สวัสดีค่ะ
เราไม่คิดว่าจะมาตั้งกระทู้เกี่ยวกับปัญหาและกลโกงอีกหลังจากที่กระทู้ก่อนเพื่อนเราฝากตั้งกระทู้เตือนภัยแท็กซี่
รอบนี้เราเป็นฝ่ายโดนเองกับตัวค่ะ
ปัญหาที่เราเจอนี้ คาดว่าหลายคนคงเคยเจอกับตัว หรือคนใกล้ตัวกันมาไม่มากก็น้อยจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
มันคือปัญหาจากการขายประกันทางโทรศัพท์ค่ะ
เราเป็นคนไม่สนใจประกันชีวิตหรอกค่ะ แม้จะมีดูๆ ไว้บ้างแต่ไม่ใส่ใจ เพราะเรามีประกันสังคม มีประกันของบริษัท และสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลกับทางบริษัทได้อยู่แล้ว
แต่เราชอบนิสัยเสียค่ะ คือเวลามีประกันโทรมาขายประกัน ถ้าว่าง และอารมณ์ไม่เสียนัก เราจะฟังค่ะ ฟังแล้วก็ปฏิเสธตอนท้ายสุด บางทีก็อยากรู้วิธีการพูดของเขาค่ะ เผื่อเอามาปรับใช้กับการทำงานได้บ้าง
แต่เหตุการณ์ที่เราพบเจอทำให้ความคิดเราเปลี่ยน ถ้าคราวหน้ามีประกันชีวิตโทรมา เราจะวางสายทิ้งทันทีโดยไม่เอ่ยคำใดค่ะ
เหตุการณ์มันเริ่มเมื่อเราสมัครบัตรเครดิตกับธนาคารหนึ่ง ชื่อย่อ C ก็ไม่ได้ตั้งใจจะสมัครหรอกค่ะ แต่พี่ทำทำงานชวนสมัครเอาโปรโมชั่น เราเองก็มีบัตรเครดิตอยู่แล้ว และธนาคารที่เราใช้ประจำก็ไม่มีปัญหา ติดต่อเรื่องสะดวก บริการดี โปรโมชั่นเยอะ
ซึ่งตั้งใจไว้ว่าสมัครเอาโปรโมชั่น ได้โปรโมชั่นแล้วทิ้งไว้ 6 เดือนจะไปปิด เพราะช่วงที่ติดต่อเรื่องโปรโมชั่น บอกเลยค่ะว่าธนาคารนี้ไม่น่าประทับใจเลย ติดต่อยาก และดูแล้วระบบของธนาคารไม่ค่อยโอเคค่ะ (ที่สำคัญ หาที่จ่ายบัตรเครดิตยากมากๆ)
พอเราได้โปรโมชั่นตามต้องการเราก็ไม่ได้ยุ่งอะไรกับบัตรอีกค่ะ เพราะคิดว่าจะไปปิดอยู่แล้ว แต่เผอิญว่ามีเซลขายประกันจากบริษัทประกันชื่อย่อ A โทรมาเสนอขายประกัน โดยแจ้งว่าเป็นแพกเกจร่วมมือระหว่างธนาคาร C กับบริษัทประกัน A มอบสิทธิพิเศษให้กับผู้ถือบัตรโดยได้เบี้ยประกันตามยอดการใช้จ่ายบัตร (เราใช้บัตรประเภท Cash back อยู่แล้วค่ะ เลยไม่ได้เอะใจตรงนี้) เราก็ฟังๆ ในขณะที่ทำงานยุ่งๆ ยอมรับสารภาพเลยว่าตรงนี้เราผิดที่นิสัยเสียชอบทำอะไรพร้อมๆ กัน ทำให้ไม่มีสติที่จะรับสารได้ชัดเจน
เซลคนนี้เสนอแพกเกจประกันกับเรา เราที่เห็นว่าเราใช้บัตร Cash back แล้วได้เบี้ยประกันตามการใช้บัตรก็ว่าเออน่าศึกษา เลยอยากได้เอกสารมาศึกษาละเอียดๆ เราเป็นคนเข้าใจผ่านการอ่านมากกว่าการฟังค่ะ
เซลผู้นั้นก็แจ้งว่าได้จะส่งเอกสารรายละเอียดมาให้ ถ้าไม่สนใจยังไงยกเลิกได้ แต่ขอให้พูดคำว่า "ตกลง"
เราก็เอะใจชะงักเล็กน้อย แล้วถามย้ำไปว่า "คือถ้าได้รายละเอียดมาแล้วไม่โอเค ไม่เซ็นต์ ไม่ทำได้ใช่มั๊ยคะ"
เซลผู้นั้นบอกได้ค่ะถ้าอ่ายรายละเอียดแล้วไม่โอเคยกเลิกได้
เราเลยตอบตกลงไป
พอเราเล่าถึงตรงนี้ ทุกคนตอบเหมือนกันหมดเลยค่ะว่า
"นั่นแหละ เซลพวกนี้ต้องการแค่คำว่า ตกลง หมายถึงยินยอมสมัคร"
เราไม่รู้ บอกเลยไม่รู้ว่ามีงี้ด้วย
จากที่ทำงานเกี่ยวกับการซื้อๆ ขายๆ การค้าจะสมบูรณ์ได้คือต้องมีใบสั่งซื้อ หรือเอกสารที่ลงลายลักษณ์อักษรชัดเจนว่ายินยอมซื้อขายกันค่ะ... และจากการทำงานเกี่ยวกับสัญญา การจะทำสัญญาที่สมบูรณ์จะต้องมีการเซ็นต์ยินยอมทุกฝ่ายอย่างสมบูรณ์แบบค่ะ
ซึ่ง แน่นอน ว่าไม่รู้เลยว่าแค่คำพูดผ่านสายโทรศัพท์ว่า "ตกลง" มันจะสามารถเป็นการตกลงซื้อขายประกันชีวิตที่มันอาจจะสะสมยอดเป็นหลักหมื่นหลักแสนได้ด้วย โอ้วววว เรานี่ช่างอ่อนต่อโลกใบนี้เหลือเกิน!!
ไอ้เราพอตอนที่เขาบอกจะส่งเอกสารมาให้ก็รอ ร๊อ รอ สองอาทิตย์ค่ะ...
เอกสารก็ไม่มาค่ะ... แต่มีแจ้งยอดจากธนาคารค่ะว่ายอดการใช้บัตรเครดิตเดือนนี้ของเราเท่าไหร่ ซึ่งตอนนั้นปรี๊ดแตกเลยค่ะพอเข้าไปเช็คว่าประกันชีวิต A ได้หักเบี้ยประกันเราไปเรียบร้อยแล้วเป็นเงินจำนวน 3690 บาท
พอเห็นยอดเราโทรไปหาธนาคาร C ทันทีค่ะ
แต่ธนาคาร C ปัดให้เราติดต่อไปที่ประกันชีวิต A ค่ะ เราก็ไม่รีรอ โทรไปเลยค่ะ
คำตอบที่ได้จากประกันชีวิต A คือ กรมธรรม์ของคุณอนุมัติแล้วเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2557 ค่ะ ซึ่งก็คือเมื่อวานนี้
เราเลยขอยกเลิกค่ะ เราอธิบายไปว่าเราไม่ได้จะสมัคร แค่บอกว่าเราจะขอเอกสาร
เจ้าหน้าที่คอลเซ็นเตอร์บอกว่า ยกเลิกได้ค่ะ แต่เราต้องส่งเอกสารสำเนาบัตรประชาชน เซ็นต์ระบุยกเลิกกรมธรรม์ พร้อมถามเลขกรมธรรม์เรา ซึ่ง... ณ ตอนนั้นเราก็ยังไม่เคยได้เอกสารใดๆ จากทาง A เลย แล้วตรูจะไปรู้เลขกรมธรรม์ได้ไง
แล้วก็คือของขึ้นค่ะ เหวี่ยงไปสามตลบว่า "ไม่ค่ะ ต้องการจะยกเลิกเดี๋ยวนี้ มีตอนสมัครแค่คำว่า "ตกลง" คำเดียวพวกคุณยังดำเนินการให้เสร็จสรรพได้เลย ทีตอนนัโทรมาเรียกร้องขอให้ยกเลิก ทำไมแค่ลมปากว่า "ขอยกเลิก ถึงทำให้เลยไม่ได้คะ"
พนักงานคนนั้นก็เสียงแข็งมานิดนึงแล้วบอกว่าจะติดต่อให้เซลที่รับเรื่องเราติดต่อกลับมาค่ะ เราเลยถามชื่อเซลไว้ ให้เพื่อนช่วยจำด้วย แล้วก็รอค่ะ
ระหว่างรอก็โทรไปที่ธนาคาร C อีกรอบเพื่อนจะขอระงับยอดเงินที่ A ได้ตัดไป... แต่ทางธนาคารตอบมาว่าธนาคารอนุมัติไปตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2557 ไม่สามารถยกเลิกได้ และที่ธนาคารตัดยอดเงินไปเพราะเป็รสัญญาระหว่างธนาคาร C กับประกันชีวิต A ค่ะ
ปรี๊ดแตกอีกรอบค่ะ เลยดิ้นรนหาข้อมูลสารพัดเลยค่ะ
ร้อนใจมาก ปรึกษาทุกคนที่ทำได้ พี่ที่ทำงานแสนดีมาก ก็ช่วยหาข้อมูล ติดต่อเพื่อนที่ทำงาน A ให้
เพื่อนของพี่ที่ทำงานที่ทำอยู่ A อธิบายให้ฟังว่า เซลที่เราเจอเป็นพวกเทเลเซล ถ้าเจอคราวหน้าอย่าไปตกลง อยากซื้อประกัน ติดต่อพวกขายประกันตรงดีกว่า เพราะเทเลเซลเวลามีปัญหาอะไรจะติดต่อยาก ทำการช้า ถ้าเซลตรงจะรีบมาดูแลไดทันทีค่ะ (ความรู้ใหม่อีกประการ คาดว่าหลายคนก็คงไม่รู้ หรือเราโง่เองก็ไม่รู้คนเดียวก็ไม่รู้ ขอแชร์ความรู้ใหม่ของตัวเราค่ะ!)
พี่คนนี้ก็แสนดีมาก บอกจะยื่นเรื่องให้ ถ้าเราได้กรมธรรม์มาส่งที่บ้านให้เอาใบปะหน้าส่งให้เขา เขาจะรีบดำเนินการให้
ถึงตอนนี้เราน้ำตาจะไหล ในความโชคร้ายมันก็ทำให้เราเจอคนดีๆ ที่ยื่นมือมาช่วยเหลือเราอ่ะ
ระหว่างนั้นเราก็โพสเฟสบุ๊คเตือนผองเพื่อนไปว่าอย่าไปรับสายนะพวกขายประกัน วางสายทิ้งเลย เพื่อนหลายๆ คนก็มาถาม มาช่วยแนะนำ หลายๆ คนทำงาน Aนะ ก็มาช่วยว่าจะดำเนินเรื่องให้ ให้เราเตรียมเอกสารอะไรบ้าง
คือจริงๆ แล้วมันยกเลิกได้ค่ะ ถ้าเราไม่ชอบหลังจากได้กรมธรรม์ ให้ส่งเอกสารไปยกเลิกได้ภายใน 30 วัน จะได้เงินคืน แต่เรากำลังปรี๊ดแตก ว่าเราไม่ได้ต้องการจะสมัคร แล้วสมัครให้ทำไม แล้วทำไมเราจะต้องเดินเรื่องยุ่งยากเพื่อยกเลิกมัน และรอไม่รู้จะได้เงินคืนเมื่อไหร่ด้วย ขอโทษนะคะ เงิน 3690 บาทนี่เราสามารถใช้กินได้ทั้งเดือนสำหรับเดือนที่ช้อปปิ้งหนักๆ จนไม่มีอันจะกินเลยนะคะ!! ทำไมบริษัทประกันพวกนี้ต้องทำร้ายมนุษย์เงินเดือนตาดำๆ แบบนี้ด้วย!
เราโทรไปที่ A อีกรอบเพื่อขอเลขกรมธรรม์ ค่ะ แล้วก็เนียนๆ ขอชื่อ นามสกุล พร้อมเบอร์ติดต่อเซล เพื่อส่งต่อให้เพื่อนเราไปสืบและจัดการให้ ซึ่งรอบนี้คอลเซ็นเตอร์ไม่ยอมบอกค่ะ นางบอกว่า "พนักงานขายทางโทรศัพท์จะไม่มีข้อมูลชื่อขึ้นที่หน้าจอค่ะ"
เราก็ปรี๊ดขึ้นรอบที่ล้านของวันค่ะ "หรอคะ แต่เมื่อกี้โทรไปรอบหนึ่งแล้ว เขาก็แจ้งชื่อมานะคะ ชื่อนี้ๆๆ รบกวนขอเบอร์ติดต่อได้มั๊ยคะ อยากจะสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม"
คราวนี้คอลเซ็นเตอร์ไม่ยอมบอกอะไรเลยค่ะ นางได้แต่บอกว่า ส่งเมล์แจ้งไปให้พนักงานคนนั้นติดต่อกลับแล้ว
จนป่านนี้จะสี่ทุ่มแล้ว แจ้งให้ติดต่อกลับไป 2 รอบแล้วก็ไม่ติดต่อกลับค่ะ
ที่เรามาตั้งกระทู้นี้ก็เพื่ออยากจะแชร์ ให้คนที่ยังใสซื่อไม่รู้ประสีประสาแบบเราทราบว่าแค่คำว่า "ตกลง" คำเดียวสามารถพาความชิบlost มาให้เราได้ ควรระวัง ทางที่ดีประกันโทรมา วางสายทิ้ง หรือเคสแย่หน่อยถ้าคุณอารมณ์เสีย ใช้เป็นที่ระบายอารมณ์ก่อนวางค่ะ! (ตอนนี้ไม่อยากโลกสวยแล้วเพราะไม่รู้ว่าคนโดนหลอกแบบนี้ไปกี่รายแล้ว!)
เราแค่อยากถามคำถามกับใครก็ได้ที่จะรับฟังว่า... เราจะต้องทนกับเรื่องแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนคะ? กับการที่พอเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังแล้วได้คำตอบว่า "อ๋อ ประกันพวกนี้มันอย่างนี้แหละ"
มันไม่โอเคค่ะ! ไม่ใช่เรื่องปกติ นี่มันซื้อขายประกัน ไม่ได้เดินไปเลือกโครงไก่ที่ตลาดแล้วบอกแม่ค้าว่า ตกลงค่ะ เอาตัวนั้น
และธนาคารตัวดีค่ะที่ขายเบอร์ขายข้อมูลให้บริษทัประกัน ตอนสมัครบัตรเครดิตจะมีส่วนที่ให้เซ็นยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลกับบริษัทประกัน... ตอนนั้นเราเซ็นเพราะคิดว่าถ้าประกันโทรมาคงปฏิเสธไปล่ะ (ตอนนั้นความโลภบังตา ขอเอาโปรโมชั่นก่อน)... ไม่คิดว่าจะมาเจอเคสแบบนี้ค่ะ
ตอนนี้เรารอเอกสารกรมธรรม์มาส่งที่บ้าน และได้ร้องไปทาง สคบ และ คปภ เรียบร้อยแล้ว และหวังว่ามันจะต้องมีสักวิธีทางที่จะกวาดล้างโจรพวกนี้ไปให้สิ้นซากสักวันหนึ่ง ไม่แน่คนคนนั้นอาจจะมาจากมาเวลก็เป็นได้
ขอบคุณที่อ่านจนจบ และขอบคุณถ้าคุณแชร์เรื่องนี้ไป เพื่อเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆค่ะ
จะต้องทนกับการยัดเยียดการขายประกันไปอีกนานแค่ไหนคะ?!
เราไม่คิดว่าจะมาตั้งกระทู้เกี่ยวกับปัญหาและกลโกงอีกหลังจากที่กระทู้ก่อนเพื่อนเราฝากตั้งกระทู้เตือนภัยแท็กซี่
รอบนี้เราเป็นฝ่ายโดนเองกับตัวค่ะ
ปัญหาที่เราเจอนี้ คาดว่าหลายคนคงเคยเจอกับตัว หรือคนใกล้ตัวกันมาไม่มากก็น้อยจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
มันคือปัญหาจากการขายประกันทางโทรศัพท์ค่ะ
เราเป็นคนไม่สนใจประกันชีวิตหรอกค่ะ แม้จะมีดูๆ ไว้บ้างแต่ไม่ใส่ใจ เพราะเรามีประกันสังคม มีประกันของบริษัท และสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลกับทางบริษัทได้อยู่แล้ว
แต่เราชอบนิสัยเสียค่ะ คือเวลามีประกันโทรมาขายประกัน ถ้าว่าง และอารมณ์ไม่เสียนัก เราจะฟังค่ะ ฟังแล้วก็ปฏิเสธตอนท้ายสุด บางทีก็อยากรู้วิธีการพูดของเขาค่ะ เผื่อเอามาปรับใช้กับการทำงานได้บ้าง
แต่เหตุการณ์ที่เราพบเจอทำให้ความคิดเราเปลี่ยน ถ้าคราวหน้ามีประกันชีวิตโทรมา เราจะวางสายทิ้งทันทีโดยไม่เอ่ยคำใดค่ะ
เหตุการณ์มันเริ่มเมื่อเราสมัครบัตรเครดิตกับธนาคารหนึ่ง ชื่อย่อ C ก็ไม่ได้ตั้งใจจะสมัครหรอกค่ะ แต่พี่ทำทำงานชวนสมัครเอาโปรโมชั่น เราเองก็มีบัตรเครดิตอยู่แล้ว และธนาคารที่เราใช้ประจำก็ไม่มีปัญหา ติดต่อเรื่องสะดวก บริการดี โปรโมชั่นเยอะ
ซึ่งตั้งใจไว้ว่าสมัครเอาโปรโมชั่น ได้โปรโมชั่นแล้วทิ้งไว้ 6 เดือนจะไปปิด เพราะช่วงที่ติดต่อเรื่องโปรโมชั่น บอกเลยค่ะว่าธนาคารนี้ไม่น่าประทับใจเลย ติดต่อยาก และดูแล้วระบบของธนาคารไม่ค่อยโอเคค่ะ (ที่สำคัญ หาที่จ่ายบัตรเครดิตยากมากๆ)
พอเราได้โปรโมชั่นตามต้องการเราก็ไม่ได้ยุ่งอะไรกับบัตรอีกค่ะ เพราะคิดว่าจะไปปิดอยู่แล้ว แต่เผอิญว่ามีเซลขายประกันจากบริษัทประกันชื่อย่อ A โทรมาเสนอขายประกัน โดยแจ้งว่าเป็นแพกเกจร่วมมือระหว่างธนาคาร C กับบริษัทประกัน A มอบสิทธิพิเศษให้กับผู้ถือบัตรโดยได้เบี้ยประกันตามยอดการใช้จ่ายบัตร (เราใช้บัตรประเภท Cash back อยู่แล้วค่ะ เลยไม่ได้เอะใจตรงนี้) เราก็ฟังๆ ในขณะที่ทำงานยุ่งๆ ยอมรับสารภาพเลยว่าตรงนี้เราผิดที่นิสัยเสียชอบทำอะไรพร้อมๆ กัน ทำให้ไม่มีสติที่จะรับสารได้ชัดเจน
