สืบเนื่องจากกระทู้
ไว้ใจแค่ไหนกับ tow ubukata ที่จะมาเขียนบทให้ psycho-pass 2 แทนอุโรบุจิ ทำให้ได้ทราบว่ามีคนไม่รู้จัก อาจารย์อุบุคาตะอยู่มาก จึงถือโอกาสเขียนแนะนำสักหน่อย
ไม่ได้เขียนยาวๆ นานแล้ว รู้สึกฝืดๆ อ่านแล้วติดขัดอย่างไรก็ขออภัยนะครับ
==================================================
ในปี 2005 กอนโซที่ตอนนั้นเป็นอนิเมชั่นสตูดิโอที่ดังมากของยุค ประกาศการร่วมงานเป็นครั้งที่สามกับรันเงะ มุราตะ ถัดจาก Blue Submarine No.6 และ Last Exile ในเรื่อง Mardock Scramble เพื่อเป็นการฉลองก่อตั้งสตูดิโอครบรอบ 15 ปี

Madock Scramble (2005) Range Murata
ขณะที่ผมที่เป็นนักเรียนมัธยมปลายในโรงเรียนต่างจังหวัด ที่นั่งเล่นเกมออนไลน์ด้วยเน็ต 56k ได้ทราบข่าวนั้นเป็นครั้งแรกก็รู้สึกตื่นเต้นมาก อุบุคาตะจะเป็นใครก็ไม่รู้แหละ ผมคิดว่าเรื่องนี้ต้องเจ๋งแน่ๆ เพราะผมเป็นแฟนของกอนโซและรันเงะตั้งแต่ดู Blue Submarine ครั้งแรกทาง AXN ผมถือว่ากอนโซและรันเงะเป็นผู้เปิดโลกอนิเมใหม่นอกเหนือจากช่อง 9 การ์ตูนให้กับผม
หลังจากตั้งตารออยู่หนึ่งปี โปรเจ็ค Mardock Scramble ก็ถูกยกเลิกเนื่องจากปัญหาทางการเงินของกอนโซที่เจ็บหนักจากอนิเมเจ๊งสองเรื่องติด
พอคิดย้อนไปแล้ว ช่วงนั้นคือช่วงเริ่มขาลงของกอนโซพอดีนั่นเอง
อีกหลายปีต่อมาเมื่ออินเตอร์เน็ตดีขึ้น เวลาว่างมากขึ้น ผมจึงได้รู้จักอุบุคาตะ โทว และได้รู้ว่านักเขียนท่านนี้อยู่รอบตัวผมมากกว่าที่คิด
อุบุคาตะ โทว เป็นคนที่มีวัยเด็กน่าสนใจ ด้วยเหตุผลด้านครอบครัว อาจารย์อุบุคาตะใช้ชีวิตในวัยเด็กส่วนใหญ่อยู่ในต่างประเทศ ทั้งสิงคโปร์และเนปาล ก่อนจะกลับไปญี่ปุ่นเมื่อถึงวัยมัธยม ระหว่างนั้น เพื่อไม่ให้ลืมภาษาแม่ อ.อุบุคาตะใช้เวลาส่วนหนึ่งอ่านพจนานุกรมภาษาญี่ปุ่นมาตั้งแต่เด็ก
สิ่งนั้นเองเป็นพื้นฐานให้ อ.อุบุคาตะ ก้าวหน้าในอาชีพนักเขียนอย่างรวดเร็ว หลังจากจบมัธยมปลาย อ.อุบุคาตะส่งนิยายเรื่อง Kuroi Kitetsu (ฤดูทมิฬ) เข้าประกวดกับสำนักพิมพ์คาโดกาว่าสนี๊กเกอร์ และได้รับรางวัลชนะเลิศด้วยวัยเพียง 19 ปี

Kuroi Kitetsu ปกโดย Yoshitaka Amano
เมื่อเส้นทางในสาขาวรรณกรรมเริ่มต้นอย่างสวยหรู อ.อุโบคาตะจึงดรอปออกจากมหาวิทยาลัยวาเซดะมาเป็นนักเขียนเต็มเวลา แต่ อ. อุบุคาตะ ไม่ได้หยุดแค่ที่การเป็นนักเขียนนิยายไซไฟเท่านั้น อ.อุโบคาตะยังมีความสนใจขยายผลงานไปยังสื่ออื่นทั้งเกม มังงะ อีกด้วย
ปั 2002 อ.อุบุคาตะ เขียนบทของมังงะเรื่อง
Pilgrim Jager (รวมพลคนเหนือมนุษย์ บงกช 6 เล่มจบ) เรื่องนี้เป็นมังงะแฟนตาซีแฟนตาซีพีเรียดเกี่ยวกับกลุ่มนักล่าของศาสนจักรในยุคกลางตอนปลาย

สมัยก่อนผมเช่าอ่าน ตอนนี้อยากซื้อก็หาไม่ได้แล้ว เก่าเกิน orz
นอกจากลายเส้นของมามิ อิโต้ ที่สวยสะอาดตารวมทั้งเปี่ยมไปด้วยสไตล์แฟนตาซียุคเก่าแล้ว เรื่องนี้ยังมีเนื้อเรื่องที่ให้บรรยากาศทั้งย้อนยุคตามประวัติศาสตร์และแฟนตาซีที่ไม่เลื่อนลอย ฉากแอคชั่นสนุกสนาน บทที่เสียดสีแนวคิดของผู้คนในยุคกลางออกมาได้อย่างดี ถือเป็นมังงะที่ผมชอบมากเรื่องหนึ่ง (แต่ก็อีกหลายปีก่อนที่ผมจะประติดประต่ออุบุคาตะเข้ากับอีกหลายเรื่องที่ชอบได้ในภายหลัง)
ปี 2003 อ.อุบุคาตะเขียนนิยายและบทของเกมแอคชั่น
Chaos Legion ให้กับ Capcom ตัวเกมนั้นเป็นพีเรียดย้อนยุคเช่นเดียวกับ Pilgrim Jajer แต่มีความเป็นแฟนตาซีมากกว่า
เกมนี้ผมไม่ได้เล่น เลยรีวิวเนื้อเรื่องไม่ได้
และในปี 2004 เดียวกับที่ Gundam SEED ออกฉาย อ.อุบุคาตะเขียนบทให้กับอนิเมเรื่อง
Fafner in the Azure ของสตูดิโอ XEBEC ฟาฟเนอร์ถือเป็นผลงานของ อ.อุบุคาตะ ที่ผมชอบที่สุด

คำแรกที่นึกออกคือ ปวดตับ before it was cool
ฟาฟเนอร์ เป็นเรื่องแรกๆ ที่ผมรู้สึกเหมือนโดนพาเดินชมภูเขาชายทะเลสวยงามแล้วถีบลงเหว เริ่มจากชีวิตนักเรียนมัธยมปลายสดใสบนเกาะสวยงามกลางทะเล เปลี่ยนเป็นนรกบนดินที่ตัวละครหลักที่ถูกวางปมและมีพัฒนาการให้คนดูคอยเอาใจช่วยค่อยๆ ตายไปทีละคนๆ อย่างน่าปวดใจ ในยุคที่การรอซื้อแผ่นแท้รายสัปดาห์ง่ายกว่าโหลดบิตนั้น การรอแต่ละอาทิตย์ช่างเป็นเรื่องที่ปวดใจเหลือเกิน แต่ผมก็ทนดูจนจบจนได้ และเก็บไว้เป็นอนิเมขึ้นหิ่งเรื่องหนึ่ง (แน่นอนว่าผมยังไม่รู้จักอุบุคาตะ เพราะผมดูในฐานะงานของฮิไรคนออกแบบคาแรคเตอร์ดีไซน์)
ในปี 2005 ที่
Mardock Scramble ประกาศทำอนิเมนั่นล่ะ ผมถึงเริ่มค้นหาว่าอุบุคาตะ โทว เป็นใคร ถึงได้รู้ว่า Mardock Scramble เป็นผลงานที่ชนะรางวัล
Nihon SF Taisho Grand Prize ประจำปี 2003 ซึ่งถือเป็นรางวัลระดับสูงสุดของวรรณกรรมแนววิทยาศาสตร์รายการหนึ่ง
หลังจากนั้นผมก็สังเกตเห็นชื่อของอุบุคาตะ โทว ในงานทีผมชอบทั้ง Pilgrim Jajer และ Fafner และอนิเมอีกหลายเรื่องหลังจากนั้น

ฉบับนิยายที่ได้รับรางวัล ฉบับภาษาอังกฤษมีขายใน Amazon Kindle
La Chevalier D’Eon (2006) เป็นอนิเมแฟนตาซีอิงประวัติศาสตร์โดยสตูดิโอ Production I.G เป็นเรื่องที่ผมชอบทั้งบรรยากาศของฝรั่งเศสยุคก่อนการปฏิวัติและแฟนตาซีไสยศาสตร์ถูกประสานเข้ากันอย่างลงตัว เนื้อเรื่องกลิ่นอายสอบสวน และตัวเอกครอสเดรส(ฮา) ก็ถูกใจมากเหมือนกัน เรื่องนี้ค่อนข้างดังในต่างประเทศพอดู

ในรูปนี่ครอสเดรสนะครับ
Heroic Age (2007) อนิเมไซไฟที่เป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของ อ.อุบุคาตะ อ.ฮิไร และสตูดิโอ XEBEC เรื่องนี้เป็นอนิเมแนวอวกาศที่มีพื้นเรื่องจากตำนานกรีก-โรมัน หลายอย่าง สไตล์ของเรื่องถูกใจผมที่ชอบทั้งแนวอวกาศและตำนานเทพอยู่แล้ว ด้วยมีทั้งสงครามอวกาศแบบเน้นยุทธวิธีจริงจัง และโคตรสัตว์ประหลาดที่มีพลังระดับต่อยดาวกระจุยในหมัดเดียวอยู่ในเรื่องเดียวกัน พัฒนาการตัวละครของเรื่องนี้ก็ดีมาก โดยเฉพาะคู่พระรองและคู่ฝ่ายศัตรู แต่น่าเสียดายที่เรื่องนี้ไม่ค่อยเป็นที่พูดถึงเพราะกระแสเอียนฮิไร

เพลงก็ได้ Angela กลับมาอีกครั้ง เหมือนรวมดาราฟาฟเนอร์ดีๆ นี่เอง
และก็จนปี 2010 ผมถึงมีโอกาสได้ดู Mardock Scramble สักที ถึงตอนนี้ผมไม่ค่อยมีความตื่นเต้นเป็นพิเศษแล้ว เพราะสตูดิโอก็เป็น GoHand ที่ยังไม่ค่อยมีผลงานอะไรเท่าไหร่ และคาราดีไซน์ก็เปลี่ยนเป็นนักวาดอินเฮาส์ของสตูดิโอที่ไม่ได้ดูโดดเด่นเท่ารันเงะ มุราคะ ผมจึงมุ่งความสนใจอยู่ที่เนื้อเรื่องอย่างเดียว

กว่าจะได้ดู ห้าปีไม่สาย คุ้มค่าการรอคอยจริงๆ
Mardock Scramble เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร?
เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับรูน บาล็อต เด็กสาวที่โดนพ่อตัวเองข่มขืน พี่ชายเข้ามาเห็นเข้าจึงฆ่าพ่อแล้วโดนตำรวจจับ เด็กสาวที่เหลือตัวคนเดียวจึงกลายเป็นเด็กเร่ร่อนก่อนที่จะโดนแม่เล้าเก็บไปเป็นโสเภณีเด็ก ถ้าชีวิตเธอยังไม่เลวร้ายพอ เธอได้เศรษฐีใจดีช่วยออกมาจากคุกเพื่อใช้เป็นเครื่องสนองความใคร่ ก่อนจะฆ่า แล้วเผาเธอทั้งเป็น ก่อนที่จะโชคดีถูกชุบชีวิตขึ้นมาเป็นสาวน้อยเวทมนตร์กึ่งจักรกลพร้อมหนูพูดได้เพื่อนคู่ใจ เพื่อร่วมทวงถามความยุติธรรมให้ตัวเอง
เทียบกับเรื่องของอุบุคาตะที่ผมเคยดูแล้ว ระดับความโหดชิดซ้ายเรื่องนี้เลย...นอกจากความโหดระดับเรต 18+ แล้ว ประเด็นต่างๆ ในเรื่องนี้ถือว่าเยี่ยมมาก ตัวเรื่องพาคนดูเข้าไปรู้สึกถึงความสิ้นหวังของบาล็อต ความไม่เชื่อในมนุษย์ ความโดดเดี่ยว ความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานในระดับที่เกินชีวิตเด็กคนหนึ่งจะรับได้ ก่อนจะให้พลังมหาศาลกับเด็กคนนั้นเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป ให้บาล็อตได้แก้แค้น ได้เรียนรู้ชีวิตเพื่อจะอยู่ต่อไปในระยะเวลาทั้งสามภาคของอนิเม ภาพยนต์เรื่องนี้ผมถือเป็นมาสเตอร์พีช จนซื้อนิยายเก็บไว้ด้วยเลยทีเดียว
งานถัดมาของอ.อุบุคาตะคือ Ghost in the Shell: Arise ที่เป็นภาคก่อนหน้าของทีวีซีรีส์ ถือเป็นงานช้างงานหนึ่งเพราะแฟนๆ ให้ความคาดหวังไว้มาก (รวมทั้งผมด้วย) และผมก็กล้าพูดว่า แม้คาแรคเตอร์ดีไซน์จะแย่ แต่บทของเรื่องถือว่าดีมากไม่แพ้ภาคทีวีซีรีส์ดั้งเดิมเลย เสียดายที่สั้นไปหน่อย

นอกจากบทแล้ว ยังมีดีที่ซากาโมโต้ มายะ มาพากย์ผู้พันวัยยังเกรียนอีกด้วย
Ghost in the Shell: ARISE (2013) นี่เองที่น่าจะเป็นเครื่องรับประกันฝีมือของอ.อุบุคาตะได้ เพราะงานนี้เป็นการรับช่วงต่อจากโลกของเรื่องที่ถูก มาซามุเนะ ชิโร่ว และผู้กำกับคามิยามะ เคนจิ วางไว้อย่างละเอียดมาตลอดช่วงอายุเกือบ 20 ปีของซีรีส์ ARISE ทั้งสี่ตอนนั้นผมถือว่าประสานเข้าเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ได้อย่างแนบเนียน โดยที่คาแรคเตอร์หลักไม่หลุดเลยแม้จะต้องปีรับให้เข้ากับอายุตัวละครที่ลดลงเพราะเป็นภาคก่อน และอาจจะเป็นเพราะงานนี้เอง ที่ทำให้ Production I.G ไว้ใจให้ อ.อุบุคาตะรับช่วง Psycho-Pass ต่อจากอุโรบุจิ
และปีนี้ อุบุคาตะ โทว นักเขียนไซไฟรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งของญี่ปุ่น จะรับไม้ต่อจาก อุโรบุจิ เก็น ในการเขียนบทของ Psycho-Pass ภาค 2

วันที่ 9 ตุลาคมนี้ ผู้ชมรุ่นใหม่จะได้รู้ฝีมือของอุบุคาตะกันเสียที
ในฐานะแฟนของทั้งสองคน (ผมรู้จักอุบุคาตะมานานกว่าเก็น) ผมรู้สึกว่าทั้งสองคนมีความคล้ายกันมากในเรื่องผลงานที่มีอิทธิพลต่องานเขียนของตน วิธีการเดินเรื่อง และมุมมองเกี่ยวกับจิตวิทยาและวิทยาศาสตร์ ผมจึงถือว่าอุบุคาตะเป็นตัวเลือกรับไม้ต่อจากเก็นที่ดีมาก และสิ่งหนึ่งที่อุบุคาตะเหนือกว่าเก็น คือ...
