คำแนะนำ : รีวิวผมเป็นรีวิวกาก ๆ ที่ไม่ได้ใส่รายละเอียดข้อมูลแนะนำต่าง ๆ ไว้ให้นะครับ
เป็นเพียงแค่สิ่งที่ผมอยากเล่าให้ฟังกับประสบการณ์ที่ได้เดินทางไป ได้พบ ได้เจอเรื่องราวต่าง ๆ
แล้วก็อยากแชร์ภาพถ่ายให้ดู คิดซะว่าอ่านเล่น ๆ ยามว่างแล้วกันนะครับ
ภาษา ความรุนแรง อาจไม่เหมาะสม กรุณาใช้วิจารณญาณในการรับลม...เอ่ย..รับชม ด้วย
สักครั้งในชีวิตขอพิชิต Fujisan (23-24/08/2014)
หลังจากที่ผมได้ไปเยือนทะเลสาบคาวากุจิโกะมาแล้วเมื่อ 6-7 กรกฎาคม 56 ตามกระทู้นี้
http://pantip.com/topic/31307044
ครั้งนั้น ได้แต่มองความยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟลูกนี้ และก็ได้แต่พูดกะตัวเองว่าครั้งหน้ากรูต้องปีนเมริงให้จงได้
ครั้งนี้มีโอกาสกลับมาอีกครั้งในช่วงที่สามารถปีนได้พอดี นั่นคือช่วงฤดูร้อนของทางญี่ปุ่น เดือนหก ถึงเดือนแปด
ก่อนหน้านั้น ผมต้องไปอยู่ที่โอซาก้า ซึ่งก็ได้หาซื้อของเตรียมตัวจะไปปีนเขา ที่ร้านฮาร์ดออฟ เป็นร้านขายของใช้แล้ว
มีอยู่ทั่วไปที่ญี่ปุ่น ที่บ้านเราเรียกร้านพวกนี้ว่า Secondhand แต่ที่ญี่ปุ่น จะเรียกร้านพวกนี้ว่า recycle shop นะครับ
เผื่อใครจะถามหาร้านพวกนี้ จะได้เรียกได้ถูก
ผมได้ชุดกับกางเกงมาชุดนึง ฟลุคมาก เป็นเสื้อผ้าปีนเขา กันลมกันน้ำ ในราคาพันบาท ปกติชุดแบบนี้
ราคาของใหม่เกือบ ๆ หมื่นบาท พร้อมกันได้ถุงมือมาคู่ละสามร้อยบาท แต่รองเท้าไปซื้อของใหม่ ผ้ากันน้ำ
ราคาราว ๆ สี่พันบาท กับไฟฉายแบบคาดหัวเกือบ ๆ พันบาท
จริง ๆ แล้วหากใครจะไปใช้รองเท้าผ้าใบก็ได้ครับ แต่อาจจะถลอกปอกเปิกหน่อยนะ หินเยอะมว้าก
ไฟฉายนี่สำคัญนะครับ ถ้าไม่มีนี่ลำบาก เพราะมืดมาก ส่วนไฟฉายแบบถือใช้ได้ไม๊ ตอบว่าใช้ได้ครับ
แต่พอนาน ๆ จะเริ่มไม่อยากถือแระ อยากทิ้งทุกอย่างออกจากร่าง 55
ช่วงเดือนสิงหา ผมได้ย้ายมาอยู่ที่นาโกย่า ซึ่งก็จะใกล้ฟูจิขึ้นมาหน่อย ในวันเดินทาง ผมเดินทางโดยรถไฟจากเมืองอุชิดะ
ไปยังเมืองฟูจิโนมิยะ จากเมืองนี้ผมต้องต่อรถไฟสายโลคอลห้าครั้ง เนื่องจากต้องการประหยัดแบบฝุด ๆ
