
ผมเฝ้า รอโอกาสนี้มานานมากๆ เที่ยวสอนและบอกใครต่อใคร(ทั้งคนฟังและนศ) ว่า ใน1 ชีวิตนี้ เราควรได้กราบขออโหสิกรรมบุพการี แต่ที่ผ่านมา ไม่เคยกล้าทำเลย ได้แต่คิดมาตลอดว่าวันหนึ่งจะต้องทำให้ได้ ในใจแอบกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้กราบแม่ในขณะที่แม่ยังมีลมหายใจ จนวันนี้ได้มีโอกาส นอนเฝ้าแม่ตามลำพัง (25/09/2557) จึงมีโอกาส กราบเท้าขออโหสิกรรมในสิ่งที่ลูกได้ล่วงเกินแม่ ทั้งกาย วาจา ใจ ลูกเป็นหนี้แม่มาตลอด ตอบแทนอย่างไรก็คงไม่หมด วันนี้ลูกสบายใจเป็นที่สุด สิ่งที่สูงที่สุดคือ หัวของลูก ได้อยู่ใต้สิ่งที่ต่ำที่สุด คือเท้าของแม่ รู้สึกเป็นศิริมงคล กับลูกยิ่งนัก
ผมตั้งใจไว้ว่าก่อนกราบแม่ผมจะไม่ร้องไห้ นั่งคิดนั่งซ้อมอยู่ตั้งนานว่าจะพูดอะไรบ้าง แต่พอตอนที่ผมก้มลงไปกราบแม่ วินาทีนั้น มันจุก มันตื้นตัน ลืมหมดเลยว่าจะพูดอะไรบ้าง ได้แต่บอกแม่ว่า ผมขออโหสิกรรม หากว่าลูกได้ล่วงเกินแม่ทั้งทาง กาย วาจา ใจ ทั้งในอดีตและอนาคต เสียงผมสั่นเครือ น้ำตาแห่งความตื้นตัน มันไหลออกมา แม่ยิ้มๆแล้วบอกว่า ไม่มีเวร ไม่มีกรรมต่อกัน...นะลูก
ผมมองแม่นอนหลับไป ใจผมคิดว่า ถ้านี่เป็นร่างที่ไม่มีลมหายใจ ผมจะเก็บกลั้นความฟูมฟายไว้ได้อย่างไร ผมรู้ดีว่าไม่ช้า ก็เร็ววันนั้นต้องมาถึง ได้แต่นั่งสมาธิ และอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของแม่

แม่เป็นผู้หญิงที่สู้ชีวิตมาตลอด จำความได้ว่าสมัยที่ครอบครัวยังลำบาก ข้าวเย็นที่เหลือ แม่จะนำไปตาก และเอามาใส่หุงในหม้อข้าวในมื้อถัดไปเสมอ
ภาพที่แม่ไปเยี่ยมผมที่ รร ประจำยังอยู่ในความทรงจำเสมอมา แม่จะหิ้วตระกร้า ที่เต็มไปด้วยขนมที่ซื้อมาจากกรุงเทพ นั่งรถ บขส.มาลงที่ราชบุรี แดดจะร้อนระอุขนาดไหน ระยะทางจะไกลหรือใกล้เพียงใด ผมก็ไม่เคยเห็นแม่นั่งรถทัวร์เลย นั่นเป็นเพราะแม่ต้องการประหยัด และเก็บเงินไว้ยามจำเป็น ผมกับพี่ชายจะวิ่งไปหาแม่ที่หน้าประตูใหญ่ของโรงเรียน
เมื่อตอนที่แม่จะกลับผมจะไม่อยากให้แม่กลับ เพราะยังคิดถึงแม่อยู่ เราไม่รู้หรอกว่าถ้ารั้งแม่ให้อยู่กับเรานานๆ แม่จะไปถึงกรุงเทพตอนค่ำ หรือบางทีรถ บขส อาจจะหมดซึ่งจะทำให้แม่ลำบาก ในใจตอนนั้นแอบคิดว่า แม่น่าจะอยู่กับเรานานๆ เมื่อแม่เดินผ่านประตูไป ผมจะชวนพี่ชายให้วิ่งไปแอบดูแม่ที่ประตูหลัง และมองแม่จนแม่เดินลับตาไป แม่ไม่ได้หันกลับมามองผมและพี่ชายเลย ณ ตอนนั้นรู้สึกว่า แม่น่าจะหันกลับมามองเรา2คนพี่น้องบ้าง
แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าที่แม่ไม่หันกลับมามองเพราะแม่อาจจะทำใจไม่ได้ หรือแม่เองอาจจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หรือบางที แม่อาจจะเดินร้องไห้อยู่ก็เป็นได้ เพียงแต่แม่อาจจะไม่อยากให้พวกเราเห็น
ในตอนเด็กๆ ผมจะคุยกับพี่ชายเสมอว่า พี่ว่าใครรักเรามากกว่ากันระหว่าง พ่อ กับแม่ ในตอนนั้น ผมคิดว่าแม่ไม่ค่อยรักเราเหมือนพ่อ เพราะทุกครั้งที่ผมและพี่โดนตี ก็จะโดนแม่ นี่แหละที่เป็นคนตี ส่วนพ่อจะคอยมาห้ามแม่ไม่ให้ตีเรา ในตอนนั้นจึงคิดเสมอว่า พ่อรักเรา ผมจำได้ว่า ตอนที่ถูกแม่ตี แม่ตีไม่ยั้ง ตีตรงไหนได้แม่ตีเลย ถ้ายกมือขึ้นมากันแม่ก็ตีมือ เรียกได้ว่าในตอนเป็นเด็กเล็กๆ จะกลัวและเชื่อฟังแม่มากๆ
ยิ่งคิดเรื่องราวต่างๆก็ยิ่งพรั่งพรูออกมา... ตอนนี้แม่ผม(ซึ่งเป็นคนป่วย)หลับไปนานแล้ว คืนนี้แม่ผมกรนเสียงดัง แต่มันเป็นเสียงกรนที่เพราะที่สุดในหัวใจผม และผมอยากได้ยินเสียงกรนแบบนี้ไปทุกคืนครับ
คืนที่ผมจะจำไปตลอดลมหายใจ กับผู้หญิงที่ผมเรียกว่า...อาเม้
ผมเฝ้า รอโอกาสนี้มานานมากๆ เที่ยวสอนและบอกใครต่อใคร(ทั้งคนฟังและนศ) ว่า ใน1 ชีวิตนี้ เราควรได้กราบขออโหสิกรรมบุพการี แต่ที่ผ่านมา ไม่เคยกล้าทำเลย ได้แต่คิดมาตลอดว่าวันหนึ่งจะต้องทำให้ได้ ในใจแอบกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้กราบแม่ในขณะที่แม่ยังมีลมหายใจ จนวันนี้ได้มีโอกาส นอนเฝ้าแม่ตามลำพัง (25/09/2557) จึงมีโอกาส กราบเท้าขออโหสิกรรมในสิ่งที่ลูกได้ล่วงเกินแม่ ทั้งกาย วาจา ใจ ลูกเป็นหนี้แม่มาตลอด ตอบแทนอย่างไรก็คงไม่หมด วันนี้ลูกสบายใจเป็นที่สุด สิ่งที่สูงที่สุดคือ หัวของลูก ได้อยู่ใต้สิ่งที่ต่ำที่สุด คือเท้าของแม่ รู้สึกเป็นศิริมงคล กับลูกยิ่งนัก
ผมตั้งใจไว้ว่าก่อนกราบแม่ผมจะไม่ร้องไห้ นั่งคิดนั่งซ้อมอยู่ตั้งนานว่าจะพูดอะไรบ้าง แต่พอตอนที่ผมก้มลงไปกราบแม่ วินาทีนั้น มันจุก มันตื้นตัน ลืมหมดเลยว่าจะพูดอะไรบ้าง ได้แต่บอกแม่ว่า ผมขออโหสิกรรม หากว่าลูกได้ล่วงเกินแม่ทั้งทาง กาย วาจา ใจ ทั้งในอดีตและอนาคต เสียงผมสั่นเครือ น้ำตาแห่งความตื้นตัน มันไหลออกมา แม่ยิ้มๆแล้วบอกว่า ไม่มีเวร ไม่มีกรรมต่อกัน...นะลูก
ผมมองแม่นอนหลับไป ใจผมคิดว่า ถ้านี่เป็นร่างที่ไม่มีลมหายใจ ผมจะเก็บกลั้นความฟูมฟายไว้ได้อย่างไร ผมรู้ดีว่าไม่ช้า ก็เร็ววันนั้นต้องมาถึง ได้แต่นั่งสมาธิ และอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของแม่
แม่เป็นผู้หญิงที่สู้ชีวิตมาตลอด จำความได้ว่าสมัยที่ครอบครัวยังลำบาก ข้าวเย็นที่เหลือ แม่จะนำไปตาก และเอามาใส่หุงในหม้อข้าวในมื้อถัดไปเสมอ
ภาพที่แม่ไปเยี่ยมผมที่ รร ประจำยังอยู่ในความทรงจำเสมอมา แม่จะหิ้วตระกร้า ที่เต็มไปด้วยขนมที่ซื้อมาจากกรุงเทพ นั่งรถ บขส.มาลงที่ราชบุรี แดดจะร้อนระอุขนาดไหน ระยะทางจะไกลหรือใกล้เพียงใด ผมก็ไม่เคยเห็นแม่นั่งรถทัวร์เลย นั่นเป็นเพราะแม่ต้องการประหยัด และเก็บเงินไว้ยามจำเป็น ผมกับพี่ชายจะวิ่งไปหาแม่ที่หน้าประตูใหญ่ของโรงเรียน
เมื่อตอนที่แม่จะกลับผมจะไม่อยากให้แม่กลับ เพราะยังคิดถึงแม่อยู่ เราไม่รู้หรอกว่าถ้ารั้งแม่ให้อยู่กับเรานานๆ แม่จะไปถึงกรุงเทพตอนค่ำ หรือบางทีรถ บขส อาจจะหมดซึ่งจะทำให้แม่ลำบาก ในใจตอนนั้นแอบคิดว่า แม่น่าจะอยู่กับเรานานๆ เมื่อแม่เดินผ่านประตูไป ผมจะชวนพี่ชายให้วิ่งไปแอบดูแม่ที่ประตูหลัง และมองแม่จนแม่เดินลับตาไป แม่ไม่ได้หันกลับมามองผมและพี่ชายเลย ณ ตอนนั้นรู้สึกว่า แม่น่าจะหันกลับมามองเรา2คนพี่น้องบ้าง
แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าที่แม่ไม่หันกลับมามองเพราะแม่อาจจะทำใจไม่ได้ หรือแม่เองอาจจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หรือบางที แม่อาจจะเดินร้องไห้อยู่ก็เป็นได้ เพียงแต่แม่อาจจะไม่อยากให้พวกเราเห็น
ในตอนเด็กๆ ผมจะคุยกับพี่ชายเสมอว่า พี่ว่าใครรักเรามากกว่ากันระหว่าง พ่อ กับแม่ ในตอนนั้น ผมคิดว่าแม่ไม่ค่อยรักเราเหมือนพ่อ เพราะทุกครั้งที่ผมและพี่โดนตี ก็จะโดนแม่ นี่แหละที่เป็นคนตี ส่วนพ่อจะคอยมาห้ามแม่ไม่ให้ตีเรา ในตอนนั้นจึงคิดเสมอว่า พ่อรักเรา ผมจำได้ว่า ตอนที่ถูกแม่ตี แม่ตีไม่ยั้ง ตีตรงไหนได้แม่ตีเลย ถ้ายกมือขึ้นมากันแม่ก็ตีมือ เรียกได้ว่าในตอนเป็นเด็กเล็กๆ จะกลัวและเชื่อฟังแม่มากๆ
ยิ่งคิดเรื่องราวต่างๆก็ยิ่งพรั่งพรูออกมา... ตอนนี้แม่ผม(ซึ่งเป็นคนป่วย)หลับไปนานแล้ว คืนนี้แม่ผมกรนเสียงดัง แต่มันเป็นเสียงกรนที่เพราะที่สุดในหัวใจผม และผมอยากได้ยินเสียงกรนแบบนี้ไปทุกคืนครับ