สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
หาคอมได้ละ
เขามีหลักการเรียกว่า โซ่ 7 ห่วง ครับ สำหรับวิจัยปริมาณ ถ้าคุณภาพใช้อีกแนว
Mayo & La France ได้ให้แนวทางในการประเมินเอาไว้ 7 ข้อครับ
ถ้าอยากอ่านที่เป็นภาษาไทย ต้องตามไปอ่านในตำรา สองเล่มที่ผมนึกออก
เล่มแรก คือ ตำรา หลักและวิธีวิจัยทางสังคมพฤติกรรมศาสตร์ ของ ศ. ดร. ดวงเดือน พันธุมนาวิน มีที่นิด้า แต่ไม่แน่ใจว่า มศว มีหรือไม่ ลองหาดูนะครับ
เล่มสอง คือ แบบแผนการวิจัยและสถิติ ของ ดร.สุทิติ ขัตติยะ และ รศ. ดร.วิไลลักษณ์ สุวจิตตานนท์
เขาให้พิจารณา องค์ประกอบ 7 ตัวนี้ ประกอบด้วย เนื้อหาผมจะอิงกับเล่มแรกมากกว่า เพราะว่ารายละเอียดมากกว่าครับ แต่หาซื้อไม่ได้แล้วละ
1. คุณภาพของปัญหาวิจัย
ห่วงแรก คือ การอ่านเพื่อหาคำถามการวิจัยของงานวิจัยชิ้นนั้นว่า เป็นอย่างไร จากการอ่าน บทนำ นี่แหละ ซึ่งเนื้อหาที่ดี จะต้องกล่าวในลักษณะของ ความน่าสนใจของปัญหาชิ้นนี้และสมควรจะทำวิจัย ในการพิจารณาปัญหา มองว่าผู้วิจัย ได้นำเสนอในลักษณะของคำว่า อย่างไร (Why) มากกว่าจะบอกว่าเป็นอะไร อย่างไรในที่นี้ หมายถึง อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดขึ้นมา มันมีสาเหตุมาจากอะไร ถ้าคำถามการวิจัย ตอบแค่ว่า อะไร มองได้เลยว่ามันไม่เพียงพอ ในบางครั้งผู้วิจัยอาจจะนำเสนอในลักษณะ ของ คู่ความสัมพันธ์ตัวแปร เป็นตัวแปรต้นและตัวแปรตาม ครับ
ยิ่งไปกว่านั้นการกำหนดคำถามการวิจัยนั้น ส่วนใหญ่ที่ผมเจอ คือ มักจะเลือกกำหนดข้อคำถามตามใจคนทำ ปัญหานี้ทำให้ ขาดข้อมูลสนับสนุน และขาดการเขียนที่จะชักจูงให้คนอ่านเห็นเหตุผลในการกระทำครับ การกระทำในลักษณะนี้จะส่งผลให้คำถามการวิจัยและกรอบแนวคิด มีลักษณะดังนี้
1.1.เน้นที่ตัวแปร ชีวสังคม หรือลักษณะของบุคคลเป็นตัวแปรต้น แล้วไปที่ตัวแปรตามเลย การกระทำในลักษณะนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ผู้วิจัยยังไม่รู้ว่าตนเองจะศึกษาอะไรครับ
1.2 คำถามการวิจัยถามแต่ What แต่ไม่ถาม Why คำถาม What มักจะถามแค่ว่า ตัวแปรต้น มันส่งผลต่อตัวแปรตาม นะ แต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่า ตัวแปรต้นนั้นส่งผลต่อตัวแปรตามอย่างไร การเพิ่มตัวแปรเข้าไปจะช่วยให้เราเข้าใจได้ครับ
1.3 ถามคำถามแบบเป็นนามธรรม มากกว่าจะถามให้เป็นรูปธรรม หมายความว่า บางครั้งผู้วิจัยตั้งคำถามในสิ่งที่ไม่สามารถวัดค่า หรือมีความชัดเจนในการศึกษาได้ครับ
ทำยังไง ให้ คำถามการวิจัยดี จะสร้างคำถามที่ดีได้ต้องอ่าน จนเข้าใจความต้องการของวิชาการ ว่างานวิชาการในปัจจุบันของเรื่องที่เราสนใจเป็นอย่างไร ไปถึงไหนแล้ว ครับ ต้องอ้างอิงงานวิชาการประกอบด้วย เพื่อความน่าสนใจ น่าเชื่อถือ รวมถึง ปีที่ทำ ส่วนใหญ่จะบอกว่าใหม่ แต่ถ้า มันไม่มีคนทำ กี่ปี ก็ทำได้ บางงานเชื่อมโยงกับการศึกษา 20-30 ปีที่แล้วก็มี ครับ
ผมเขียนไว้ในนี้ http://pantip.com/topic/32478643/comment3 ตามไปอ่านดูนะครับ
2. การทบทวนวรรณกรรมเพื่อเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบันและอนาคต ตรงนี้เป็นตัวบ่งชี้ความสำเร็จของงานวิจัยปริมาณเลยว่า จะออกมาดีหรือไม่ดี ครับ เพราะการสร้างกรอบแนวคิดในการวิจัยจะต้องมาจากการทบทวนวรรณกรรม เพื่อที่จะโยงว่า ตัวแปรตัวนี้ ส่งผลอย่างไรต่อตัวแปรตาม การวัดและศึกษาตัวแปรตัวนี้เป็นอย่างไร ผลของตัวแปรต้นต่อตัวแปรตาม เป็นอย่างไรเพื่อไปกำหนดสมมติฐาน ทฤษฎีเป็นไปตามที่ว่าเอาไว้หรือไม่ บลาๆๆ อีกมากมาย ซึ่งถ้าอยากดูว่าคุณภาพของอันนี้ดีหรือไม่ดี แนะนำให้ ไปดูตัวสมมติฐาน ถ้าตัวสมมติฐาน บอกอย่างชัดเจนว่าอะไรส่งผลต่ออะไรและ ผลเป็นอย่างไร สะท้อนว่าการทบทวนวรรณกรรมดี รวมถึงดูกรอบแนวคิดด้วยครับ
3. คุณภาพของเครื่องมือวัด สำหรับวิจัยปริมาณ แบบสอบถาม หรือ แบบวัดสำคัญที่สุด เพราะว่าเป็นตัวที่จะทำให้ผู้วิจัยได้ ข้อมูลเข้ามา หากสร้างแบบวัดที่ไม่ดี ข้อมูลที่ได้ ก็จะไม่มีคุณภาพ ไม่เป็นไปตามความเป็นจริงตามทฤษฎี วิธีดู ขอให้ดูว่า ผู้วิจัยมีการสร้างนิยามปฏิบัติการหรือไม่ นิยามปฏิบัติการ จะต้องประกอบไปด้วยขอบเขต ของตัวแปรที่จะวัด บอกวิธีการวัด ว่าวัดอย่างไร เกณฑ์การให้คะแนนอย่างไร ตีความคะแนนอย่างไรครับ ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีอันนี้ จากนั้นค่อยไปดูวิธีการสร้าง ว่าสร้างไง หาคุณภาพเครื่องมืออย่างไร เช่น ความเที่ยงตรง และ ความเชื่อมั่นเป็นอย่างไรครับ
4. การสุ่มกลุ่มตัวอย่าง ให้พิจารณาว่า การเลือกกลุ่มตัวอย่างเป็นอย่างไร เพราะการสุ่มกลุ่มตัวอย่างที่ดีจะทำให้ ได้ลักษณะของกลุ่มตัวอย่างที่ใกล้เคียงกับประชากร มาก ทำให้ สอดคล้องกับความเป็นจริงมา แต่ในทางปฏิบัติมันก็อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าสรุปเอาง่ายๆ คือ ผู้วิจัยต้องไม่เลือกกลุ่มตัวอย่างเอง จะเป็นเรื่องดี สำหรับวิจัยปริมาณ ถ้าวิจัยทดลอง ต้องควบคุมให้กลุ่มตัวอย่างแตกต่างกันน้อยที่สุด
5. วิธีการดำเนินการวิจัย กระบวนการนี้เป็นการดูในบทที่ 3 ว่า ผู้วิจัยวางแผนการศึกษานี้อย่างไร กระบวนการที่ศึกษานั้นควบคุมปัจจัยที่จะก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนอย่างไร หรือส่งผลต่องานอย่างไร วิธีการศึกษา เป็นวิธีที่ถูกต้องหรือไม่ เช่น แจกแบบสอบถามให้หัวหน้าแจก แต่ หัวหน้าไปให้ลูกน้องตอบแทนพร้อมบอกให้อวย เขาแก้ไขไงหรือไม่ระบุ บลาๆ
6. การวิเคราะห์ข้อมูล พิจารณาว่า วิเคราะห์ข้อมูลถูกต้องหรือไม่ ตามหลักการและข้อตกลงเบื้องต้นของสถิติตัวนั้น และทางที่ดีต้องย้อนไปดูตั้งแต่แบบสอบถามว่า ข้อมูลตัวเลขที่เก็บมานั้น วัดในระดับใด เพราะสถิติแต่ละตัว มีข้อตกลงที่ระดับการวัดอยู่ทุกสถิติ บ่อยครั้งที่จะเห็น ระดับการวัดไม่ถึง แต่โมเม ไปใช้ให้ผลออกมาผิดพลาด ครับ
7. การตีความข้อมูล อันนี้เป็นปัญหาเพราะว่าให้พูดจริงๆ คือ มีปัญหาเยอะในการวิจัยบ้านเราครับ เนื่องจากไม่ค่อยมีตำราไหนที่เขียนถึงในหลักการเขียนเนื้อหานี้ ทั้งตำราทั้งไทยและเทศ ส่วนใหญ่ที่ให้เขียนจะเป็นลักษณะ ที่ว่า ผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับงานวิจัยของ นาย ก (พ.ศ. 2550) ที่พบว่า บลาๆ ซึ่งสอดคล้องกับผลของ นาย ข (พ.ศ. 2551) การเขียนในลักษณะนี้เป็นการเขียนที่ไม่ครบถ้วน เพราะว่า อิงกับความเที่ยงตรงภายนอกอย่างเดียวไม่ค่อยเขียนอิงกับความเที่ยงตรงภายใน แต่อาจจะเป็นเพราะว่า ยังไม่เข้าใจว่า ตัวแปรต้นมันส่งผลต่อตามอย่างไรก็ได้ เลยเขียนไม่ออก วิธีการเขียนนั้น ปกติจะต้องเริ่มจากการอธิบายทีละสมมติฐานของผู้วิจัย หรือ บางคน อธิบายตามวัตถุประสงค์ของงานตัวเองไปเลย ตรงนี้สามารถเขียนในลักษณะไหนก็ได้ แต่ว่า ต้องเป็นเนื้อหาที่สามารถตอบคำถามการวิจัยหลักำและคำถามการวิจัยรองได้ครับ ส่วนเนื้อหาในการเขียน คือ การอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นของตัวแปรจากข้อมูลที่เราศึกษา ซึ่งหากเราทำ ทบทวนวรรณกรรมดี เราจะสามารถเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และต้องอธิบายว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร อย่างไร โดยอิงกับตามทฤษฎี รวมถึงการตีความทางสถิติ
ตัวปัญหาการตีความทางสถิตินั้น เป็นอีกปัญหาทางความเชื่อของผู้วิจัย เพราะว่าบางคนก็มองว่าการตีความควรตีความจาก การทดสอบทางสถิติเท่านั้น ค่าอื่นๆ ไม่ควรเอามาตีความ แต่บางความเชื่อก็มองว่า ควรพิจารณาสถิติอื่นๆด้วย เช่น ค่าเฉลี่ย เช่น งานวิจัยของประสิทธิ์ สาระสันต์. (2542). เกี่ยวกับพฤติกรรมการบริหารที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จทางการบริหารของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา. อธิบายงานนี้ให้เข้าใจคร่าวๆ คือ เขาทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับ แรงจูงใจ 3 ประเภทของแมคเคนแลนด์ คือ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ใฝ่อำนาจ และ ใฝ่สัมพันธ์ และตั้งสมมติฐานว่า แรงจูงใจ 3 ตัวนี้ ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารของผู้บริการในการจำแนกผู้ที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ ผลออกมาว่า ใฝสัมฤทธิ์และใฝ่อำนาจ มีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ใฝ่สัมพันธ์ ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ แต่เมื่อเขียนอพิปรายผล พบว่า เขาเขียนอธิบายถึง แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ด้วยว่ามีความสำคัญ โดยพิจารณาจากค่าเฉลี่ยพบว่า ทั้งผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จและไม่สำเร็จนั้น ต่างมีแรงจูงใจในระดับสูงทั้งคู่ (จากเต็ม 5 ได้ ประมาณ 4.5 ขึ้นไปทั้งสองกลุ่ม) และเป็นคุณลักษณะที่สำคัญในการดูแลผู้ใต้บังคัญชาผู้บังคับบัญชาที่ไม่มี จะไม่สามารถดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาได้ตามแนวคิดและทฤษฎี (อ่านนานแล้ว จำได้คร่าวๆประมาณนี้) ส่วนตัวผมเป็นประเภทตีความจากค่าอื่นๆประกอบกันครับ
น่าจะประมาณนี้แหละครับ
ในการวิพากษ์ สำคัญสุดคือ คุณต้องอธิบายว่า ในแต่ละห่วงของเขา เนี่ย เป็นอย่างไร ขาดคุณภาพตรงไหน กระบวนการที่ถูกควรเป็นอย่างไรครับ
เขามีหลักการเรียกว่า โซ่ 7 ห่วง ครับ สำหรับวิจัยปริมาณ ถ้าคุณภาพใช้อีกแนว
Mayo & La France ได้ให้แนวทางในการประเมินเอาไว้ 7 ข้อครับ
ถ้าอยากอ่านที่เป็นภาษาไทย ต้องตามไปอ่านในตำรา สองเล่มที่ผมนึกออก
เล่มแรก คือ ตำรา หลักและวิธีวิจัยทางสังคมพฤติกรรมศาสตร์ ของ ศ. ดร. ดวงเดือน พันธุมนาวิน มีที่นิด้า แต่ไม่แน่ใจว่า มศว มีหรือไม่ ลองหาดูนะครับ
เล่มสอง คือ แบบแผนการวิจัยและสถิติ ของ ดร.สุทิติ ขัตติยะ และ รศ. ดร.วิไลลักษณ์ สุวจิตตานนท์
เขาให้พิจารณา องค์ประกอบ 7 ตัวนี้ ประกอบด้วย เนื้อหาผมจะอิงกับเล่มแรกมากกว่า เพราะว่ารายละเอียดมากกว่าครับ แต่หาซื้อไม่ได้แล้วละ
1. คุณภาพของปัญหาวิจัย
ห่วงแรก คือ การอ่านเพื่อหาคำถามการวิจัยของงานวิจัยชิ้นนั้นว่า เป็นอย่างไร จากการอ่าน บทนำ นี่แหละ ซึ่งเนื้อหาที่ดี จะต้องกล่าวในลักษณะของ ความน่าสนใจของปัญหาชิ้นนี้และสมควรจะทำวิจัย ในการพิจารณาปัญหา มองว่าผู้วิจัย ได้นำเสนอในลักษณะของคำว่า อย่างไร (Why) มากกว่าจะบอกว่าเป็นอะไร อย่างไรในที่นี้ หมายถึง อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดขึ้นมา มันมีสาเหตุมาจากอะไร ถ้าคำถามการวิจัย ตอบแค่ว่า อะไร มองได้เลยว่ามันไม่เพียงพอ ในบางครั้งผู้วิจัยอาจจะนำเสนอในลักษณะ ของ คู่ความสัมพันธ์ตัวแปร เป็นตัวแปรต้นและตัวแปรตาม ครับ
ยิ่งไปกว่านั้นการกำหนดคำถามการวิจัยนั้น ส่วนใหญ่ที่ผมเจอ คือ มักจะเลือกกำหนดข้อคำถามตามใจคนทำ ปัญหานี้ทำให้ ขาดข้อมูลสนับสนุน และขาดการเขียนที่จะชักจูงให้คนอ่านเห็นเหตุผลในการกระทำครับ การกระทำในลักษณะนี้จะส่งผลให้คำถามการวิจัยและกรอบแนวคิด มีลักษณะดังนี้
1.1.เน้นที่ตัวแปร ชีวสังคม หรือลักษณะของบุคคลเป็นตัวแปรต้น แล้วไปที่ตัวแปรตามเลย การกระทำในลักษณะนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ผู้วิจัยยังไม่รู้ว่าตนเองจะศึกษาอะไรครับ
1.2 คำถามการวิจัยถามแต่ What แต่ไม่ถาม Why คำถาม What มักจะถามแค่ว่า ตัวแปรต้น มันส่งผลต่อตัวแปรตาม นะ แต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่า ตัวแปรต้นนั้นส่งผลต่อตัวแปรตามอย่างไร การเพิ่มตัวแปรเข้าไปจะช่วยให้เราเข้าใจได้ครับ
1.3 ถามคำถามแบบเป็นนามธรรม มากกว่าจะถามให้เป็นรูปธรรม หมายความว่า บางครั้งผู้วิจัยตั้งคำถามในสิ่งที่ไม่สามารถวัดค่า หรือมีความชัดเจนในการศึกษาได้ครับ
ทำยังไง ให้ คำถามการวิจัยดี จะสร้างคำถามที่ดีได้ต้องอ่าน จนเข้าใจความต้องการของวิชาการ ว่างานวิชาการในปัจจุบันของเรื่องที่เราสนใจเป็นอย่างไร ไปถึงไหนแล้ว ครับ ต้องอ้างอิงงานวิชาการประกอบด้วย เพื่อความน่าสนใจ น่าเชื่อถือ รวมถึง ปีที่ทำ ส่วนใหญ่จะบอกว่าใหม่ แต่ถ้า มันไม่มีคนทำ กี่ปี ก็ทำได้ บางงานเชื่อมโยงกับการศึกษา 20-30 ปีที่แล้วก็มี ครับ
ผมเขียนไว้ในนี้ http://pantip.com/topic/32478643/comment3 ตามไปอ่านดูนะครับ
2. การทบทวนวรรณกรรมเพื่อเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบันและอนาคต ตรงนี้เป็นตัวบ่งชี้ความสำเร็จของงานวิจัยปริมาณเลยว่า จะออกมาดีหรือไม่ดี ครับ เพราะการสร้างกรอบแนวคิดในการวิจัยจะต้องมาจากการทบทวนวรรณกรรม เพื่อที่จะโยงว่า ตัวแปรตัวนี้ ส่งผลอย่างไรต่อตัวแปรตาม การวัดและศึกษาตัวแปรตัวนี้เป็นอย่างไร ผลของตัวแปรต้นต่อตัวแปรตาม เป็นอย่างไรเพื่อไปกำหนดสมมติฐาน ทฤษฎีเป็นไปตามที่ว่าเอาไว้หรือไม่ บลาๆๆ อีกมากมาย ซึ่งถ้าอยากดูว่าคุณภาพของอันนี้ดีหรือไม่ดี แนะนำให้ ไปดูตัวสมมติฐาน ถ้าตัวสมมติฐาน บอกอย่างชัดเจนว่าอะไรส่งผลต่ออะไรและ ผลเป็นอย่างไร สะท้อนว่าการทบทวนวรรณกรรมดี รวมถึงดูกรอบแนวคิดด้วยครับ
3. คุณภาพของเครื่องมือวัด สำหรับวิจัยปริมาณ แบบสอบถาม หรือ แบบวัดสำคัญที่สุด เพราะว่าเป็นตัวที่จะทำให้ผู้วิจัยได้ ข้อมูลเข้ามา หากสร้างแบบวัดที่ไม่ดี ข้อมูลที่ได้ ก็จะไม่มีคุณภาพ ไม่เป็นไปตามความเป็นจริงตามทฤษฎี วิธีดู ขอให้ดูว่า ผู้วิจัยมีการสร้างนิยามปฏิบัติการหรือไม่ นิยามปฏิบัติการ จะต้องประกอบไปด้วยขอบเขต ของตัวแปรที่จะวัด บอกวิธีการวัด ว่าวัดอย่างไร เกณฑ์การให้คะแนนอย่างไร ตีความคะแนนอย่างไรครับ ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีอันนี้ จากนั้นค่อยไปดูวิธีการสร้าง ว่าสร้างไง หาคุณภาพเครื่องมืออย่างไร เช่น ความเที่ยงตรง และ ความเชื่อมั่นเป็นอย่างไรครับ
4. การสุ่มกลุ่มตัวอย่าง ให้พิจารณาว่า การเลือกกลุ่มตัวอย่างเป็นอย่างไร เพราะการสุ่มกลุ่มตัวอย่างที่ดีจะทำให้ ได้ลักษณะของกลุ่มตัวอย่างที่ใกล้เคียงกับประชากร มาก ทำให้ สอดคล้องกับความเป็นจริงมา แต่ในทางปฏิบัติมันก็อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าสรุปเอาง่ายๆ คือ ผู้วิจัยต้องไม่เลือกกลุ่มตัวอย่างเอง จะเป็นเรื่องดี สำหรับวิจัยปริมาณ ถ้าวิจัยทดลอง ต้องควบคุมให้กลุ่มตัวอย่างแตกต่างกันน้อยที่สุด
5. วิธีการดำเนินการวิจัย กระบวนการนี้เป็นการดูในบทที่ 3 ว่า ผู้วิจัยวางแผนการศึกษานี้อย่างไร กระบวนการที่ศึกษานั้นควบคุมปัจจัยที่จะก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนอย่างไร หรือส่งผลต่องานอย่างไร วิธีการศึกษา เป็นวิธีที่ถูกต้องหรือไม่ เช่น แจกแบบสอบถามให้หัวหน้าแจก แต่ หัวหน้าไปให้ลูกน้องตอบแทนพร้อมบอกให้อวย เขาแก้ไขไงหรือไม่ระบุ บลาๆ
6. การวิเคราะห์ข้อมูล พิจารณาว่า วิเคราะห์ข้อมูลถูกต้องหรือไม่ ตามหลักการและข้อตกลงเบื้องต้นของสถิติตัวนั้น และทางที่ดีต้องย้อนไปดูตั้งแต่แบบสอบถามว่า ข้อมูลตัวเลขที่เก็บมานั้น วัดในระดับใด เพราะสถิติแต่ละตัว มีข้อตกลงที่ระดับการวัดอยู่ทุกสถิติ บ่อยครั้งที่จะเห็น ระดับการวัดไม่ถึง แต่โมเม ไปใช้ให้ผลออกมาผิดพลาด ครับ
7. การตีความข้อมูล อันนี้เป็นปัญหาเพราะว่าให้พูดจริงๆ คือ มีปัญหาเยอะในการวิจัยบ้านเราครับ เนื่องจากไม่ค่อยมีตำราไหนที่เขียนถึงในหลักการเขียนเนื้อหานี้ ทั้งตำราทั้งไทยและเทศ ส่วนใหญ่ที่ให้เขียนจะเป็นลักษณะ ที่ว่า ผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับงานวิจัยของ นาย ก (พ.ศ. 2550) ที่พบว่า บลาๆ ซึ่งสอดคล้องกับผลของ นาย ข (พ.ศ. 2551) การเขียนในลักษณะนี้เป็นการเขียนที่ไม่ครบถ้วน เพราะว่า อิงกับความเที่ยงตรงภายนอกอย่างเดียวไม่ค่อยเขียนอิงกับความเที่ยงตรงภายใน แต่อาจจะเป็นเพราะว่า ยังไม่เข้าใจว่า ตัวแปรต้นมันส่งผลต่อตามอย่างไรก็ได้ เลยเขียนไม่ออก วิธีการเขียนนั้น ปกติจะต้องเริ่มจากการอธิบายทีละสมมติฐานของผู้วิจัย หรือ บางคน อธิบายตามวัตถุประสงค์ของงานตัวเองไปเลย ตรงนี้สามารถเขียนในลักษณะไหนก็ได้ แต่ว่า ต้องเป็นเนื้อหาที่สามารถตอบคำถามการวิจัยหลักำและคำถามการวิจัยรองได้ครับ ส่วนเนื้อหาในการเขียน คือ การอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นของตัวแปรจากข้อมูลที่เราศึกษา ซึ่งหากเราทำ ทบทวนวรรณกรรมดี เราจะสามารถเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และต้องอธิบายว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร อย่างไร โดยอิงกับตามทฤษฎี รวมถึงการตีความทางสถิติ
ตัวปัญหาการตีความทางสถิตินั้น เป็นอีกปัญหาทางความเชื่อของผู้วิจัย เพราะว่าบางคนก็มองว่าการตีความควรตีความจาก การทดสอบทางสถิติเท่านั้น ค่าอื่นๆ ไม่ควรเอามาตีความ แต่บางความเชื่อก็มองว่า ควรพิจารณาสถิติอื่นๆด้วย เช่น ค่าเฉลี่ย เช่น งานวิจัยของประสิทธิ์ สาระสันต์. (2542). เกี่ยวกับพฤติกรรมการบริหารที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จทางการบริหารของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา. อธิบายงานนี้ให้เข้าใจคร่าวๆ คือ เขาทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับ แรงจูงใจ 3 ประเภทของแมคเคนแลนด์ คือ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ใฝ่อำนาจ และ ใฝ่สัมพันธ์ และตั้งสมมติฐานว่า แรงจูงใจ 3 ตัวนี้ ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารของผู้บริการในการจำแนกผู้ที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ ผลออกมาว่า ใฝสัมฤทธิ์และใฝ่อำนาจ มีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ใฝ่สัมพันธ์ ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ แต่เมื่อเขียนอพิปรายผล พบว่า เขาเขียนอธิบายถึง แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ด้วยว่ามีความสำคัญ โดยพิจารณาจากค่าเฉลี่ยพบว่า ทั้งผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จและไม่สำเร็จนั้น ต่างมีแรงจูงใจในระดับสูงทั้งคู่ (จากเต็ม 5 ได้ ประมาณ 4.5 ขึ้นไปทั้งสองกลุ่ม) และเป็นคุณลักษณะที่สำคัญในการดูแลผู้ใต้บังคัญชาผู้บังคับบัญชาที่ไม่มี จะไม่สามารถดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาได้ตามแนวคิดและทฤษฎี (อ่านนานแล้ว จำได้คร่าวๆประมาณนี้) ส่วนตัวผมเป็นประเภทตีความจากค่าอื่นๆประกอบกันครับ
น่าจะประมาณนี้แหละครับ
ในการวิพากษ์ สำคัญสุดคือ คุณต้องอธิบายว่า ในแต่ละห่วงของเขา เนี่ย เป็นอย่างไร ขาดคุณภาพตรงไหน กระบวนการที่ถูกควรเป็นอย่างไรครับ
แสดงความคิดเห็น
การเขียนวิพากษ์งานวิจัยต้องเขียนอย่างไร
เช่น การวิพากษ์บทคัดย่อ Abstract
1. มีการกล่าวถึงความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ ระเบียบวิธี ผลการวิจัย และให้ข้อเสนอแนะหรือไม่
2. มีจำนวนคำและความยาวที่เหมาะสมหรือไม่
3. กระชับและชัดเจนหรือไม่
4. สะท้อนเรื่องที่ศึกษาหรือไม่
ซึ่งพอค้นดูหลักในการวิพากษ์เราก็ไม่รู้ว่าจะนำหลักต่างๆนี้มาเขียนเป็นบทบรรยาย บทวิพากษ์ที่ดีได้อย่างไร ไม่รู้ว่าต้องเขียนแนวไหน
ใครมีตัวอย่างงานวิพากษ์งานวิจัย หรือรู้ในเรื่องนี้ช่วยสอนเราหน่อยนะคะ ต้องทำงานส่งอาจารย์จริง แต่คิดไม่ออกเลย ช่วยหน่อยนะคะ