แล้วก็ไปต่อรถบัสที่ฟูจิโนมิยะ ไปยังฟูจิชั้นห้า รวมเวลาทั้งหมดราว ๆ 5 ชั่วโมง เหนื่อยสาดอ่ะ
ต่อรถบัสสักสี่โมงครึ่ง ไปถึงชั้นห้า ตอนเกือบหกโมงครึ่ง ตอนนั้นหิวข้าวแล้วด้วย ดีทีร้านขายข้าวยังไม่ปิด
เหลืออีกห้านาทีพอดี รอดตัวไป หลังจากนั้นก็ซื้อไม้เท้า ราคาพันเยน แล้วก้อซื้อพวกขนมปัง กับน้ำดื่มสองขวด
แค่นี้กระเป๋าแมร่งหนักสาดแระ
ป.ล. รูปที่ถ่ายเป็นรูปขากลับนะครับ ขาขึ้นถ่ายลำบาก ลมแรงมาก ไม่มีทางกล้องจะนิ่งได้เลย แถมด้วยความโง่
ก่อนมาเช็คของทุกอย่าง กะว่าไม่มีพลาด แต่ตอนมาถึงรื้อขาตั้งกล้องออกจะถ่าย ปรากฏว่าลืมเอาเพลตต่อฐานกล้องไป
โง่ฉริบหายอะกรู ก็เลยไม่ได้ถ่ายไป แบกมันไปเป็นภาระด้วยอิก

ดด
และแล้วก็ถึงเวลาเริ่มออกเดินทาง ผมออกจากชั้นห้าตอน สองทุ่มครึ่ง เดินไปถึงชั้นหกในอีกยี่สิบนาทีถัดมา
ในใจคิดว่า ไมมันถึงเร็วจังวะ กรูยังไม่ทันเหนื่อยเลย แวะพักนิดหน่อย แล้วเดินทางไปยังชั้นเจ็ดต่อ
ใช้เวลาน่าจะสักชั่วโมงนึง ในใจคิดว่าเร็วมาก แอบได้ใจก็เลยจอดนอนเลยทีนี้ ยาวไปชั่วโมงนึง ตื่นมาอีกที
คนแมร่งเยอะสาด ไม่รู้มาจากไหนนักหนา เราก็เลยต้องเดินทางต่อ แต่คราวนี้มันไม่เหมือนสองชั้นที่ผ่านมาแฮะ
เริ่มเดินยากขึ้น หินเริ่มเยอะ ทางเริ่มชัน ตอนนี้เริ่มเหนื่อยแระสาด เวลาจอดพักทีนี่รู้สึกโคตรฟินกับบรรยากาศข้างหลังมาก
หันกลับมาจะพบกับภาพแบบนี้ รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่หันหน้ากลับมาอะ
ระหว่างทาง เจอกลุ่มคนไทยบ้างสองกลุ่ม เห็นว่าเป็นนักศึกษาอยู่เกียวโต มากันกลุ่มใหญ่เลย
อีกกลุ่มเป็นพนักงานมาเทรนงานแบบผม(บริษัทเดียวกันด้วยอิก แต่คนละโรงงาน) ส่วนผมไปคนเดียว
เลยไม่ขอรอใคร ทักทายคนไปเรื่อย เนื่องจากมองไม่เห็นหน้า เลยไม่มียางอาย 55
เดินๆ ไปแอบสงสารสาวอังกฤษ ถือไฟฉายอันเท่ากระติกน้ำ แต่ความสว่าง แมร่งเท่าไฟแช็ค
ผมก็เลยชวนคุย แกบอกว่า คิดว่าไฟฉายอันใหญ่ มันจะสว่าง ก็ซวยกันไป.....
เดินจนหอบ กว่าจะมาถึงชั้นแปด จริง ๆ อยากจะบอกว่า ไม่รู้ว่าตอนนั้น ชั้นแปดรึเปล่า
เพราะมันดันมีชั้นเจ็ดเก่า เจ็ดใหม่ จะแยกใหม่เพื่อ......
พอมาถึงชั้นแปด เท่าที่จำได้คือ หนาวมว้าก แต่ตอนแรกคิดว่าทนไหว เลยเดินต่อขึ้นไปชั้นเก้า
แต่สุดท้ายก็ต้องจอดพัก ใส่เสื้อกันหนาวอีกชั้นข้างใน ตอนนี้ใส่ทั้งหมดห้าชั้นอะ เป็นลองจอร์นตัวใน
ทับด้วยเสื้อยืดปกติ แล้วตามด้วยเสื้อไหมพรมไม่หนามาก ประกบด้วยเสื้อกันหนาวขนเป็ดอย่างหนา
แล้วปิดด้วยเสื้อปีนเขาชั้นนอก ตอนนี้ตัวไม่เป็นไรแระ แต่มือเนี่ย อยากจะบอกว่า ถุงมือที่เอามานี่ไม่อยู่อะ
ไม่ต้องพูดถึงตอนถอด ไม่เกินห้านาที ขอใส่ถุงมือคืนดีกว่า หนาวสาดดด
มาถึงชั้นเก้าสักประมาณตีหนึ่ง คิดว่าเวลาเหลือเยอะ เห็นเค้าว่ากันว่าเดินจากชั้นแปดตอนตีสอง
ก็ไปทันพระอาทิตย์ตอนตีห้า ผมก็เลยนอนพักอิกรอบชั่วโมงนึง เวลานอนนีก็แอบ ๆ เอาตามซอกหินอะครับ
มุมดีก้อดีไป มุมแย่ก็ทรมานดี 55
ตีสองเริ่มเดินทางต่อ คิดว่าเหลืออีกแค่ชั้นเดียวเอง แต่ที่ไหนได้ คนเริ่มเยอะ เดินกันไปช้ามาก ๆ เดินไปสามสี่เก้า
ก็ต้องหยุด ตีสี่กว่า ๆ พระอาทิตย์เริ่มขึ้น รู้สึกเสียใจมากอะตอนนั้น ไม่น่านอนพักเลย กว่าจะไปถึงชั้นบน
ซัดเข้าไปตีห้าครึ่ง ฟ้านี่สว่างแระตอนนั้น เสียใจรอบสองคือ ทั้งคืนเดินทางมาท้องฟ้าใสมาก พอไปถึงบนสุดเท่านั้นแระ
หมอกแมร่งมาจากไหนม้ายรุ หนาสัด ๆ อะ แมร่งมองไรไม่เห็นเลย เลยไม่รู้จะเดินไปเที่ยวไหน ได้แต่เดินหนาว ๆ
อยู่ข้างบน ละอองนี่เต็มไปหมด บางคนถึงกับหัวเปียกกันเลยทีเดียว
อยู่ข้างบนไม่เท่าไหร่ มองไรไม่เห็นเลยกลับดีกว่า ขากลับก็มีบางช่วงเห็นวิวบ้างตอนหมอกพัดไป แต่มีจังหวะนั้นน้อยมากอะ
ขากลับนี่แระ มันส์ดี รองเท้าใครไม่ดี ได้พังกันแน่ ขานี้ไม่ค่อยเหนื่อยนะ แต่เมื้อยเหมือนกัน เนื่องจากคราวนี้เดินเห็นทาง
ทำให้รู้สึกว่า เดินเท่าไหร่ทำไมมันไม่ถึงสักที่แว๊ แต่รู้สึกดีฉริบหายเวลามองเห็นวิวข้างหน้า
เห็นคนแต่ละวัย ต่างพากันเดินขึ้นและลง เป็นความทรงจำที่ดีกับผมเลยทีเดียว
ผมใช้เวลาขากลับราว ๆ สามชั่วโมงครึ่งก็ถึงข้างล่าง แวะกินข้าว เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก้อรอขึ้นรถเมย์กลับมาเมืองฟูจิโนมิยะ
