อโรคยา ปรมาลาภา ....ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
(นานมาแล้ว ร่วม40กว่าปี ตามอายุ) ข้าพเจ้าไม่เคยได้รู้สึกรู้สาอะไรกับคำนี้
...
จน เมื่อไม่นาน การใช้งานแข้งขาของข้าพเจ้าเริ่มแสดงผล
(สาเหตุไม่เป็นที่แน่ชัด...ขอผ่านไปก่อน)
อาการที่เด่นชัดคือขึ้นบันใดไม่ค่อยได้
(ตัวอย่างตอนข้ามสะพานลอยถ้าไม่ใช้ราวจับด้านข้างพยุงขึ้นจะก้าวขึ้นเองไม่ได้)
หรือเวลาเดินเล่น(ที่ไหนก็ตาม)ถ้าไม่ได้มีช่วงพักขาแข้ง(นั่งพัก..)
ขาจะเริ่มบวม(ช่วงเหนือหัวเข่า)ทั้งสองขา
บางทีเดินไปไหนไม่ทันใจอยากจะวิ่งให้เร็วขึ้นบ้างซัก5วิ10วิ(ก็ได้แค่ไม่เกินหนึ่งก้าว..วิ่ง)
เพราะเข่ามันจะปวดมากจนต้องหยุดก้าววิ่งลงในทันทีทำได้แค่...
รีบเดินๆต่อ
ไม่ต้องพูดถึงวิ่ง แค่ยืนหรือเดินหากว่านานเกินไป อาการจะเริ่มออก(ทั้งบวมทั้งปวด)มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ
ข้าพเจ้าเริ่มพบแพทย์รักษาไปเรื่อย กินยาไปเรื่อย
แต่ก็ไม่ได้ดีอะไรขึ้น สุดท้ายก็เพียงระมัดระวัง(ไม่ทำอะไรเกินกว่าร่างกายจะรับไหว)
หากปวดก็กินยา...แก้
แต่ว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายๆอย่างนั้น ถ้าต้องเดินขึ้นสะพานลอย(ที่แม้แต่ใช้แขนพยุงตัวได้ก็ปวดแสน)
ข้าพเจ้าจะข้ามถนนใต้สะพานลอยแทน ตลอด
ถ้าต้องขึ้นสะพานจริงๆก็ต้องทน
.
.
.
จนข้าพเจ้าเลิกหาหมอ เลิกกินยา(แน่ล่ะ พอกันที จะปวดก็ปวดไป จะบวมก็บวมไป)
เข้าใจจริงๆ ว่า "อโรคยา ปรมาลาภา" อย่างไร
จะเป็นด้วยเพราะ กรรมอะไร(ก็ช่าง) จริงก็ช่าง ไม่จริงก็ช่าง
จะนึกรู้ได้ก็ดี จะไม่รู้ก็ดี
นิสัยชอบลอง(ไม่ฟังใครไม่เชื่ออะไรง่ายๆ) เรื่องหลักการ เรื่องเหตุผลติดอยู่ในกมลสันดานของข้าพเจ้า
ทำให้พูดได้ไม่เต็มปากว่าตนศาสนาพุทธ
มีก็แต่หลัก กาลามสูตร...ของพุทธศาสนาที่เข้ากับจริตของข้าพเจ้า
ให้ข้าพเจ้ารู้สึกได้ว่าเป็นชาวพุทธอยู่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้กาลามสูตร
วิธีปฎิบัติในเรื่องที่สงสัย หรือหลักความเชื่อ
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)
ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว
จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น
จริงแล้ว นรก สวรรค์ มีจริงรึเปล่า
บุญ บาป มีจริงรึเปล่า แล้วเวรแล้วกรรมล่ะ เอาอะไรมาพิสูจน์
ถ้าให้เชื่อจากคำบอกคำเล่า...ข้าพเจ้าคงไม่จัดว่าเป็นชาวพุทธที่ดี
หากไม่ได้พบเองเห็นเอง รู้เองเห็นเอง (ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อและไม่ปฏิเสธ)
.
.
.
ไม่นานมานี่มีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องรีบวิ่งไปให้ถึง...ให้เร็ว
ก้าวแรกของการวิ่งที่ไม่ได้ทำ(ทำไม่ได้)มานานเป็นปี จึงได้เริ่มขึ้น
ก้าวที่สองตามมา
เร็วขึ้น เร็วขึ้นอีก
จนถึงที่หมาย(ราวๆครึ่งชั่วโมง)
แปลกใจนิดหน่อย(ไม่ใช่เพราะวิ่งได้)
แต่ เพราะข้าพเจ้าแปลกใจว่าทุกข์จากอาการนั้นๆของข้าพเจ้าหายไปไหน
ผลจากการทำสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน รึ?