อุบุคาตะหล่อกว่าเก็นมากครับ
มารู้จักคนในวงการอนิเมะกันเถอะ: Ubukata Tow
ไม่ได้เขียนยาวๆ นานแล้ว รู้สึกฝืดๆ อ่านแล้วติดขัดอย่างไรก็ขออภัยนะครับ
==================================================
ในปี 2005 กอนโซที่ตอนนั้นเป็นอนิเมชั่นสตูดิโอที่ดังมากของยุค ประกาศการร่วมงานเป็นครั้งที่สามกับรันเงะ มุราตะ ถัดจาก Blue Submarine No.6 และ Last Exile ในเรื่อง Mardock Scramble เพื่อเป็นการฉลองก่อตั้งสตูดิโอครบรอบ 15 ปี
Madock Scramble (2005) Range Murata
ขณะที่ผมที่เป็นนักเรียนมัธยมปลายในโรงเรียนต่างจังหวัด ที่นั่งเล่นเกมออนไลน์ด้วยเน็ต 56k ได้ทราบข่าวนั้นเป็นครั้งแรกก็รู้สึกตื่นเต้นมาก อุบุคาตะจะเป็นใครก็ไม่รู้แหละ ผมคิดว่าเรื่องนี้ต้องเจ๋งแน่ๆ เพราะผมเป็นแฟนของกอนโซและรันเงะตั้งแต่ดู Blue Submarine ครั้งแรกทาง AXN ผมถือว่ากอนโซและรันเงะเป็นผู้เปิดโลกอนิเมใหม่นอกเหนือจากช่อง 9 การ์ตูนให้กับผม
หลังจากตั้งตารออยู่หนึ่งปี โปรเจ็ค Mardock Scramble ก็ถูกยกเลิกเนื่องจากปัญหาทางการเงินของกอนโซที่เจ็บหนักจากอนิเมเจ๊งสองเรื่องติด
พอคิดย้อนไปแล้ว ช่วงนั้นคือช่วงเริ่มขาลงของกอนโซพอดีนั่นเอง
อีกหลายปีต่อมาเมื่ออินเตอร์เน็ตดีขึ้น เวลาว่างมากขึ้น ผมจึงได้รู้จักอุบุคาตะ โทว และได้รู้ว่านักเขียนท่านนี้อยู่รอบตัวผมมากกว่าที่คิด
อุบุคาตะ โทว เป็นคนที่มีวัยเด็กน่าสนใจ ด้วยเหตุผลด้านครอบครัว อาจารย์อุบุคาตะใช้ชีวิตในวัยเด็กส่วนใหญ่อยู่ในต่างประเทศ ทั้งสิงคโปร์และเนปาล ก่อนจะกลับไปญี่ปุ่นเมื่อถึงวัยมัธยม ระหว่างนั้น เพื่อไม่ให้ลืมภาษาแม่ อ.อุบุคาตะใช้เวลาส่วนหนึ่งอ่านพจนานุกรมภาษาญี่ปุ่นมาตั้งแต่เด็ก
สิ่งนั้นเองเป็นพื้นฐานให้ อ.อุบุคาตะ ก้าวหน้าในอาชีพนักเขียนอย่างรวดเร็ว หลังจากจบมัธยมปลาย อ.อุบุคาตะส่งนิยายเรื่อง Kuroi Kitetsu (ฤดูทมิฬ) เข้าประกวดกับสำนักพิมพ์คาโดกาว่าสนี๊กเกอร์ และได้รับรางวัลชนะเลิศด้วยวัยเพียง 19 ปี
Kuroi Kitetsu ปกโดย Yoshitaka Amano