เพื่อจะต่อรถไฟกลับหอ กว่าจะถึงหอก็ปาเข้าไปหกโมงเย็น เหนื่อยฝุด ๆ อะ แต่รู้สึกคุ้มมากกับการไปครั้งนี้
อย่างน้อยผมก็ได้ชื่อว่า เคยไปเหยียบจุดสูงสุดของญี่ปุ่น ถึงไม่มีใครรับรู้ แต่ในใจผมรู้ 55
อาทิตย์ถัดมา เดินขึ้นลงบันไดแทบไม่ไหวอะ ปวดขาดสาดดดด นี่ขนาดวิ่งวันละสามกิโลทุกวันนะ ยังปวดได้อิกอะ
สำหรับใครที่อยากไปบ้างก็จัดไปเลยนะครับ ไม่ได้ยากอะไรขนาดนั้น แค่เตรียมพวกเสื้อผ้ากับใจและเงินให้พร้อมพอ
แค่นี้ก็ไปได้แล้ว ถึงแม้จะเป็นคนไม่เคยเดินเขา เดินไกล ๆ แต่ถ้ามีใจ มันไปได้ทุกที่แหละนะ
ดูเหมือนเป็นการเดินทางที่ไม่มีอะไร แต่ในใจแล้ว คุณจะรู้สึกว่าได้อะไรกว่าที่คิด
แล้วรอติดตามการเดินทางของผมครั้งหน้านะครับ คงจะช่วงใบไม้ร่วงเลย ถึงจะเดินทางครั้งใหม่
ปีนี้ได้เงินน้อยลงเยอะ เลยได้เที่ยวน้อย ชีวิตที่นี้แอบลำบาก (ใช้เงินได้วันละพันเยนเอง) ใครว่ามาญี่ปุ่นแล้วสบาย !!
สุดท้าย ผมอยากพูดว่า ผมอยากกลับไทย คิดถึงแฟนอะ.......
[CR] PHOmTOz’s : สักครั้งในชีวิตขอพิชิต Fujisan (23-24/08/2014)
เป็นเพียงแค่สิ่งที่ผมอยากเล่าให้ฟังกับประสบการณ์ที่ได้เดินทางไป ได้พบ ได้เจอเรื่องราวต่าง ๆ
แล้วก็อยากแชร์ภาพถ่ายให้ดู คิดซะว่าอ่านเล่น ๆ ยามว่างแล้วกันนะครับ
ภาษา ความรุนแรง อาจไม่เหมาะสม กรุณาใช้วิจารณญาณในการรับลม...เอ่ย..รับชม ด้วย
สักครั้งในชีวิตขอพิชิต Fujisan (23-24/08/2014)
หลังจากที่ผมได้ไปเยือนทะเลสาบคาวากุจิโกะมาแล้วเมื่อ 6-7 กรกฎาคม 56 ตามกระทู้นี้
http://pantip.com/topic/31307044
ครั้งนั้น ได้แต่มองความยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟลูกนี้ และก็ได้แต่พูดกะตัวเองว่าครั้งหน้ากรูต้องปีนเมริงให้จงได้
ครั้งนี้มีโอกาสกลับมาอีกครั้งในช่วงที่สามารถปีนได้พอดี นั่นคือช่วงฤดูร้อนของทางญี่ปุ่น เดือนหก ถึงเดือนแปด
ก่อนหน้านั้น ผมต้องไปอยู่ที่โอซาก้า ซึ่งก็ได้หาซื้อของเตรียมตัวจะไปปีนเขา ที่ร้านฮาร์ดออฟ เป็นร้านขายของใช้แล้ว
มีอยู่ทั่วไปที่ญี่ปุ่น ที่บ้านเราเรียกร้านพวกนี้ว่า Secondhand แต่ที่ญี่ปุ่น จะเรียกร้านพวกนี้ว่า recycle shop นะครับ
เผื่อใครจะถามหาร้านพวกนี้ จะได้เรียกได้ถูก
ผมได้ชุดกับกางเกงมาชุดนึง ฟลุคมาก เป็นเสื้อผ้าปีนเขา กันลมกันน้ำ ในราคาพันบาท ปกติชุดแบบนี้
ราคาของใหม่เกือบ ๆ หมื่นบาท พร้อมกันได้ถุงมือมาคู่ละสามร้อยบาท แต่รองเท้าไปซื้อของใหม่ ผ้ากันน้ำ
ราคาราว ๆ สี่พันบาท กับไฟฉายแบบคาดหัวเกือบ ๆ พันบาท
จริง ๆ แล้วหากใครจะไปใช้รองเท้าผ้าใบก็ได้ครับ แต่อาจจะถลอกปอกเปิกหน่อยนะ หินเยอะมว้าก
ไฟฉายนี่สำคัญนะครับ ถ้าไม่มีนี่ลำบาก เพราะมืดมาก ส่วนไฟฉายแบบถือใช้ได้ไม๊ ตอบว่าใช้ได้ครับ
แต่พอนาน ๆ จะเริ่มไม่อยากถือแระ อยากทิ้งทุกอย่างออกจากร่าง 55
ช่วงเดือนสิงหา ผมได้ย้ายมาอยู่ที่นาโกย่า ซึ่งก็จะใกล้ฟูจิขึ้นมาหน่อย ในวันเดินทาง ผมเดินทางโดยรถไฟจากเมืองอุชิดะ
ไปยังเมืองฟูจิโนมิยะ จากเมืองนี้ผมต้องต่อรถไฟสายโลคอลห้าครั้ง เนื่องจากต้องการประหยัดแบบฝุด ๆ
แล้วก็ไปต่อรถบัสที่ฟูจิโนมิยะ ไปยังฟูจิชั้นห้า รวมเวลาทั้งหมดราว ๆ 5 ชั่วโมง เหนื่อยสาดอ่ะ
ต่อรถบัสสักสี่โมงครึ่ง ไปถึงชั้นห้า ตอนเกือบหกโมงครึ่ง ตอนนั้นหิวข้าวแล้วด้วย ดีทีร้านขายข้าวยังไม่ปิด
เหลืออีกห้านาทีพอดี รอดตัวไป หลังจากนั้นก็ซื้อไม้เท้า ราคาพันเยน แล้วก้อซื้อพวกขนมปัง กับน้ำดื่มสองขวด
แค่นี้กระเป๋าแมร่งหนักสาดแระ
ป.ล. รูปที่ถ่ายเป็นรูปขากลับนะครับ ขาขึ้นถ่ายลำบาก ลมแรงมาก ไม่มีทางกล้องจะนิ่งได้เลย แถมด้วยความโง่
ก่อนมาเช็คของทุกอย่าง กะว่าไม่มีพลาด แต่ตอนมาถึงรื้อขาตั้งกล้องออกจะถ่าย ปรากฏว่าลืมเอาเพลตต่อฐานกล้องไป
โง่ฉริบหายอะกรู ก็เลยไม่ได้ถ่ายไป แบกมันไปเป็นภาระด้วยอิก
และแล้วก็ถึงเวลาเริ่มออกเดินทาง ผมออกจากชั้นห้าตอน สองทุ่มครึ่ง เดินไปถึงชั้นหกในอีกยี่สิบนาทีถัดมา
ในใจคิดว่า ไมมันถึงเร็วจังวะ กรูยังไม่ทันเหนื่อยเลย แวะพักนิดหน่อย แล้วเดินทางไปยังชั้นเจ็ดต่อ
ใช้เวลาน่าจะสักชั่วโมงนึง ในใจคิดว่าเร็วมาก แอบได้ใจก็เลยจอดนอนเลยทีนี้ ยาวไปชั่วโมงนึง ตื่นมาอีกที
คนแมร่งเยอะสาด ไม่รู้มาจากไหนนักหนา เราก็เลยต้องเดินทางต่อ แต่คราวนี้มันไม่เหมือนสองชั้นที่ผ่านมาแฮะ
เริ่มเดินยากขึ้น หินเริ่มเยอะ ทางเริ่มชัน ตอนนี้เริ่มเหนื่อยแระสาด เวลาจอดพักทีนี่รู้สึกโคตรฟินกับบรรยากาศข้างหลังมาก
หันกลับมาจะพบกับภาพแบบนี้ รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่หันหน้ากลับมาอะ
ระหว่างทาง เจอกลุ่มคนไทยบ้างสองกลุ่ม เห็นว่าเป็นนักศึกษาอยู่เกียวโต มากันกลุ่มใหญ่เลย
อีกกลุ่มเป็นพนักงานมาเทรนงานแบบผม(บริษัทเดียวกันด้วยอิก แต่คนละโรงงาน) ส่วนผมไปคนเดียว
เลยไม่ขอรอใคร ทักทายคนไปเรื่อย เนื่องจากมองไม่เห็นหน้า เลยไม่มียางอาย 55
เดินๆ ไปแอบสงสารสาวอังกฤษ ถือไฟฉายอันเท่ากระติกน้ำ แต่ความสว่าง แมร่งเท่าไฟแช็ค
ผมก็เลยชวนคุย แกบอกว่า คิดว่าไฟฉายอันใหญ่ มันจะสว่าง ก็ซวยกันไป.....
เดินจนหอบ กว่าจะมาถึงชั้นแปด จริง ๆ อยากจะบอกว่า ไม่รู้ว่าตอนนั้น ชั้นแปดรึเปล่า
เพราะมันดันมีชั้นเจ็ดเก่า เจ็ดใหม่ จะแยกใหม่เพื่อ......
พอมาถึงชั้นแปด เท่าที่จำได้คือ หนาวมว้าก แต่ตอนแรกคิดว่าทนไหว เลยเดินต่อขึ้นไปชั้นเก้า
แต่สุดท้ายก็ต้องจอดพัก ใส่เสื้อกันหนาวอีกชั้นข้างใน ตอนนี้ใส่ทั้งหมดห้าชั้นอะ เป็นลองจอร์นตัวใน
ทับด้วยเสื้อยืดปกติ แล้วตามด้วยเสื้อไหมพรมไม่หนามาก ประกบด้วยเสื้อกันหนาวขนเป็ดอย่างหนา
แล้วปิดด้วยเสื้อปีนเขาชั้นนอก ตอนนี้ตัวไม่เป็นไรแระ แต่มือเนี่ย อยากจะบอกว่า ถุงมือที่เอามานี่ไม่อยู่อะ
ไม่ต้องพูดถึงตอนถอด ไม่เกินห้านาที ขอใส่ถุงมือคืนดีกว่า หนาวสาดดด
มาถึงชั้นเก้าสักประมาณตีหนึ่ง คิดว่าเวลาเหลือเยอะ เห็นเค้าว่ากันว่าเดินจากชั้นแปดตอนตีสอง
ก็ไปทันพระอาทิตย์ตอนตีห้า ผมก็เลยนอนพักอิกรอบชั่วโมงนึง เวลานอนนีก็แอบ ๆ เอาตามซอกหินอะครับ
มุมดีก้อดีไป มุมแย่ก็ทรมานดี 55
ตีสองเริ่มเดินทางต่อ คิดว่าเหลืออีกแค่ชั้นเดียวเอง แต่ที่ไหนได้ คนเริ่มเยอะ เดินกันไปช้ามาก ๆ เดินไปสามสี่เก้า
ก็ต้องหยุด ตีสี่กว่า ๆ พระอาทิตย์เริ่มขึ้น รู้สึกเสียใจมากอะตอนนั้น ไม่น่านอนพักเลย กว่าจะไปถึงชั้นบน