เคยได้ยินมาบ้าง ว่า กรรมไม่ดี หากอุปมาดั่งความเค็มของเกลือ
หากเติมน้ำลงไปให้มากเข้า ก็จะเค็มน้อยลงๆ เรื่อย ถึงจืดสนิท
(เกลือไม่ได้หายไปไหน เพียงส่งผลเค็มไม่ได้)
เคยรับรู้มาว่า
(บุญกิริยาวัตถุ3 )ทาน ศีล ภาวนา อานิสงส์ผลบุญต่างกัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(บุญกิริยาวัตถุ3)
-"ทาน" เป็นการเสียสละภายนอก ขจัดความโลภ ตระหนี่ อันเป็นกิเลสหยาบ
คือ"โลภกิเลส" อานิสงส์สูงสุดคือ อภัยทาน มุ่งละ "โทสะกิเลส"
เป็นการเจริญ"เมตตาพรหมวิหารธรรม" แต่ผลบุญก็ยังเทียบไม่ได้กับ"ศีล"
-"ศีล" แปลว่า"ปกติ" แม้จะมีอานิสงส์เพียงใด เพียงรักษา กายและวาจา ให้สงบ
ไม่ก่อให้เกิดทุกข์โทษ ขึ้นทางกายและวาจา เท่านั้น
ไม่สามารถควบคุมจิตใจหรือทำให้สะอาดบริสุทธิ์ได้
อานิสงส์จึงเทียบไม่ได้กับ"การเจริญภาวนา"
-"การเจริญภาวนา" เป็นการสร้างบุญบารมีที่สูงที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุด
เป็นการรักษาใจ รักษาจิต ให้เบาบางจนหมดกิเลส โลภ โกรธ หลง
การเจริญภาวนามี2อย่าง
"สมถภาวนา(การทำสมาธิ)"และ"วิปัสสนาภาวนา(การเจริญปัญญา)
ไม่รู้เท็จจริงแค่ไหน อย่างไร ก็ชั่ง
อานิสงส์จะมากน้อยอย่างไรข้าพเจ้าไม่สน
เชื่อ ไม่เชื่อไม่สำคัญ
แต่ข้าพเจ้าต้องรู้ให้ได้ว่าบุญบาปมีจริง อย่างไร
นรกสวรรค์มีจริงอย่างไร
วิธีเดียว ที่จะรู้ คือ "ปฏิบัติ" สมาธิวิปัสสนากรรมฐาน
(นั่นล่ะคือเหตุที่ข้าพเจ้าเริ่ม...โดยไม่ได้สนใจเรื่องอานิสงส์อะไร)
(นั่นล่ะคือเหตุที่ข้าพเจ้าเริ่ม...โดยไม่ได้สนใจ ทุกขเวทนาแข้งขาอะไร)
หากว่าอาการไม่ดีที่ขาของข้าพเจ้าดีขึ้น(หายไป)เป็นผลที่ได้รับ
จากการ"ทำ"สมาธิวิปัสสนากรรมฐาน ข้าพเจ้าก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้แล้วกัน..
เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการคือ"ต้องรู้ให้ได้ว่าจริง"
แต่ที่แน่ที่สุด ที่จริงที่สุดสำหรับข้าพเจ้าตอนนี้คือ...
ใดๆในโลกล้วน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ...
ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...
(นานมาแล้ว ร่วม40กว่าปี ตามอายุ) ข้าพเจ้าไม่เคยได้รู้สึกรู้สาอะไรกับคำนี้
...
จน เมื่อไม่นาน การใช้งานแข้งขาของข้าพเจ้าเริ่มแสดงผล
(สาเหตุไม่เป็นที่แน่ชัด...ขอผ่านไปก่อน)
อาการที่เด่นชัดคือขึ้นบันใดไม่ค่อยได้
(ตัวอย่างตอนข้ามสะพานลอยถ้าไม่ใช้ราวจับด้านข้างพยุงขึ้นจะก้าวขึ้นเองไม่ได้)
หรือเวลาเดินเล่น(ที่ไหนก็ตาม)ถ้าไม่ได้มีช่วงพักขาแข้ง(นั่งพัก..)
ขาจะเริ่มบวม(ช่วงเหนือหัวเข่า)ทั้งสองขา
บางทีเดินไปไหนไม่ทันใจอยากจะวิ่งให้เร็วขึ้นบ้างซัก5วิ10วิ(ก็ได้แค่ไม่เกินหนึ่งก้าว..วิ่ง)
เพราะเข่ามันจะปวดมากจนต้องหยุดก้าววิ่งลงในทันทีทำได้แค่...
