วันนี้ฟังผู้บริหารช่อง 3 ชี้แจงหลายประเด็น พยายามเปิดใจรับฟังอย่างเป็นกลางโดยไม่ยึดอัคติใดๆ แต่ยังมีหลายข้อที่รู้สึกคลุมเครือและไม่เข้าใจ ขอรบกวนผู้รู้หน่อยค่ะ
1. เรื่องส้มปทาน อสมท ที่อ้างว่าทำให้บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ไม่สามาถประมูลช่องทีวีดิจิตอลได้เอง ต้องอาศัย BEC Multimedia ประมูล ดิจิตอลแทนทั้งสามช่อง- คือกฎหมายข้อไหนแล้วใช้หลักการอะไร ช่อง 9 ก็ของ อสมท แต่ก็โอนผ่านไปออนแอร์คู่ขนานดิจิตอลอย่างไร้ปัญหา (อาจจะดูเป็นคำถามที่ตื้นไปหน่อยแต่เข้าใจว่าช่อง 9 คงจะมีกฎระเบียบบังคับที่แตกต่างกับช่อง 3)
2. ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ตอนเปิดประมูล ช่อง 3 ไม่รู้ถึงข้อจำกัดนี้ตั้งแต่แรกเหรอและกฎ must-carry ที่ยังไงก็หนีไม่พ้นต้องส่งสัญญานคู่ขนานภายใน 100 วัน (แต่ติดการยึดอำนาจโดย คสช เลยได้ยืดเวลาจนตอนนี้เวลานั้นสิ้นสุดลงแล้ว) กฎก็ระบุชัดเจนว่าต้องหยุดออกอากาศทางเคเบิ้ลและดาวเทียมต่างๆ ออกได้เฉพาะผ่านเสาก้างปลาหนวดกุ้งระบบเก่า รวมทั้งภาครัฐที่อนุโลมให้ช่อง 3 ประมูลได้ตั้ง 3 ช่องดิจิตอลผ่านผู้ประกอบการรายอื่นที่ไม่ใช่ผู้ป้อน content ให้ช่อง original อยู่แล้วทั้งๆที่ช่องอื่นได้ไปแค่ช่องเดียว อันนี้คงไม่มีกฎข้อห้ามว่าใครจะประมูลได้กี่ช่อง แต่ดูๆแล้วเหมือนจงใจจะทำตัวเป็น เสือนอนกิน ตั้งแต่แรก ไม่มีใครเล็งเห็นปัญหาที่จะตามมาภายหลังเลยจริงๆเหรอและไม่มีการคิดหาทางออกกันตั้งแต่แรกก่อนที่จะลุกลามใหญ่โตถึงตอนนี้ที่ต่างฝ่ายต่างอ้าง กฎหมาย เพื่อหาความชอบธรรมให้ตนเอง
3. คุณประวิทย์อ้างว่าช่อง 3 original แม้จะออกเป็นระบบ analogue เดิมแต่ก็ลงสนามแข่งขันอย่างเท่าเทียมผ่านระบบเคเบิ้ลและดาวเทียมที่อ้างว่ามีผู้ชมถึง 70% ณ ขณะนี้เพราะโครงข่ายยังไม่พร้อมและคนดูผ่านกล่องดิจิตอลจริงๆมีจำนวนน้อยมาก ซึ่งก็ยังไม่มีตัวเลขอ้างอิงที่ชัดเจน อันนี้ฟังดูก็มีเหตุผลแต่คุณประวิทย์ลืมพูดหรือจงใจไม่พูดถึงค่าโฆษนาที่ช่อง 3 ได้เต็มๆ 12 นาทีเมื่อเทียบกับคู่แข่งฟรีทีวีอื่นๆที่ต้องลดเหลือ 6 นาทีเมื่อออกอากาศคู่ขนาน ซึ่งไม่นับที่ช่อง 3 ได้โฆษนาถึง 4 ทาง อันนี้เข้าใจถูกต้องหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนี้จริงจะเรียกว่าการแข่งขันที่ยุติธรรมได้อย่างไรคะ