ซัดเข้าไปตีห้าครึ่ง ฟ้านี่สว่างแระตอนนั้น เสียใจรอบสองคือ ทั้งคืนเดินทางมาท้องฟ้าใสมาก พอไปถึงบนสุดเท่านั้นแระ
หมอกแมร่งมาจากไหนม้ายรุ หนาสัด ๆ อะ แมร่งมองไรไม่เห็นเลย เลยไม่รู้จะเดินไปเที่ยวไหน ได้แต่เดินหนาว ๆ
อยู่ข้างบน ละอองนี่เต็มไปหมด บางคนถึงกับหัวเปียกกันเลยทีเดียว
อยู่ข้างบนไม่เท่าไหร่ มองไรไม่เห็นเลยกลับดีกว่า ขากลับก็มีบางช่วงเห็นวิวบ้างตอนหมอกพัดไป แต่มีจังหวะนั้นน้อยมากอะ
ขากลับนี่แระ มันส์ดี รองเท้าใครไม่ดี ได้พังกันแน่ ขานี้ไม่ค่อยเหนื่อยนะ แต่เมื้อยเหมือนกัน เนื่องจากคราวนี้เดินเห็นทาง
ทำให้รู้สึกว่า เดินเท่าไหร่ทำไมมันไม่ถึงสักที่แว๊ แต่รู้สึกดีฉริบหายเวลามองเห็นวิวข้างหน้า
เห็นคนแต่ละวัย ต่างพากันเดินขึ้นและลง เป็นความทรงจำที่ดีกับผมเลยทีเดียว
ผมใช้เวลาขากลับราว ๆ สามชั่วโมงครึ่งก็ถึงข้างล่าง แวะกินข้าว เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก้อรอขึ้นรถเมย์กลับมาเมืองฟูจิโนมิยะ
เพื่อจะต่อรถไฟกลับหอ กว่าจะถึงหอก็ปาเข้าไปหกโมงเย็น เหนื่อยฝุด ๆ อะ แต่รู้สึกคุ้มมากกับการไปครั้งนี้
อย่างน้อยผมก็ได้ชื่อว่า เคยไปเหยียบจุดสูงสุดของญี่ปุ่น ถึงไม่มีใครรับรู้ แต่ในใจผมรู้ 55
อาทิตย์ถัดมา เดินขึ้นลงบันไดแทบไม่ไหวอะ ปวดขาดสาดดดด นี่ขนาดวิ่งวันละสามกิโลทุกวันนะ ยังปวดได้อิกอะ
สำหรับใครที่อยากไปบ้างก็จัดไปเลยนะครับ ไม่ได้ยากอะไรขนาดนั้น แค่เตรียมพวกเสื้อผ้ากับใจและเงินให้พร้อมพอ
แค่นี้ก็ไปได้แล้ว ถึงแม้จะเป็นคนไม่เคยเดินเขา เดินไกล ๆ แต่ถ้ามีใจ มันไปได้ทุกที่แหละนะ
ดูเหมือนเป็นการเดินทางที่ไม่มีอะไร แต่ในใจแล้ว คุณจะรู้สึกว่าได้อะไรกว่าที่คิด
แล้วรอติดตามการเดินทางของผมครั้งหน้านะครับ คงจะช่วงใบไม้ร่วงเลย ถึงจะเดินทางครั้งใหม่
ปีนี้ได้เงินน้อยลงเยอะ เลยได้เที่ยวน้อย ชีวิตที่นี้แอบลำบาก (ใช้เงินได้วันละพันเยนเอง) ใครว่ามาญี่ปุ่นแล้วสบาย !!
สุดท้าย ผมอยากพูดว่า ผมอยากกลับไทย คิดถึงแฟนอะ.......
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น