รีบเดินๆต่อ
ไม่ต้องพูดถึงวิ่ง แค่ยืนหรือเดินหากว่านานเกินไป อาการจะเริ่มออก(ทั้งบวมทั้งปวด)มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ
ข้าพเจ้าเริ่มพบแพทย์รักษาไปเรื่อย กินยาไปเรื่อย
แต่ก็ไม่ได้ดีอะไรขึ้น สุดท้ายก็เพียงระมัดระวัง(ไม่ทำอะไรเกินกว่าร่างกายจะรับไหว)
หากปวดก็กินยา...แก้
แต่ว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายๆอย่างนั้น ถ้าต้องเดินขึ้นสะพานลอย(ที่แม้แต่ใช้แขนพยุงตัวได้ก็ปวดแสน)
ข้าพเจ้าจะข้ามถนนใต้สะพานลอยแทน ตลอด
ถ้าต้องขึ้นสะพานจริงๆก็ต้องทน
.
.
.
จนข้าพเจ้าเลิกหาหมอ เลิกกินยา(แน่ล่ะ พอกันที จะปวดก็ปวดไป จะบวมก็บวมไป)
เข้าใจจริงๆ ว่า "อโรคยา ปรมาลาภา" อย่างไร
จะเป็นด้วยเพราะ กรรมอะไร(ก็ช่าง) จริงก็ช่าง ไม่จริงก็ช่าง
จะนึกรู้ได้ก็ดี จะไม่รู้ก็ดี
นิสัยชอบลอง(ไม่ฟังใครไม่เชื่ออะไรง่ายๆ) เรื่องหลักการ เรื่องเหตุผลติดอยู่ในกมลสันดานของข้าพเจ้า
ทำให้พูดได้ไม่เต็มปากว่าตนศาสนาพุทธ
มีก็แต่หลัก กาลามสูตร...ของพุทธศาสนาที่เข้ากับจริตของข้าพเจ้า
ให้ข้าพเจ้ารู้สึกได้ว่าเป็นชาวพุทธอยู่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จริงแล้ว นรก สวรรค์ มีจริงรึเปล่า
บุญ บาป มีจริงรึเปล่า แล้วเวรแล้วกรรมล่ะ เอาอะไรมาพิสูจน์
ถ้าให้เชื่อจากคำบอกคำเล่า...ข้าพเจ้าคงไม่จัดว่าเป็นชาวพุทธที่ดี
หากไม่ได้พบเองเห็นเอง รู้เองเห็นเอง (ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อและไม่ปฏิเสธ)
.
.
.
ไม่นานมานี่มีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องรีบวิ่งไปให้ถึง...ให้เร็ว
ก้าวแรกของการวิ่งที่ไม่ได้ทำ(ทำไม่ได้)มานานเป็นปี จึงได้เริ่มขึ้น
ก้าวที่สองตามมา
เร็วขึ้น เร็วขึ้นอีก
จนถึงที่หมาย(ราวๆครึ่งชั่วโมง)
แปลกใจนิดหน่อย(ไม่ใช่เพราะวิ่งได้)
แต่ เพราะข้าพเจ้าแปลกใจว่าทุกข์จากอาการนั้นๆของข้าพเจ้าหายไปไหน
ผลจากการทำสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน รึ?
เคยได้ยินมาบ้าง ว่า กรรมไม่ดี หากอุปมาดั่งความเค็มของเกลือ
หากเติมน้ำลงไปให้มากเข้า ก็จะเค็มน้อยลงๆ เรื่อย ถึงจืดสนิท
(เกลือไม่ได้หายไปไหน เพียงส่งผลเค็มไม่ได้)
เคยรับรู้มาว่า
(บุญกิริยาวัตถุ3 )ทาน ศีล ภาวนา อานิสงส์ผลบุญต่างกัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ไม่รู้เท็จจริงแค่ไหน อย่างไร ก็ชั่ง
อานิสงส์จะมากน้อยอย่างไรข้าพเจ้าไม่สน
เชื่อ ไม่เชื่อไม่สำคัญ
แต่ข้าพเจ้าต้องรู้ให้ได้ว่าบุญบาปมีจริง อย่างไร
นรกสวรรค์มีจริงอย่างไร
วิธีเดียว ที่จะรู้ คือ "ปฏิบัติ" สมาธิวิปัสสนากรรมฐาน
(นั่นล่ะคือเหตุที่ข้าพเจ้าเริ่ม...โดยไม่ได้สนใจเรื่องอานิสงส์อะไร)
(นั่นล่ะคือเหตุที่ข้าพเจ้าเริ่ม...โดยไม่ได้สนใจ ทุกขเวทนาแข้งขาอะไร)
หากว่าอาการไม่ดีที่ขาของข้าพเจ้าดีขึ้น(หายไป)เป็นผลที่ได้รับ
จากการ"ทำ"สมาธิวิปัสสนากรรมฐาน ข้าพเจ้าก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้แล้วกัน..
เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการคือ"ต้องรู้ให้ได้ว่าจริง"
แต่ที่แน่ที่สุด ที่จริงที่สุดสำหรับข้าพเจ้าตอนนี้คือ...
ใดๆในโลกล้วน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ...