนาคุณภาพให้ได้ตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง
ขณะนี้หลายประเทศก็เริ่มปรากฏปัญหาระบบสุขภาพแล้ว โดยเฉพาะในอเมริกาเองตามที่ จขกท ยกตัวอย่างมาให้เห็น
และมีแนวโน้มว่าอาจเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เนื่องจากมีการใช้ค่าใช้จ่ายที่สูงมาก เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ต่อผู้รับบริการได้รับ
ประเทศไทยกำลังเดินหน้าด้วยทิศทางเดียวกันที่ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ต่อประชาชน
จากการที่มีการวิเคราะห์กันเบื้องต้นแล้วว่ามีค่าใช้จ่ายที่ศูนย์เปล่าสูงขึ้นมากมายจากผู้รับบริการเอง
ก็ไม่ทราบว่าถึงเวลาที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงหรือยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงหรือยังเท่านั้น
ความคิดเห็นที่ 22
30 บาท รักษา ทุกโรค แต่ไม่รับประกันว่าจะหาย หรือตายอย่างทรมาร นะครับ
เพราะยาหลายอย่าง ดีพอๆกับยาตำราหลวง แต่ก่อนที่ใส่ถวายพระ
นี่คือเรื่องจริง ขนาดข้าราชการที่ว่าเบิกได้ ยานอก บช ยาหลักหากหมอจะจ่าย หมอต้องเซ็นรับผิดชอบให้
ในกรณี สุ่มตรวจแล้วทีมตรวจไม่เห็นด้วย
ผมจึงให้คนไข้ซื้อเอง ใครไม่พอใจก็ถือว่าไม่มีวาสนาการรักษาต่อกัน เปลี่ยนหมอไป มีคนต้องการรักษาอีกมาก
ไม่ใช่ไม่เห็นใจ แต่สงสารตัวเอง เคยโดนสอบอย่างกับเป็นผู้ต้องหา ทั้งๆที่ให้ยาดีคนไข้ จนบอกต่อกันมากมาย
คนที่ คุยสอบผมคือ อ พิสนธิ์ จงวัฒนา .... ผมก็เข้าใจท่านถึงงบประมาณประเทศที่มากมายกับการรักษาคนไข้
และท่านก็บอกว่า ....ผมจะกลับมาตรวจหมออีก
ด้วยมาตราฐานผม ....คงยังคงไว้บ้าง แต่ชำระกันเองนะ ผมไม่เสี่ยงเป็นจำเลยเพื่อคนไข้ ยอมทำตามทีมตรวจกรม บช กลาง
ดีกว่า หวังว่าวันหนึ่ง ทีมตรวจจะมีการเจ็บป่วย และช่วยจ่ายค่ายาที่เคยคิดว่าเกินความจำเป็นบ้าง
ดามพันธ์ นิลายน neurologist
เพราะยาหลายอย่าง ดีพอๆกับยาตำราหลวง แต่ก่อนที่ใส่ถวายพระ
นี่คือเรื่องจริง ขนาดข้าราชการที่ว่าเบิกได้ ยานอก บช ยาหลักหากหมอจะจ่าย หมอต้องเซ็นรับผิดชอบให้
ในกรณี สุ่มตรวจแล้วทีมตรวจไม่เห็นด้วย
ผมจึงให้คนไข้ซื้อเอง ใครไม่พอใจก็ถือว่าไม่มีวาสนาการรักษาต่อกัน เปลี่ยนหมอไป มีคนต้องการรักษาอีกมาก
ไม่ใช่ไม่เห็นใจ แต่สงสารตัวเอง เคยโดนสอบอย่างกับเป็นผู้ต้องหา ทั้งๆที่ให้ยาดีคนไข้ จนบอกต่อกันมากมาย
คนที่ คุยสอบผมคือ อ พิสนธิ์ จงวัฒนา .... ผมก็เข้าใจท่านถึงงบประมาณประเทศที่มากมายกับการรักษาคนไข้
และท่านก็บอกว่า ....ผมจะกลับมาตรวจหมออีก
ด้วยมาตราฐานผม ....คงยังคงไว้บ้าง แต่ชำระกันเองนะ ผมไม่เสี่ยงเป็นจำเลยเพื่อคนไข้ ยอมทำตามทีมตรวจกรม บช กลาง
ดีกว่า หวังว่าวันหนึ่ง ทีมตรวจจะมีการเจ็บป่วย และช่วยจ่ายค่ายาที่เคยคิดว่าเกินความจำเป็นบ้าง
ดามพันธ์ นิลายน neurologist
ความคิดเห็นที่ 41
ผมอยากสรุปแบบนี้นะว่าระบบสุขภาพของอเมริกาและประเทศไทยแตกต่างกันอย่างไร
โดยระบบของอเมริกาโดยหลักใหญ่ต่องมีการประกันครับ ที่ผู้รับบริการต้องจ่ายเพื่อซื้อประกัน
แต่ก็มีรูปแบบหลายๆรูปแบบ ซึ่งทำให้มีการจ่ายร่วม (co payment) ด้วยในบางรูปแบบ
ถ้าขัดสนหรือยากจนจริงก็จะมีระบบในการช่วยเหลือเช่นกัน ซึ่งต้องมีการตรวจสอบหลายขั้นตอน ยุ่งยาก
และมีข้อจำกัดในการดูแลรักษาพยาบาลพอสมควร
ด้วยระบบแบบนี้ส่งผลให้ประชาชนทุกคนต้องมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบและดูแลตัวเองให้ป่วยให้น้อยที่สุด
หรือถ้าป่วยต้องรู้จักการดูแลตนเอง เบื้องต้นก่อนที่จะเข้ารับบำบัดในสถานพยาบาลซึ่งขึ้นกับระดับความรุนแรงของโรค
ทำให้ภาระงานของบุคลากรสาธารณสุขน้อยลง ความผิดพลาดในการดูแลรักษาน้อยลง
แต่ระบบเมืองไทยที่มีสี่กองทุนหลักคือ กองทุนหลักประกันสุขภาพ กองทุนประกันสังคม
กองทุนสิทธิเบิกข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรส่วนท้องถิ่น และสุดท้ายคือกองทุนประกันสุขภาพของเอกชน
และสิทธิประโยชน์แต่ละกองทุนแตกต่างกัน โดยที่ใหญ่ที่สุดคือกองทุนหลักประกันสุขภาพ
(ที่มีการโฆษณาชวนเชื่อมากที่สุด กองทุนใหญ่ที่สุด และทำให้สถานพยาบาลขาดทุนมากที่สุด
ซึ่งเป็นเหตุผลที่แทบจะหาสถานพยาบาลเอกชนมารับกองทุนนี้ไม่ได้ ต้องบังคับให้สถานพยาบาลภาครัฐรับ)
ผลของระบบสุขภาพที่เกิดในประเทศไทย ก่อให้เกิดความแตกต่างกับอเมริกาคือ
เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาได้ง่ายกว่าในอเมริกา ก่อให้เกิดความต้องการการรักษาเทียม
ไม่ก่อให้เกิดการดูแลตนเองเท่าที่ควรจะเป็น ไม่ป้องกันตนเองที่จะทำให้เกิดการเจ็บป่วย
ไม่เรียนรู้ที่จะดูแลตนเองก่อนเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล
ทำให้สถิติการเข้ารับการรักษาทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรแล้ว
คนไทยในบริการสถานพยาบาลสูงกว่าในอเมริกา ซึ่งส่วนหนึ่งก็คืออุปสงค์เทียม
ก่อให้เกิดภาระงานสำหรับบุคลากรสาธารณสุขมากกว่าในอเมริกา เมื่อเทียบกับจำนวนบุคลากรที่มี
โดยเฉพาะสายแพทย์และพยาบาลจึงเกิดความขาดแคลนเป็นจำนวนมาก
จำนวนเฉลี่ยชั่วโมงทำงานของแพทย์ไทยในโรงพยาบาลรัฐมากกว่าแพทย์ในอเมริกาเกือบสองเท่า
ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพการทำงาน และข้อผิดพลาดทางการแพทย์ที่เกิดจากบุคลากรสาธารณสุขมาก
ดังนั้นอย่างที่มีหลายความเห็นว่าแพทย์ไทยไม่ใช่ไม่เก่ง แต่เรามีภาระงานมากกว่าแพทย์อเมริกามาก
โอกาสของความผิดพลาดจึงมีได้สูงกว่ามาก
ที่จริงยังมีรายละเอียดอีกหลายประเด็น แต่ถึงวันนี้คงต้องมาทบทวนแล้วว่าระบบสุขภาพของไทย
จะไปในทิศทางใหน ควรเปลี่ยนแปลงหรือไม่อย่างไร
ต้องเข้าใจว่าระบบที่มีอยู่ในไทย แตกต่างจากในยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวันและอีกหลายประเทศ
ซึ่งทั้งหมดมีแนวโน้มรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งไม่เหมือนประเทศไทย
และอย่าเชื่อว่าหลายประเทศชื่นชมระบบหลักประกันสุขภาพของไทย เพราะคำอ้างนี้ถูกกล่าวโดยบางกลุ่มเท่านั้น
และอ้างอิงจากกลุ่มคนประเภทคอเดียวกันในต่างประเทศที่ทำงานลักษณะอย่างเดียวกัน
แต่ข้อเท็จจริงในปัจจุบันคือ คำอ้างชื่นชม แต่ไม่มีประเทศใดในโลกนี้ยอมเลียนแบบวิธีการดำเนินงาน
ตามรูปแบบหลักประกันสุขภาพของไทยเลย
และข้อเท็จจริงอีกอย่างคือแม้ไทยมีการเข้าถึงหลักประกันหรือการรักษามาก
แต่ผลลัพธ์ต่อผู้ป่วยไม่ได้ดีขึ้น เมื่อเทียบกับในต่างประเทศเลย ในแต่ละตัวชี้วัด
และเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพดูจะด้อยกว่าในต่างประเทศด้วยซ้ำ แค่ในอาเซียนเราก็ด้อยกว่าแล้ว
โดยระบบของอเมริกาโดยหลักใหญ่ต่องมีการประกันครับ ที่ผู้รับบริการต้องจ่ายเพื่อซื้อประกัน
แต่ก็มีรูปแบบหลายๆรูปแบบ ซึ่งทำให้มีการจ่ายร่วม (co payment) ด้วยในบางรูปแบบ
ถ้าขัดสนหรือยากจนจริงก็จะมีระบบในการช่วยเหลือเช่นกัน ซึ่งต้องมีการตรวจสอบหลายขั้นตอน ยุ่งยาก
และมีข้อจำกัดในการดูแลรักษาพยาบาลพอสมควร
ด้วยระบบแบบนี้ส่งผลให้ประชาชนทุกคนต้องมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบและดูแลตัวเองให้ป่วยให้น้อยที่สุด
หรือถ้าป่วยต้องรู้จักการดูแลตนเอง เบื้องต้นก่อนที่จะเข้ารับบำบัดในสถานพยาบาลซึ่งขึ้นกับระดับความรุนแรงของโรค
ทำให้ภาระงานของบุคลากรสาธารณสุขน้อยลง ความผิดพลาดในการดูแลรักษาน้อยลง
แต่ระบบเมืองไทยที่มีสี่กองทุนหลักคือ กองทุนหลักประกันสุขภาพ กองทุนประกันสังคม
กองทุนสิทธิเบิกข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรส่วนท้องถิ่น และสุดท้ายคือกองทุนประกันสุขภาพของเอกชน
และสิทธิประโยชน์แต่ละกองทุนแตกต่างกัน โดยที่ใหญ่ที่สุดคือกองทุนหลักประกันสุขภาพ
(ที่มีการโฆษณาชวนเชื่อมากที่สุด กองทุนใหญ่ที่สุด และทำให้สถานพยาบาลขาดทุนมากที่สุด
ซึ่งเป็นเหตุผลที่แทบจะหาสถานพยาบาลเอกชนมารับกองทุนนี้ไม่ได้ ต้องบังคับให้สถานพยาบาลภาครัฐรับ)
ผลของระบบสุขภาพที่เกิดในประเทศไทย ก่อให้เกิดความแตกต่างกับอเมริกาคือ
เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาได้ง่ายกว่าในอเมริกา ก่อให้เกิดความต้องการการรักษาเทียม
ไม่ก่อให้เกิดการดูแลตนเองเท่าที่ควรจะเป็น ไม่ป้องกันตนเองที่จะทำให้เกิดการเจ็บป่วย
ไม่เรียนรู้ที่จะดูแลตนเองก่อนเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล
ทำให้สถิติการเข้ารับการรักษาทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรแล้ว
คนไทยในบริการสถานพยาบาลสูงกว่าในอเมริกา ซึ่งส่วนหนึ่งก็คืออุปสงค์เทียม
ก่อให้เกิดภาระงานสำหรับบุคลากรสาธารณสุขมากกว่าในอเมริกา เมื่อเทียบกับจำนวนบุคลากรที่มี
โดยเฉพาะสายแพทย์และพยาบาลจึงเกิดความขาดแคลนเป็นจำนวนมาก
จำนวนเฉลี่ยชั่วโมงทำงานของแพทย์ไทยในโรงพยาบาลรัฐมากกว่าแพทย์ในอเมริกาเกือบสองเท่า
ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพการทำงาน และข้อผิดพลาดทางการแพทย์ที่เกิดจากบุคลากรสาธารณสุขมาก
ดังนั้นอย่างที่มีหลายความเห็นว่าแพทย์ไทยไม่ใช่ไม่เก่ง แต่เรามีภาระงานมากกว่าแพทย์อเมริกามาก
โอกาสของความผิดพลาดจึงมีได้สูงกว่ามาก
ที่จริงยังมีรายละเอียดอีกหลายประเด็น แต่ถึงวันนี้คงต้องมาทบทวนแล้วว่าระบบสุขภาพของไทย
จะไปในทิศทางใหน ควรเปลี่ยนแปลงหรือไม่อย่างไร
ต้องเข้าใจว่าระบบที่มีอยู่ในไทย แตกต่างจากในยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวันและอีกหลายประเทศ
ซึ่งทั้งหมดมีแนวโน้มรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งไม่เหมือนประเทศไทย
และอย่าเชื่อว่าหลายประเทศชื่นชมระบบหลักประกันสุขภาพของไทย เพราะคำอ้างนี้ถูกกล่าวโดยบางกลุ่มเท่านั้น
และอ้างอิงจากกลุ่มคนประเภทคอเดียวกันในต่างประเทศที่ทำงานลักษณะอย่างเดียวกัน
แต่ข้อเท็จจริงในปัจจุบันคือ คำอ้างชื่นชม แต่ไม่มีประเทศใดในโลกนี้ยอมเลียนแบบวิธีการดำเนินงาน
ตามรูปแบบหลักประกันสุขภาพของไทยเลย
และข้อเท็จจริงอีกอย่างคือแม้ไทยมีการเข้าถึงหลักประกันหรือการรักษามาก
แต่ผลลัพธ์ต่อผู้ป่วยไม่ได้ดีขึ้น เมื่อเทียบกับในต่างประเทศเลย ในแต่ละตัวชี้วัด
และเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพดูจะด้อยกว่าในต่างประเทศด้วยซ้ำ แค่ในอาเซียนเราก็ด้อยกว่าแล้ว
ความคิดเห็นที่ 27
เห็นด้วยนะครับ ที่บอกว่าระบบสาธารณสุขของสหรัฐห่วยมาก
แต่ถ้าจะมาเทียบกับของไทย แล้วบอกว่าคนไทยโชคดีแล้ว ผมไม่เห็นด้วย
ประเทศในทวีปยุโรป ระบบสาธารณสุขดีที่สุดในโลกแล้วก็ว่าได้ ดีกว่าสหรัฐแบบไม่เห็นฝุ่น
แต่ของไทย อย่าไปบอกว่าดีกว่าอเมริกาเลยอายเค้า
โดยเฉพาะระบบประกันสุขภาพหรือ 30 บาทรักษาทุกโรค
มันเป็นผักชีโรยหน้า ของนักการเืมืองเท้านั้น ถ้าคุณลงไปดูในรายละเอียดจะรู้ว่ามันห่วยมาก
ที่ชอบพูดๆกันว่า โอบาม่ายังอยากเอา 30 บาทไปทำเลยนะคุณ
อยากบอกว่า universal coverage หรือ basic plan ที่สหรัฐพยายามจะทำให้ uninsured citizen อีกกว่า 50 ล้านคนในประเทศเค้าไม่เหมือนโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคของเราแน่นอน
- ระบบเหมาจ่ายโดยบังคับลดต้นทุนการรักษา คุณไม่มีวันได้มาตรฐานการรักษาไม่ว่าจะเป็นยา หรือ รายละเอียดยิบย่อยในการรักษาต่างๆ แบบที่ควรจะเป็นได้เลย
เหมือนรถยนตร์ ดูผ่านๆหน้าตาเหมือนกัน แต่อีกคันตัดออพชั่นแทบทุกอย่าง ถุงลมนีรภัย ระบบความปลอดภัย ชินส่วนในการผลิต แต่วิ่งได้เหมือนกันจากจุด A ไปจุด B
- หมอไทยเหมือนว่าจะเข้าหาง่ายไปเมื่อไหร่ก็ได้แต่ 'คุณภาพต่ำ' ไม่ใช่หมอไทยไม่เก่ง แต่จำนวนคนไข้ที่ต้องดูต่อแพทย์หนึ่งคน และ การไม่จำกัดชั่วโมงการทำงาน ต้องอดหลับอดนอนมาทำงาน สองข้อนี้ก็๋เกินพอแล้ว
หมอตรวจคนไข้ที่โอพีดีใช้เวลาเท่าไหร่ต่อคนไข้หนึ่งคน ในระบบบสามสิบบาทหรือประกันสุขภาพถ้วนหน้า
- ระบบประชานิยมแบบนี้ สร้างความเชื่อผิดๆให้กับคนไข้ คนไทยส่วนใหญ่ถ้าอะไรมันฟรี มักจะไม่เห็นคุณค่า ได้ยากินๆก็ทิ้ง หมดก็มาเอาใหม่ เพราะคิดว่าเงินภาษีกรูทั้งนั้น ทำลาย doctor-patient relationship หมออยู่ในฐานะของลูกจ้างเงินภาษีของเค้าอยากได้อะไรต้องได้ ไม่ได้มีเรื่อง ทุเรศสิ้นดี
- ที่แฟนคุณจ่ายต่อเดือน คือ employer-based Insurance system จ่ายต่อเดือนเท่านั้นถือว่าถูกมาก การที่ต้อง co-pay เป็นเรื่องปกติ ถ้าคุณอยากได้ 100% coverage เลือก plan ได้แต่จ่ายแพงขึ้นเท่านั้นแฟร์ๆ
แต่การที่ต้องจ่ายทุกครั้งที่ไปนัดแม้ไม่พบแพทย์อันนี้เห็นด้วยว่าห่วย
- เมืองไทย - All in one ในที่เดียว คุณเทียบกับ บำรุงราษฎร์ กรุงเทพ หรือ SiPH รึเปล่า ถ้าเป็นรพ.รัฐ ยิ่ง รพช. ไม่ต้องพูดถึง หรือ แม้แต่รพ.เอกชน ไม่มีเฉพาัะทางยิบย่อยทุกสาขาให้จบในวันเดียวแ่น่ๆ
ขอโทษนะครับที่มาสวนกระแสแบบนี้ แต่ผมขอมองต่างมุมเพราะไม่คิดว่าคนไทยโชคดีเลย
ถ้าเลือกได้ ผมอยากได้แบยุโรป อันนั้นเค้าสุดยอดจริงๆ
แต่ถ้าจะมาเทียบกับของไทย แล้วบอกว่าคนไทยโชคดีแล้ว ผมไม่เห็นด้วย
ประเทศในทวีปยุโรป ระบบสาธารณสุขดีที่สุดในโลกแล้วก็ว่าได้ ดีกว่าสหรัฐแบบไม่เห็นฝุ่น
แต่ของไทย อย่าไปบอกว่าดีกว่าอเมริกาเลยอายเค้า
โดยเฉพาะระบบประกันสุขภาพหรือ 30 บาทรักษาทุกโรค
มันเป็นผักชีโรยหน้า ของนักการเืมืองเท้านั้น ถ้าคุณลงไปดูในรายละเอียดจะรู้ว่ามันห่วยมาก
ที่ชอบพูดๆกันว่า โอบาม่ายังอยากเอา 30 บาทไปทำเลยนะคุณ
อยากบอกว่า universal coverage หรือ basic plan ที่สหรัฐพยายามจะทำให้ uninsured citizen อีกกว่า 50 ล้านคนในประเทศเค้าไม่เหมือนโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคของเราแน่นอน
- ระบบเหมาจ่ายโดยบังคับลดต้นทุนการรักษา คุณไม่มีวันได้มาตรฐานการรักษาไม่ว่าจะเป็นยา หรือ รายละเอียดยิบย่อยในการรักษาต่างๆ แบบที่ควรจะเป็นได้เลย
เหมือนรถยนตร์ ดูผ่านๆหน้าตาเหมือนกัน แต่อีกคันตัดออพชั่นแทบทุกอย่าง ถุงลมนีรภัย ระบบความปลอดภัย ชินส่วนในการผลิต แต่วิ่งได้เหมือนกันจากจุด A ไปจุด B
- หมอไทยเหมือนว่าจะเข้าหาง่ายไปเมื่อไหร่ก็ได้แต่ 'คุณภาพต่ำ' ไม่ใช่หมอไทยไม่เก่ง แต่จำนวนคนไข้ที่ต้องดูต่อแพทย์หนึ่งคน และ การไม่จำกัดชั่วโมงการทำงาน ต้องอดหลับอดนอนมาทำงาน สองข้อนี้ก็๋เกินพอแล้ว
หมอตรวจคนไข้ที่โอพีดีใช้เวลาเท่าไหร่ต่อคนไข้หนึ่งคน ในระบบบสามสิบบาทหรือประกันสุขภาพถ้วนหน้า
- ระบบประชานิยมแบบนี้ สร้างความเชื่อผิดๆให้กับคนไข้ คนไทยส่วนใหญ่ถ้าอะไรมันฟรี มักจะไม่เห็นคุณค่า ได้ยากินๆก็ทิ้ง หมดก็มาเอาใหม่ เพราะคิดว่าเงินภาษีกรูทั้งนั้น ทำลาย doctor-patient relationship หมออยู่ในฐานะของลูกจ้างเงินภาษีของเค้าอยากได้อะไรต้องได้ ไม่ได้มีเรื่อง ทุเรศสิ้นดี
- ที่แฟนคุณจ่ายต่อเดือน คือ employer-based Insurance system จ่ายต่อเดือนเท่านั้นถือว่าถูกมาก การที่ต้อง co-pay เป็นเรื่องปกติ ถ้าคุณอยากได้ 100% coverage เลือก plan ได้แต่จ่ายแพงขึ้นเท่านั้นแฟร์ๆ
แต่การที่ต้องจ่ายทุกครั้งที่ไปนัดแม้ไม่พบแพทย์อันนี้เห็นด้วยว่าห่วย
- เมืองไทย - All in one ในที่เดียว คุณเทียบกับ บำรุงราษฎร์ กรุงเทพ หรือ SiPH รึเปล่า ถ้าเป็นรพ.รัฐ ยิ่ง รพช. ไม่ต้องพูดถึง หรือ แม้แต่รพ.เอกชน ไม่มีเฉพาัะทางยิบย่อยทุกสาขาให้จบในวันเดียวแ่น่ๆ
ขอโทษนะครับที่มาสวนกระแสแบบนี้ แต่ผมขอมองต่างมุมเพราะไม่คิดว่าคนไทยโชคดีเลย
ถ้าเลือกได้ ผมอยากได้แบยุโรป อันนั้นเค้าสุดยอดจริงๆ
ความคิดเห็นที่ 14
จริงๆแล้วถ้าพูดถึงปัญหาการบริการของโรงพยาบาลรัฐของไทย ปัญหามันก็ยื้ดยาวตั้งแต่ การเพิ่มรายได้เข้ารัฐ เช่นเพิ่มภาษีรายได้ภาคประชาชน เพิ่มงบประมาณทางการแพทย์ เพิ่มเงินเดือนให้แก่หมอและบุคคลากรทางการแพทย์
ที่เห็นชาวไกลบ้านได้รับบริการทางการแพทย์อย่างดีนั้น เค้าเสียภาษีรายได้กันตั้งแต่ 30-50%ทั้งนั้น แม้ไม่ได้ทำงานประจำ ทำธุรกิจส่วนตัวก็ต้องแจ้งภาษีทุกปี
ไม่ใช่อยากจะตังร้านขายอาหารข้างทาง เบียดบังทางเดินส่วนกลาง ได้รายได้เต็มๆไม่ต้องเสียภาษีใดๆแบบเมืองไทย
ที่บอกว่าคนไทยโชคดีนั้น เพราะภาษีรายได้ต่ำ บางคนก็ไม่ต้องเสียภาษีเลย ประกันสุขภาพก็ไม่จำเป็นต้องจ่าย ถ้าทำงาน บริหารจัดการเงินดีๆ มีเงินสำรอง ก็สามารถไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนได้
ถึงบอกว่า ที่เมืองไทย เราเอื้อประโยชน์ส่วนตัวกันเยอะ แล้วก็คาดหวังบริการดีๆ ของฟรี บุคคลากรที่มีคุณภาพจากรัฐ
เราก็ไม่ใช่ผุ้เชี่ยวชาญอะไรหรอก แค่คนใช้บริการคนหนึ่ง ความคิดเห็นมีผิดมีถูกบ้าง มาอยู่ต่างประเทศเพื่อเก็บเงิน กลับไปใช้ ไปรักษาตัวที่เมื่องไทยดีกว่า
มาอยู่เมืองนอกแล้วเราไปหาหมอน้อยลง รักษาสุขภาพเองดีกว่า เพราะขี้เกียจเสียค่าใช้จ่ายฉุกฉิกอีก ถือแม้เราต้องจ่ายค่าประกันสุขภาพไปฟรีๆทุกเดือนก็ตาม เหมือนระบบอเมริกาเค้าคัดกรองคนที่ไม่ได้เจ็บป่วยจริงๆออกไปอยู่แล้ว เหลือคนที่จำเป็นเท่านั้นที่จะไปโรงพยาบาล
ที่เห็นชาวไกลบ้านได้รับบริการทางการแพทย์อย่างดีนั้น เค้าเสียภาษีรายได้กันตั้งแต่ 30-50%ทั้งนั้น แม้ไม่ได้ทำงานประจำ ทำธุรกิจส่วนตัวก็ต้องแจ้งภาษีทุกปี
ไม่ใช่อยากจะตังร้านขายอาหารข้างทาง เบียดบังทางเดินส่วนกลาง ได้รายได้เต็มๆไม่ต้องเสียภาษีใดๆแบบเมืองไทย
ที่บอกว่าคนไทยโชคดีนั้น เพราะภาษีรายได้ต่ำ บางคนก็ไม่ต้องเสียภาษีเลย ประกันสุขภาพก็ไม่จำเป็นต้องจ่าย ถ้าทำงาน บริหารจัดการเงินดีๆ มีเงินสำรอง ก็สามารถไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนได้
ถึงบอกว่า ที่เมืองไทย เราเอื้อประโยชน์ส่วนตัวกันเยอะ แล้วก็คาดหวังบริการดีๆ ของฟรี บุคคลากรที่มีคุณภาพจากรัฐ
เราก็ไม่ใช่ผุ้เชี่ยวชาญอะไรหรอก แค่คนใช้บริการคนหนึ่ง ความคิดเห็นมีผิดมีถูกบ้าง มาอยู่ต่างประเทศเพื่อเก็บเงิน กลับไปใช้ ไปรักษาตัวที่เมื่องไทยดีกว่า
มาอยู่เมืองนอกแล้วเราไปหาหมอน้อยลง รักษาสุขภาพเองดีกว่า เพราะขี้เกียจเสียค่าใช้จ่ายฉุกฉิกอีก ถือแม้เราต้องจ่ายค่าประกันสุขภาพไปฟรีๆทุกเดือนก็ตาม เหมือนระบบอเมริกาเค้าคัดกรองคนที่ไม่ได้เจ็บป่วยจริงๆออกไปอยู่แล้ว เหลือคนที่จำเป็นเท่านั้นที่จะไปโรงพยาบาล
แสดงความคิดเห็น
เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายและบริการทางแพทย์ระหว่างไทยกับอเมริกา เราคิดว่าคนไทยโชดดีแล้วนะ
อเมริกา-ทุกคนควรจะมีประกันสุขภาพ
จริงๆก็เหมือนบังคับที่ทุกคนต้องจ่ายค่าประกันสุขภาพรายเดือน แม้แต่คนที่ไม่ได้ทำงานประจำ เพราะถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินเข้า ICU ต้องผ่าตัดโดยไม่มีประกันสุขภาพ ค่าใช้จ่ายจะแพงมาก หลัก หมื่นถึงแสนเหรียญขึ้นไป คลีนิคคนจนเค้าก็มี รักษาได้โรคทั่วไป แต่เกิดเหตุหนักๆ คนจนก็ต้องจ่ายเหมือนกัน แต่อาจจะขอความช่วยเหลือ ผ่อนผันจากรัฐได้ โดยภาระนี้ตกไปที่คนทำงานเสียภาษีทั่วไป เสียภาษีรายได้กันตั้งแต่ 30%ขึ้นไป
ค่าประกันสุชภาพของอเมริกาประมาณ $100-400 ขึ้นไปแล้วแต่แพ็คเก็ต แต่มีข้อจำกัดมากมาย อย่างแฟนเรา ประกอบอาชีพส่วนตัว จ่ายค่าประกันสุขภาพ $400ต่อเดือน ทั้งๆที่ไม่ได้เจ็บป่วย จ่ายมาเป็นสิบปี แต่พอเจ็บป่วยจริงๆกลับไม่สามารถรับการรักษาได้อย่างเต็มที่ เช่นหมอจ่ายยาแก้ปวดหลังสำหรับหนึ่งเดือนแต่ประกันจ่ายให้แค่ครึ่งเดือน ที่เหลืออีกค่ายาอีกครึ่งเดือน $500ต้องจ่ายเอง ลูกเราผ่าตัดถุงน้ำในอัณฑะ เราต้องจ่าย $1000 หลังจากหักจากประกันแล้ว (ไม่ได้นอนโรงพยาบาลนะ แค่ไปรอและผ่าตัดไม่กี่ชั่วโมงแล้วกลับบ้าน)
ขณะที่คนไทย ไม่จำเป็นตัองจ่ายประกันสุขภาพ เจ็บป่วยค่อยจ่าย มีทั้ง 30บาทรักษาได้ทุกโรค(amazing Thailand จริงๆ ทำได้ยังไง) มีบัตรทอง ภาษีรายได้ก็ต่ำ
อเมริกา –จ่ายก่อนพบหมอ
นอกจากจ่ายค่าประกันสุขภาพรายเดือนแล้ว การไปหาหมอแต่ละครั้งต้องจ่ายค่า co-pay $10-30 ขึ้นไป ทั้งๆที่ยังไม่ได้เจอหมอ บางทีแค่เข้าไปคุย ขอใบสั่งยา เช่นยาคุมที่ซื้อเองไม่ได้ ต้องไปหาหมอออกไปสั่งยา บางครั้งนัดหลายรอบก็ต้องจ่ายทุกครั้ง อย่างเรา ช่วงฝากครรภ์ ต้องไปหาหมอเดือนละสองครั้ง ก็ต้องจ่าย $10ในแต่ละครั้ง บางที่หาหมอกับอัลตร้าซาวน์แยกเวลากันก็ต้องจ่ายแยก เราเคยไปตรวจมะเร็งเต้านม หมอตรวจหนึ่งครั้งบอกว่าอาจจะมีก้อนเนื้อ ส่งเรื่องไปที่ศูนย์Mammogram ศูนย์บอกไม่มี ต้องกลับไปหาหมอคนเดืมอีกที สรุปจ่ายสามรอบ นี้คือไม่ได้ยาใดๆ แค่หาหมอ เขียนใบสั่ง แล้วไปซื้อยาอีกที
เมืองไทย –All in one ในที่เดืยว
อย่างไปโรงพยาบาลไทย ตรวจรักษา เจาะเลือด เอ็กซเรย์ หมอทั่วไป หมอเฉพาะทาง จ่ายยา จบในที่เดียว ลางานไปหนึ่งวันแค่นั้น ขณะที่อเมริกาแยกกันหมด ตรวจที่หนึ่ง จะเจาะเลือดที่หนึ่ง ถ้าหมอทั่วไปส่งเรื่องต่อให้หมอเฉพาะทาง ก็ต้องนัดใหม่ เสียเวลางานมากเพราะต้องนัดหลายที คนละวัน และหมอเค้าแยกย่อยมาก อย่างเราเหงือกบวมไปหาหมอฟัน หมอบอกเป็นฟันคุดแต่หมอทำไม่ได้ ต้องนัดกับหมอผ่าฟันคุดอีกที สรุปเรารอกลับไปรักษาที่เมืองไทยดีกว่า เพราะผ่าฟันคุดในเมกาจะแพงมาก กว่าจะรักษาอะไรซักทีต้องนัดหลายครั้ง ไปหลายที่ใช้เวลานานกว่าไทยมาก
ที่อเมริกา -หาหมอแต่เค้าไม่จ่ายยา ต้องไปร้านยาซิ้อยาอีกที เรื่องนี้บางทีถ้าอยู่คนเดียวไม่สบายแล้วจะลากสังขารไปซื้อยาได้ยังไง เพื่อนเราเป็นอัมพฤกษ์แล้วไม่มีประกัน แค่ขยับนิ้วได้นิดเดียวทางโรงพยาบาลก็ผลักดันให้กลับบ้านได้โดยไม่มียามาให้เลย แฟนเพื่อนก็ไม่ค่อยพอใจเพราะดึกแล้ว ต้องไปตระเวนหาร้านยาที่เปิดดึกๆ ซึ่งไม่ได้เปิดทุกร้าน
อเมริกา –ระบบนัดอย่างเดียวไม่ว่าจะเป็นรัฐหรือเอกชน
ไม่เหมือนเมืองไทย ไม่สบายก็ไปหาหมอเลย ไปนั่งรอแล้วคาดหวังว่าจะได้รับบริการอย่างรวดเร็ว หมอไม่สามารจจำกัดจำนวนคนรักษาต่อวันได้
ที่อเมริกาก็มีพวก urgent care ที่ไปหาหมอได้เลย แต่รักษาได้ทั่วไป เคสยากๆก็ต้องส่งต่อนัดหมอ อย่างแฟนเรา ล้ม กระดูกข้อมือแตก ไปurgent care เค้าก็ปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ แล้วต้องนัดหมอกระดูกอีกที ถ้าเลี่ยงได้คนส่วนใหญ่จะไม่ไป ICU หรือพยาบาลฉุกเฉินเพราะจะแพงมาก
อย่างเราใส่คอนเทดเลสน์แล้วตาแห้ง โทรไปนัดหมอ กว่าจะได้นัดก็เดือนหน้า เป็นสิวยังต้องรอหมอเป็นอาทิตย์จนสิวหายไปแล้ว
ถึงแม้นัดไว้แล้ว ซื่งส่วนใหญ่ก็เป็นอาทิตย์ๆ เป็นเดือนๆ กว่าจะได้เจอหมอ ไปวันนัดแล้วก็ยังต้องนั่งรอเป็นชั่วโมงๆ เหมือนกัน แล้วก็เจอหมอแป็บเดียวเอง
ตรงนี้เมืองไทยสะดวกกว่าเยอะ อยากไปหาหมอก็ไป แต่ผลักภาระไปที่หมอ พอต้องรับคนป่วยจำนวนมาก จำนวนชั่วโมงมากไป ประสิทธ์ภาพในการรักษาลดลง กลับกลายไปความผิดของหมอ
ที่อเมริกา ขนาดเรากำลังจะคลอด หมอคนที่หนึ่งครบชั่วโมงเค้า เค้าก็เลิกเลย ให้คุณหมออีกคนมาทำคลอดให้เรา
หมอที่อเมริกาไม่ค่อยเสี่ยง
ที่อเมริกากลัวการฟ้องร้องกันมาก การรักษาพยาบาลเป็นไปอย่างระมัดระวัง อย่างแฟนเรา กระดูกสันหลังเคลื่อนเนื่องจากอุบัติเหตุรถชน เป็นเวลากว่าสามปีแล้วยังไม่ได้รับการผ่าตัด อยุ่กับการเจ็บปวดตลอดเวลา ถ้าเป็นเมืองไทยคงได้ผ่าตัดไปนานแล้ว คือทางประกันเค้าให้รักษาอย่างอื่นก่อน เช่นทำการดัดกระดูก ซึ่งก็ทำมาแล้วแต่จำกัดจำนวนได้แค่ 30ครั้งต่อปี เมือไม่หายก็รักษาโดยการฉีดยาเข้าที่สันหลัง รักษาด้วยยา รักษาด้วยที่รัดเอว ไม่มีหมอคนไหนเสี่ยงจะผ่าตัด และประกันก็จะไม่จ่าย แฟนเคยรอหมอที่รับผ่าตัดไปสองเดือน พอไปวันนัด คุยเรื่องค่าใช้จ่ายกับฝ่ายการเงินก่อน ค่าใช้จ่าย $100,00 โดยจะให้จ่ายไปก่อนแล้วค่อยไปคุยกับประกันเอง แฟนไม่ตกลง เลยไม่ได้เจอหมอแต่อย่างใด อยู่กับความเจ็บปวดต่อไป
เห็นระบบทันสมัย หรูหราแบบในหนัง แต่ความเป็นจริงระบบการรักษาพยาบาลของอเมริกายุ่งยากและช้ากว่าเมืองไทยมาก
เขียนมายืดยาว ไม่รู้ว่าจะทำให้คนไทยรู้สึกดีขึ้นกับการบริการทางการแพทย์ของไทยหรือป่าวนะ
แล้วคนไทยจะพอใจไหมถ้าต้องทำการนัดหมายเพื่อพบแพทย์แทนที่อยากไปก็ไป คัดกรองคนไข้และระดับความเจ็บป่วยผ่านการนัดหมายอย่างเดียว
เพื่อหมอและพยาบาลจะได้กำจัดปริมาณคนมารักษาต่อวันและจำนวนชั่วโมงการทำงานได้
อะไรที่ต้องแก้ไขก็ควรแก้ไขแหละ แต่ความสะดวกส่วนตัวอาจจะลดลงด้วยนะ คุณเห็นด้วยไหม