4. ทีบอกว่าให้ทางเลือกคนดูมากถึง 4 ช่องแทนที่จะจำกัดอยู่ช่องเดียว ขอโทษนะคะคุณเคยเปิดดูรายการช่องตัวเองบ้างไหม วันๆวนออกแต่ MV เพลงประกอบละคร หนังจีนภาพมัวๆ ละครเกาหลีเก่าๆที่เคยออกอากาศแล้ว รายการข่าวก็ไม่มีอะไรน่าติดตามเลยเมื่อเทียบกับช่องดิจิตอลอื่นๆ ไม่เชื่อหรอกว่าถ้ามีความพยายามจะทำรายการคุณภาพและเผยแพร่ระบบ HD และเอารายการเรตติ้งสูงๆจากช่อง original เช่นละครภาคค่ำมาออกคู่ขนานจริงๆจะไม่สามาถเจรจากันระหว่างสองนิติบุคคลที่เป็นผู้ประกอบการแยกระหว่าง original กับ digital ได้ ผู้บริหารเองก็ไม่ปฎิเสธได้ว่าท้ายสุดแล้วคือคนกลุ่มเดียวกันอย่างที่เราเข้าใจ แท้จริงแล้วคือธุรกิจภายในครอบครัวที่แค่แบ่งให้ ลูกๆ หลายคนแยกกันบริหารแม้จะคนละชื่อแต่เงินก็เข้ากงสีบ้านใหญ่เดียวกันอยู่ดี
ที่สุดแล้วก็หนีไม่พ้นคำว่า ผลประโยชน์ มหาศาลที่จะต้องสูญเสียไปและการแข่งขันใน สนาม ใหม่ที่ช่อง 3 เองรู้ตัวดีว่าอาจจะไม่รอด เพราะเริ่มเห็นเค้าอย่างชัดเจนว่าคู่แข่งที่ลงไปรอในสนามแล้วและพร้อมใจกันไล่บี้ช่อง 3 นั้นมีมากมายและน่ากลัวขนาดไหน ในฐานะผู้ชมที่รักช่อง 3 มานานติดตามมาตั้งแต่จำความได้ ก็ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยดีแม้อาจจะไม่ใช่ win-win ด้านธุรกิจแต่ขอให้เป็น win-win สำหรับประชาชนผุ้ชมอย่างเราๆ
หลังจากดูเรื่องเด่นเย็นนี้พยายามให้ความเป็นธรรมกรณีช่อง 3 แต่หลายอย่างยังคาใจ
1. เรื่องส้มปทาน อสมท ที่อ้างว่าทำให้บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ไม่สามาถประมูลช่องทีวีดิจิตอลได้เอง ต้องอาศัย BEC Multimedia ประมูล ดิจิตอลแทนทั้งสามช่อง- คือกฎหมายข้อไหนแล้วใช้หลักการอะไร ช่อง 9 ก็ของ อสมท แต่ก็โอนผ่านไปออนแอร์คู่ขนานดิจิตอลอย่างไร้ปัญหา (อาจจะดูเป็นคำถามที่ตื้นไปหน่อยแต่เข้าใจว่าช่อง 9 คงจะมีกฎระเบียบบังคับที่แตกต่างกับช่อง 3)
2. ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ตอนเปิดประมูล ช่อง 3 ไม่รู้ถึงข้อจำกัดนี้ตั้งแต่แรกเหรอและกฎ must-carry ที่ยังไงก็หนีไม่พ้นต้องส่งสัญญานคู่ขนานภายใน 100 วัน (แต่ติดการยึดอำนาจโดย คสช เลยได้ยืดเวลาจนตอนนี้เวลานั้นสิ้นสุดลงแล้ว) กฎก็ระบุชัดเจนว่าต้องหยุดออกอากาศทางเคเบิ้ลและดาวเทียมต่างๆ ออกได้เฉพาะผ่านเสาก้างปลาหนวดกุ้งระบบเก่า รวมทั้งภาครัฐที่อนุโลมให้ช่อง 3 ประมูลได้ตั้ง 3 ช่องดิจิตอลผ่านผู้ประกอบการรายอื่นที่ไม่ใช่ผู้ป้อน content ให้ช่อง original อยู่แล้วทั้งๆที่ช่องอื่นได้ไปแค่ช่องเดียว อันนี้คงไม่มีกฎข้อห้ามว่าใครจะประมูลได้กี่ช่อง แต่ดูๆแล้วเหมือนจงใจจะทำตัวเป็น เสือนอนกิน ตั้งแต่แรก ไม่มีใครเล็งเห็นปัญหาที่จะตามมาภายหลังเลยจริงๆเหรอและไม่มีการคิดหาทางออกกันตั้งแต่แรกก่อนที่จะลุกลามใหญ่โตถึงตอนนี้ที่ต่างฝ่ายต่างอ้าง กฎหมาย เพื่อหาความชอบธรรมให้ตนเอง