เมื่อเส้นทางในสาขาวรรณกรรมเริ่มต้นอย่างสวยหรู อ.อุโบคาตะจึงดรอปออกจากมหาวิทยาลัยวาเซดะมาเป็นนักเขียนเต็มเวลา แต่ อ. อุบุคาตะ ไม่ได้หยุดแค่ที่การเป็นนักเขียนนิยายไซไฟเท่านั้น อ.อุโบคาตะยังมีความสนใจขยายผลงานไปยังสื่ออื่นทั้งเกม มังงะ อีกด้วย
ปั 2002 อ.อุบุคาตะ เขียนบทของมังงะเรื่อง Pilgrim Jager (รวมพลคนเหนือมนุษย์ บงกช 6 เล่มจบ) เรื่องนี้เป็นมังงะแฟนตาซีแฟนตาซีพีเรียดเกี่ยวกับกลุ่มนักล่าของศาสนจักรในยุคกลางตอนปลาย
สมัยก่อนผมเช่าอ่าน ตอนนี้อยากซื้อก็หาไม่ได้แล้ว เก่าเกิน orz
นอกจากลายเส้นของมามิ อิโต้ ที่สวยสะอาดตารวมทั้งเปี่ยมไปด้วยสไตล์แฟนตาซียุคเก่าแล้ว เรื่องนี้ยังมีเนื้อเรื่องที่ให้บรรยากาศทั้งย้อนยุคตามประวัติศาสตร์และแฟนตาซีที่ไม่เลื่อนลอย ฉากแอคชั่นสนุกสนาน บทที่เสียดสีแนวคิดของผู้คนในยุคกลางออกมาได้อย่างดี ถือเป็นมังงะที่ผมชอบมากเรื่องหนึ่ง (แต่ก็อีกหลายปีก่อนที่ผมจะประติดประต่ออุบุคาตะเข้ากับอีกหลายเรื่องที่ชอบได้ในภายหลัง)
ปี 2003 อ.อุบุคาตะเขียนนิยายและบทของเกมแอคชั่น Chaos Legion ให้กับ Capcom ตัวเกมนั้นเป็นพีเรียดย้อนยุคเช่นเดียวกับ Pilgrim Jajer แต่มีความเป็นแฟนตาซีมากกว่า
เกมนี้ผมไม่ได้เล่น เลยรีวิวเนื้อเรื่องไม่ได้
และในปี 2004 เดียวกับที่ Gundam SEED ออกฉาย อ.อุบุคาตะเขียนบทให้กับอนิเมเรื่อง Fafner in the Azure ของสตูดิโอ XEBEC ฟาฟเนอร์ถือเป็นผลงานของ อ.อุบุคาตะ ที่ผมชอบที่สุด
คำแรกที่นึกออกคือ ปวดตับ before it was cool
ฟาฟเนอร์ เป็นเรื่องแรกๆ ที่ผมรู้สึกเหมือนโดนพาเดินชมภูเขาชายทะเลสวยงามแล้วถีบลงเหว เริ่มจากชีวิตนักเรียนมัธยมปลายสดใสบนเกาะสวยงามกลางทะเล เปลี่ยนเป็นนรกบนดินที่ตัวละครหลักที่ถูกวางปมและมีพัฒนาการให้คนดูคอยเอาใจช่วยค่อยๆ ตายไปทีละคนๆ อย่างน่าปวดใจ ในยุคที่การรอซื้อแผ่นแท้รายสัปดาห์ง่ายกว่าโหลดบิตนั้น การรอแต่ละอาทิตย์ช่างเป็นเรื่องที่ปวดใจเหลือเกิน แต่ผมก็ทนดูจนจบจนได้ และเก็บไว้เป็นอนิเมขึ้นหิ่งเรื่องหนึ่ง (แน่นอนว่าผมยังไม่รู้จักอุบุคาตะ เพราะผมดูในฐานะงานของฮิไรคนออกแบบคาแรคเตอร์ดีไซน์)
ในปี 2005 ที่ Mardock Scramble ประกาศทำอนิเมนั่นล่ะ ผมถึงเริ่มค้นหาว่าอุบุคาตะ โทว เป็นใคร ถึงได้รู้ว่า Mardock Scramble เป็นผลงานที่ชนะรางวัล Nihon SF Taisho Grand Prize ประจำปี 2003 ซึ่งถือเป็นรางวัลระดับสูงสุดของวรรณกรรมแนววิทยาศาสตร์รายการหนึ่ง
หลังจากนั้นผมก็สังเกตเห็นชื่อของอุบุคาตะ โทว ในงานทีผมชอบทั้ง Pilgrim Jajer และ Fafner และอนิเมอีกหลายเรื่องหลังจากนั้น
ฉบับนิยายที่ได้รับรางวัล ฉบับภาษาอังกฤษมีขายใน Amazon Kindle
La Chevalier D’Eon (2006) เป็นอนิเมแฟนตาซีอิงประวัติศาสตร์โดยสตูดิโอ Production I.G เป็นเรื่องที่ผมชอบทั้งบรรยากาศของฝรั่งเศสยุคก่อนการปฏิวัติและแฟนตาซีไสยศาสตร์ถูกประสานเข้ากันอย่างลงตัว เนื้อเรื่องกลิ่นอายสอบสวน และตัวเอกครอสเดรส(ฮา) ก็ถูกใจมากเหมือนกัน เรื่องนี้ค่อนข้างดังในต่างประเทศพอดู
ในรูปนี่ครอสเดรสนะครับ
Heroic Age (2007) อนิเมไซไฟที่เป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของ อ.อุบุคาตะ อ.ฮิไร และสตูดิโอ XEBEC เรื่องนี้เป็นอนิเมแนวอวกาศที่มีพื้นเรื่องจากตำนานกรีก-โรมัน หลายอย่าง สไตล์ของเรื่องถูกใจผมที่ชอบทั้งแนวอวกาศและตำนานเทพอยู่แล้ว ด้วยมีทั้งสงครามอวกาศแบบเน้นยุทธวิธีจริงจัง และโคตรสัตว์ประหลาดที่มีพลังระดับต่อยดาวกระจุยในหมัดเดียวอยู่ในเรื่องเดียวกัน พัฒนาการตัวละครของเรื่องนี้ก็ดีมาก โดยเฉพาะคู่พระรองและคู่ฝ่ายศัตรู แต่น่าเสียดายที่เรื่องนี้ไม่ค่อยเป็นที่พูดถึงเพราะกระแสเอียนฮิไร
เพลงก็ได้ Angela กลับมาอีกครั้ง เหมือนรวมดาราฟาฟเนอร์ดีๆ นี่เอง
และก็จนปี 2010 ผมถึงมีโอกาสได้ดู Mardock Scramble สักที ถึงตอนนี้ผมไม่ค่อยมีความตื่นเต้นเป็นพิเศษแล้ว เพราะสตูดิโอก็เป็น GoHand ที่ยังไม่ค่อยมีผลงานอะไรเท่าไหร่ และคาราดีไซน์ก็เปลี่ยนเป็นนักวาดอินเฮาส์ของสตูดิโอที่ไม่ได้ดูโดดเด่นเท่ารันเงะ มุราคะ ผมจึงมุ่งความสนใจอยู่ที่เนื้อเรื่องอย่างเดียว
กว่าจะได้ดู ห้าปีไม่สาย คุ้มค่าการรอคอยจริงๆ
Mardock Scramble เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร?
เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับรูน บาล็อต เด็กสาวที่โดนพ่อตัวเองข่มขืน พี่ชายเข้ามาเห็นเข้าจึงฆ่าพ่อแล้วโดนตำรวจจับ เด็กสาวที่เหลือตัวคนเดียวจึงกลายเป็นเด็กเร่ร่อนก่อนที่จะโดนแม่เล้าเก็บไปเป็นโสเภณีเด็ก ถ้าชีวิตเธอยังไม่เลวร้ายพอ เธอได้เศรษฐีใจดีช่วยออกมาจากคุกเพื่อใช้เป็นเครื่องสนองความใคร่ ก่อนจะฆ่า แล้วเผาเธอทั้งเป็น ก่อนที่จะโชคดีถูกชุบชีวิตขึ้นมาเป็นสาวน้อยเวทมนตร์กึ่งจักรกลพร้อมหนูพูดได้เพื่อนคู่ใจ เพื่อร่วมทวงถามความยุติธรรมให้ตัวเอง
เทียบกับเรื่องของอุบุคาตะที่ผมเคยดูแล้ว ระดับความโหดชิดซ้ายเรื่องนี้เลย...นอกจากความโหดระดับเรต 18+ แล้ว ประเด็นต่างๆ ในเรื่องนี้ถือว่าเยี่ยมมาก ตัวเรื่องพาคนดูเข้าไปรู้สึกถึงความสิ้นหวังของบาล็อต ความไม่เชื่อในมนุษย์ ความโดดเดี่ยว ความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานในระดับที่เกินชีวิตเด็กคนหนึ่งจะรับได้ ก่อนจะให้พลังมหาศาลกับเด็กคนนั้นเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป ให้บาล็อตได้แก้แค้น ได้เรียนรู้ชีวิตเพื่อจะอยู่ต่อไปในระยะเวลาทั้งสามภาคของอนิเม ภาพยนต์เรื่องนี้ผมถือเป็นมาสเตอร์พีช จนซื้อนิยายเก็บไว้ด้วยเลยทีเดียว
งานถัดมาของอ.อุบุคาตะคือ Ghost in the Shell: Arise ที่เป็นภาคก่อนหน้าของทีวีซีรีส์ ถือเป็นงานช้างงานหนึ่งเพราะแฟนๆ ให้ความคาดหวังไว้มาก (รวมทั้งผมด้วย) และผมก็กล้าพูดว่า แม้คาแรคเตอร์ดีไซน์จะแย่ แต่บทของเรื่องถือว่าดีมากไม่แพ้ภาคทีวีซีรีส์ดั้งเดิมเลย เสียดายที่สั้นไปหน่อย
นอกจากบทแล้ว ยังมีดีที่ซากาโมโต้ มายะ มาพากย์ผู้พันวัยยังเกรียนอีกด้วย
Ghost in the Shell: ARISE (2013) นี่เองที่น่าจะเป็นเครื่องรับประกันฝีมือของอ.อุบุคาตะได้ เพราะงานนี้เป็นการรับช่วงต่อจากโลกของเรื่องที่ถูก มาซามุเนะ ชิโร่ว และผู้กำกับคามิยามะ เคนจิ วางไว้อย่างละเอียดมาตลอดช่วงอายุเกือบ 20 ปีของซีรีส์ ARISE ทั้งสี่ตอนนั้นผมถือว่าประสานเข้าเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ได้อย่างแนบเนียน โดยที่คาแรคเตอร์หลักไม่หลุดเลยแม้จะต้องปีรับให้เข้ากับอายุตัวละครที่ลดลงเพราะเป็นภาคก่อน และอาจจะเป็นเพราะงานนี้เอง ที่ทำให้ Production I.G ไว้ใจให้ อ.อุบุคาตะรับช่วง Psycho-Pass ต่อจากอุโรบุจิ
และปีนี้ อุบุคาตะ โทว นักเขียนไซไฟรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งของญี่ปุ่น จะรับไม้ต่อจาก อุโรบุจิ เก็น ในการเขียนบทของ Psycho-Pass ภาค 2
วันที่ 9 ตุลาคมนี้ ผู้ชมรุ่นใหม่จะได้รู้ฝีมือของอุบุคาตะกันเสียที
ในฐานะแฟนของทั้งสองคน (ผมรู้จักอุบุคาตะมานานกว่าเก็น) ผมรู้สึกว่าทั้งสองคนมีความคล้ายกันมากในเรื่องผลงานที่มีอิทธิพลต่องานเขียนของตน วิธีการเดินเรื่อง และมุมมองเกี่ยวกับจิตวิทยาและวิทยาศาสตร์ ผมจึงถือว่าอุบุคาตะเป็นตัวเลือกรับไม้ต่อจากเก็นที่ดีมาก และสิ่งหนึ่งที่อุบุคาตะเหนือกว่าเก็น คือ...
อุบุคาตะหล่อกว่าเก็นมากครับ