เซลคนนี้เสนอแพกเกจประกันกับเรา เราที่เห็นว่าเราใช้บัตร Cash back แล้วได้เบี้ยประกันตามการใช้บัตรก็ว่าเออน่าศึกษา เลยอยากได้เอกสารมาศึกษาละเอียดๆ เราเป็นคนเข้าใจผ่านการอ่านมากกว่าการฟังค่ะ
เซลผู้นั้นก็แจ้งว่าได้จะส่งเอกสารรายละเอียดมาให้ ถ้าไม่สนใจยังไงยกเลิกได้ แต่ขอให้พูดคำว่า "ตกลง"
เราก็เอะใจชะงักเล็กน้อย แล้วถามย้ำไปว่า "คือถ้าได้รายละเอียดมาแล้วไม่โอเค ไม่เซ็นต์ ไม่ทำได้ใช่มั๊ยคะ"
เซลผู้นั้นบอกได้ค่ะถ้าอ่ายรายละเอียดแล้วไม่โอเคยกเลิกได้
เราเลยตอบตกลงไป
พอเราเล่าถึงตรงนี้ ทุกคนตอบเหมือนกันหมดเลยค่ะว่า
"นั่นแหละ เซลพวกนี้ต้องการแค่คำว่า ตกลง หมายถึงยินยอมสมัคร"
เราไม่รู้ บอกเลยไม่รู้ว่ามีงี้ด้วย
จากที่ทำงานเกี่ยวกับการซื้อๆ ขายๆ การค้าจะสมบูรณ์ได้คือต้องมีใบสั่งซื้อ หรือเอกสารที่ลงลายลักษณ์อักษรชัดเจนว่ายินยอมซื้อขายกันค่ะ... และจากการทำงานเกี่ยวกับสัญญา การจะทำสัญญาที่สมบูรณ์จะต้องมีการเซ็นต์ยินยอมทุกฝ่ายอย่างสมบูรณ์แบบค่ะ
ซึ่ง แน่นอน ว่าไม่รู้เลยว่าแค่คำพูดผ่านสายโทรศัพท์ว่า "ตกลง" มันจะสามารถเป็นการตกลงซื้อขายประกันชีวิตที่มันอาจจะสะสมยอดเป็นหลักหมื่นหลักแสนได้ด้วย โอ้วววว เรานี่ช่างอ่อนต่อโลกใบนี้เหลือเกิน!!
ไอ้เราพอตอนที่เขาบอกจะส่งเอกสารมาให้ก็รอ ร๊อ รอ สองอาทิตย์ค่ะ...
เอกสารก็ไม่มาค่ะ... แต่มีแจ้งยอดจากธนาคารค่ะว่ายอดการใช้บัตรเครดิตเดือนนี้ของเราเท่าไหร่ ซึ่งตอนนั้นปรี๊ดแตกเลยค่ะพอเข้าไปเช็คว่าประกันชีวิต A ได้หักเบี้ยประกันเราไปเรียบร้อยแล้วเป็นเงินจำนวน 3690 บาท
พอเห็นยอดเราโทรไปหาธนาคาร C ทันทีค่ะ
แต่ธนาคาร C ปัดให้เราติดต่อไปที่ประกันชีวิต A ค่ะ เราก็ไม่รีรอ โทรไปเลยค่ะ
คำตอบที่ได้จากประกันชีวิต A คือ กรมธรรม์ของคุณอนุมัติแล้วเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2557 ค่ะ ซึ่งก็คือเมื่อวานนี้
เราเลยขอยกเลิกค่ะ เราอธิบายไปว่าเราไม่ได้จะสมัคร แค่บอกว่าเราจะขอเอกสาร
เจ้าหน้าที่คอลเซ็นเตอร์บอกว่า ยกเลิกได้ค่ะ แต่เราต้องส่งเอกสารสำเนาบัตรประชาชน เซ็นต์ระบุยกเลิกกรมธรรม์ พร้อมถามเลขกรมธรรม์เรา ซึ่ง... ณ ตอนนั้นเราก็ยังไม่เคยได้เอกสารใดๆ จากทาง A เลย แล้วตรูจะไปรู้เลขกรมธรรม์ได้ไง