3. คุณประวิทย์อ้างว่าช่อง 3 original แม้จะออกเป็นระบบ analogue เดิมแต่ก็ลงสนามแข่งขันอย่างเท่าเทียมผ่านระบบเคเบิ้ลและดาวเทียมที่อ้างว่ามีผู้ชมถึง 70% ณ ขณะนี้เพราะโครงข่ายยังไม่พร้อมและคนดูผ่านกล่องดิจิตอลจริงๆมีจำนวนน้อยมาก ซึ่งก็ยังไม่มีตัวเลขอ้างอิงที่ชัดเจน อันนี้ฟังดูก็มีเหตุผลแต่คุณประวิทย์ลืมพูดหรือจงใจไม่พูดถึงค่าโฆษนาที่ช่อง 3 ได้เต็มๆ 12 นาทีเมื่อเทียบกับคู่แข่งฟรีทีวีอื่นๆที่ต้องลดเหลือ 6 นาทีเมื่อออกอากาศคู่ขนาน ซึ่งไม่นับที่ช่อง 3 ได้โฆษนาถึง 4 ทาง อันนี้เข้าใจถูกต้องหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนี้จริงจะเรียกว่าการแข่งขันที่ยุติธรรมได้อย่างไรคะ
4. ทีบอกว่าให้ทางเลือกคนดูมากถึง 4 ช่องแทนที่จะจำกัดอยู่ช่องเดียว ขอโทษนะคะคุณเคยเปิดดูรายการช่องตัวเองบ้างไหม วันๆวนออกแต่ MV เพลงประกอบละคร หนังจีนภาพมัวๆ ละครเกาหลีเก่าๆที่เคยออกอากาศแล้ว รายการข่าวก็ไม่มีอะไรน่าติดตามเลยเมื่อเทียบกับช่องดิจิตอลอื่นๆ ไม่เชื่อหรอกว่าถ้ามีความพยายามจะทำรายการคุณภาพและเผยแพร่ระบบ HD และเอารายการเรตติ้งสูงๆจากช่อง original เช่นละครภาคค่ำมาออกคู่ขนานจริงๆจะไม่สามาถเจรจากันระหว่างสองนิติบุคคลที่เป็นผู้ประกอบการแยกระหว่าง original กับ digital ได้ ผู้บริหารเองก็ไม่ปฎิเสธได้ว่าท้ายสุดแล้วคือคนกลุ่มเดียวกันอย่างที่เราเข้าใจ แท้จริงแล้วคือธุรกิจภายในครอบครัวที่แค่แบ่งให้ ลูกๆ หลายคนแยกกันบริหารแม้จะคนละชื่อแต่เงินก็เข้ากงสีบ้านใหญ่เดียวกันอยู่ดี
ที่สุดแล้วก็หนีไม่พ้นคำว่า ผลประโยชน์ มหาศาลที่จะต้องสูญเสียไปและการแข่งขันใน สนาม ใหม่ที่ช่อง 3 เองรู้ตัวดีว่าอาจจะไม่รอด เพราะเริ่มเห็นเค้าอย่างชัดเจนว่าคู่แข่งที่ลงไปรอในสนามแล้วและพร้อมใจกันไล่บี้ช่อง 3 นั้นมีมากมายและน่ากลัวขนาดไหน ในฐานะผู้ชมที่รักช่อง 3 มานานติดตามมาตั้งแต่จำความได้ ก็ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยดีแม้อาจจะไม่ใช่ win-win ด้านธุรกิจแต่ขอให้เป็น win-win สำหรับประชาชนผุ้ชมอย่างเราๆ