แล้วก็คือของขึ้นค่ะ เหวี่ยงไปสามตลบว่า "ไม่ค่ะ ต้องการจะยกเลิกเดี๋ยวนี้ มีตอนสมัครแค่คำว่า "ตกลง" คำเดียวพวกคุณยังดำเนินการให้เสร็จสรรพได้เลย ทีตอนนัโทรมาเรียกร้องขอให้ยกเลิก ทำไมแค่ลมปากว่า "ขอยกเลิก ถึงทำให้เลยไม่ได้คะ"
พนักงานคนนั้นก็เสียงแข็งมานิดนึงแล้วบอกว่าจะติดต่อให้เซลที่รับเรื่องเราติดต่อกลับมาค่ะ เราเลยถามชื่อเซลไว้ ให้เพื่อนช่วยจำด้วย แล้วก็รอค่ะ
ระหว่างรอก็โทรไปที่ธนาคาร C อีกรอบเพื่อนจะขอระงับยอดเงินที่ A ได้ตัดไป... แต่ทางธนาคารตอบมาว่าธนาคารอนุมัติไปตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2557 ไม่สามารถยกเลิกได้ และที่ธนาคารตัดยอดเงินไปเพราะเป็รสัญญาระหว่างธนาคาร C กับประกันชีวิต A ค่ะ
ปรี๊ดแตกอีกรอบค่ะ เลยดิ้นรนหาข้อมูลสารพัดเลยค่ะ
ร้อนใจมาก ปรึกษาทุกคนที่ทำได้ พี่ที่ทำงานแสนดีมาก ก็ช่วยหาข้อมูล ติดต่อเพื่อนที่ทำงาน A ให้
เพื่อนของพี่ที่ทำงานที่ทำอยู่ A อธิบายให้ฟังว่า เซลที่เราเจอเป็นพวกเทเลเซล ถ้าเจอคราวหน้าอย่าไปตกลง อยากซื้อประกัน ติดต่อพวกขายประกันตรงดีกว่า เพราะเทเลเซลเวลามีปัญหาอะไรจะติดต่อยาก ทำการช้า ถ้าเซลตรงจะรีบมาดูแลไดทันทีค่ะ (ความรู้ใหม่อีกประการ คาดว่าหลายคนก็คงไม่รู้ หรือเราโง่เองก็ไม่รู้คนเดียวก็ไม่รู้ ขอแชร์ความรู้ใหม่ของตัวเราค่ะ!)
พี่คนนี้ก็แสนดีมาก บอกจะยื่นเรื่องให้ ถ้าเราได้กรมธรรม์มาส่งที่บ้านให้เอาใบปะหน้าส่งให้เขา เขาจะรีบดำเนินการให้
ถึงตอนนี้เราน้ำตาจะไหล ในความโชคร้ายมันก็ทำให้เราเจอคนดีๆ ที่ยื่นมือมาช่วยเหลือเราอ่ะ
ระหว่างนั้นเราก็โพสเฟสบุ๊คเตือนผองเพื่อนไปว่าอย่าไปรับสายนะพวกขายประกัน วางสายทิ้งเลย เพื่อนหลายๆ คนก็มาถาม มาช่วยแนะนำ หลายๆ คนทำงาน Aนะ ก็มาช่วยว่าจะดำเนินเรื่องให้ ให้เราเตรียมเอกสารอะไรบ้าง
คือจริงๆ แล้วมันยกเลิกได้ค่ะ ถ้าเราไม่ชอบหลังจากได้กรมธรรม์ ให้ส่งเอกสารไปยกเลิกได้ภายใน 30 วัน จะได้เงินคืน แต่เรากำลังปรี๊ดแตก ว่าเราไม่ได้ต้องการจะสมัคร แล้วสมัครให้ทำไม แล้วทำไมเราจะต้องเดินเรื่องยุ่งยากเพื่อยกเลิกมัน และรอไม่รู้จะได้เงินคืนเมื่อไหร่ด้วย ขอโทษนะคะ เงิน 3690 บาทนี่เราสามารถใช้กินได้ทั้งเดือนสำหรับเดือนที่ช้อปปิ้งหนักๆ จนไม่มีอันจะกินเลยนะคะ!! ทำไมบริษัทประกันพวกนี้ต้องทำร้ายมนุษย์เงินเดือนตาดำๆ แบบนี้ด้วย!
เราโทรไปที่ A อีกรอบเพื่อขอเลขกรมธรรม์ ค่ะ แล้วก็เนียนๆ ขอชื่อ นามสกุล พร้อมเบอร์ติดต่อเซล เพื่อส่งต่อให้เพื่อนเราไปสืบและจัดการให้ ซึ่งรอบนี้คอลเซ็นเตอร์ไม่ยอมบอกค่ะ นางบอกว่า "พนักงานขายทางโทรศัพท์จะไม่มีข้อมูลชื่อขึ้นที่หน้าจอค่ะ"
เราก็ปรี๊ดขึ้นรอบที่ล้านของวันค่ะ "หรอคะ แต่เมื่อกี้โทรไปรอบหนึ่งแล้ว เขาก็แจ้งชื่อมานะคะ ชื่อนี้ๆๆ รบกวนขอเบอร์ติดต่อได้มั๊ยคะ อยากจะสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม"
คราวนี้คอลเซ็นเตอร์ไม่ยอมบอกอะไรเลยค่ะ นางได้แต่บอกว่า ส่งเมล์แจ้งไปให้พนักงานคนนั้นติดต่อกลับแล้ว
จนป่านนี้จะสี่ทุ่มแล้ว แจ้งให้ติดต่อกลับไป 2 รอบแล้วก็ไม่ติดต่อกลับค่ะ
ที่เรามาตั้งกระทู้นี้ก็เพื่ออยากจะแชร์ ให้คนที่ยังใสซื่อไม่รู้ประสีประสาแบบเราทราบว่าแค่คำว่า "ตกลง" คำเดียวสามารถพาความชิบlost มาให้เราได้ ควรระวัง ทางที่ดีประกันโทรมา วางสายทิ้ง หรือเคสแย่หน่อยถ้าคุณอารมณ์เสีย ใช้เป็นที่ระบายอารมณ์ก่อนวางค่ะ! (ตอนนี้ไม่อยากโลกสวยแล้วเพราะไม่รู้ว่าคนโดนหลอกแบบนี้ไปกี่รายแล้ว!)
เราแค่อยากถามคำถามกับใครก็ได้ที่จะรับฟังว่า... เราจะต้องทนกับเรื่องแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนคะ? กับการที่พอเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังแล้วได้คำตอบว่า "อ๋อ ประกันพวกนี้มันอย่างนี้แหละ"
มันไม่โอเคค่ะ! ไม่ใช่เรื่องปกติ นี่มันซื้อขายประกัน ไม่ได้เดินไปเลือกโครงไก่ที่ตลาดแล้วบอกแม่ค้าว่า ตกลงค่ะ เอาตัวนั้น
และธนาคารตัวดีค่ะที่ขายเบอร์ขายข้อมูลให้บริษทัประกัน ตอนสมัครบัตรเครดิตจะมีส่วนที่ให้เซ็นยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลกับบริษัทประกัน... ตอนนั้นเราเซ็นเพราะคิดว่าถ้าประกันโทรมาคงปฏิเสธไปล่ะ (ตอนนั้นความโลภบังตา ขอเอาโปรโมชั่นก่อน)... ไม่คิดว่าจะมาเจอเคสแบบนี้ค่ะ
ตอนนี้เรารอเอกสารกรมธรรม์มาส่งที่บ้าน และได้ร้องไปทาง สคบ และ คปภ เรียบร้อยแล้ว และหวังว่ามันจะต้องมีสักวิธีทางที่จะกวาดล้างโจรพวกนี้ไปให้สิ้นซากสักวันหนึ่ง ไม่แน่คนคนนั้นอาจจะมาจากมาเวลก็เป็นได้
ขอบคุณที่อ่านจนจบ และขอบคุณถ้าคุณแชร์เรื่องนี้ไป เพื่อเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆค่ะ