เรื่องคือ ผมเป็นรถคู่กรณีของบ.ประกันแห่งหนึ่งครับ ผมเป็นฝ่ายถูกชน รถผมเองไม่มีประกัน เป็นเคสอุบัติเหตุหนักครับ
รายละเอียดคือ เกิดเหตุกลางเดือนสิงหาคม ทางเซอร์เวย์แนะนำให้ลากเข้าอู่ในเครือประกัน โดยตอนที่ได้รับใบเคลมนั้น
ผมไม่ได้เซนต์ใบยินยอมไม่เรียกร้องค่าเสียหาย ค่าเสียโอกาสใดๆ ให้กับทางอู่ เพราะผมประเมินแล้วว่าระยะเวลาในการซ่อม
ไม่ต่ำกว่า 1 เดือนแน่ๆ
ช่วงสองอาทิตย์ ผมได้ติดตามความคืบหน้า เห็นว่าทางอู่เริ่มจัดหาอะไหล่มาตัดต่อ มาลองประกอบในส่วนที่เสียหายตามสเต็ปงานปกติ
แต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ปรากฏว่างานซ่อมไม่คืบหน้า ทางอู่แจ้งผมว่าตอนนี้ประกันสั่งเบรกงานไว้ก่อน เพราะผมไม่ได้เซนต์ใบยินยอมใดๆ
ผมเลยได้ติดต่อไปทางประกัน ประกันแจ้งว่า รถผมเป็นเคสหนักก็จริง แต่ทาง บ.ประกันไม่มีนโยบายในการจ่ายค่าชดเชยค่าเสียโอกาส
ให้กับลูกค้าหรือคู่กรณี แต่อาจจะพิจารณาจ่ายบางส่วนเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน ซึ่งจากที่ผมได้ตามศึกษาจากกระทู้ก่อนหน้านี้
คือ สามารถเรียกร้องค่าเสียโอกาสไม่ต่ำกว่า วันละ 300 (ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด) แต่ทางประกันแจ้งผมว่าผมอาจจะได้รับค่าชดเชยส่วนนี้
แค่หลักพันเท่านั้น และให้ข้อเสนอผมมี 2 กรณีคือ
1. ดำเนินการตามขั้นตอนดังเดิม คือเมื่อรถเสร็จสมบูรณ์ ให้ผมเตรียมเอกสาร ข้อมูลต่างๆ ตามที่บริษัทกำหนดแล้วไปยื่นเพื่อเจรจา
การชดเชยค่าเสียโอกาส ซึ่งผมกลัวว่าจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ (ค่าแท็กซี่ไปทำงาน เฉลี่ยวันละ 400 บาท และผมทำงาน จ.-ส.)
ถ้าการเจราจาจบลงแค่การชดเชยขั้นต่ำ 300 บาท/วัน หรือน้อยกว่านั้น ที่สำคัญคือผมไม่มีเวลามากพอที่จะดำเนินเรื่อง จนถึง คปภ.
เพราะเท่าที่ศึกษามา บางท่านใช้เวลาหลายเดือนเลยทีเดียว
2. ประกันเสนอให้ผมตัดจบเลย คือสรุปยอดแล้วจ่ายค่าซ่อมทั้งหมดให้ผม + ค่าเสียเวลา ค่าเสียโอกาสต่างๆ (ไม่ทราบยอดใดๆเลย)
แล้วให้ผมหาอู่ใหม่ซ่อมเอาเอง ประกันจะไม่รับรองคุณภาพในงานซ่อมใดๆทั้งสิ้น ซึ่งค่าเสียเวลา ค่าเสียโอกาสดังกล่าว จะได้มากกว่า
ในกรณีแรก (ไม่ทราบอีก ว่ามากน้อยกว่ากันแค่ไหน)
ถ้าสมมุติประกันให้ยอดซ่อมทั้งหมด 200,000 บาท ผมเองก็กลัวว่าผมจะหาอู่ที่ซ่อมในราคา 200,000 บาทไม่ได้ ส่วนต่างที่เหลือ
ก็จะกลายเป็นนำค่าเสียโอกาสมาเติมลงไปอีก ก็จะกลายเป็นเสียเปรียบมากกว่าในกรณีแรก
รบกวนแนะนำหน่อยครับ ว่าผมควรดำเนินการยังไงต่อไปดี ตัดสินใจไม่ถูกครับ ผมไม่ได้โลภที่จะอยากได้ค่าเสียโอกาสใดๆ ครับ
แต่เพราะความเป็นจริง ผมต้องจ่ายค่าแท็กซี่ วันละ เกือบ 400 บาท จนถึงวันนี้ เดือนกว่าๆ เป็นเงินไม่น้อยเลยครับสำหรับผม
ค่าเสื่อมของตัวรถผมก็ไม่ได้ซีเรียส ไม่สนใจ เพราะรถผมจะ 15 ปีแล้ว
รบกวนด้วยนะครับ ถ้าข้อมูลไม่พอ อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม เดี๋ยวผมหลังไมค์ให้นะครับ
ขอคำปรึกษา เรื่องเรียกร้องค่าเสียโอกาสกับประกันคู่กรณีครับ
รายละเอียดคือ เกิดเหตุกลางเดือนสิงหาคม ทางเซอร์เวย์แนะนำให้ลากเข้าอู่ในเครือประกัน โดยตอนที่ได้รับใบเคลมนั้น
ผมไม่ได้เซนต์ใบยินยอมไม่เรียกร้องค่าเสียหาย ค่าเสียโอกาสใดๆ ให้กับทางอู่ เพราะผมประเมินแล้วว่าระยะเวลาในการซ่อม
ไม่ต่ำกว่า 1 เดือนแน่ๆ
ช่วงสองอาทิตย์ ผมได้ติดตามความคืบหน้า เห็นว่าทางอู่เริ่มจัดหาอะไหล่มาตัดต่อ มาลองประกอบในส่วนที่เสียหายตามสเต็ปงานปกติ
แต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ปรากฏว่างานซ่อมไม่คืบหน้า ทางอู่แจ้งผมว่าตอนนี้ประกันสั่งเบรกงานไว้ก่อน เพราะผมไม่ได้เซนต์ใบยินยอมใดๆ
ผมเลยได้ติดต่อไปทางประกัน ประกันแจ้งว่า รถผมเป็นเคสหนักก็จริง แต่ทาง บ.ประกันไม่มีนโยบายในการจ่ายค่าชดเชยค่าเสียโอกาส
ให้กับลูกค้าหรือคู่กรณี แต่อาจจะพิจารณาจ่ายบางส่วนเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน ซึ่งจากที่ผมได้ตามศึกษาจากกระทู้ก่อนหน้านี้
คือ สามารถเรียกร้องค่าเสียโอกาสไม่ต่ำกว่า วันละ 300 (ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด) แต่ทางประกันแจ้งผมว่าผมอาจจะได้รับค่าชดเชยส่วนนี้
แค่หลักพันเท่านั้น และให้ข้อเสนอผมมี 2 กรณีคือ
1. ดำเนินการตามขั้นตอนดังเดิม คือเมื่อรถเสร็จสมบูรณ์ ให้ผมเตรียมเอกสาร ข้อมูลต่างๆ ตามที่บริษัทกำหนดแล้วไปยื่นเพื่อเจรจา
การชดเชยค่าเสียโอกาส ซึ่งผมกลัวว่าจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ (ค่าแท็กซี่ไปทำงาน เฉลี่ยวันละ 400 บาท และผมทำงาน จ.-ส.)
ถ้าการเจราจาจบลงแค่การชดเชยขั้นต่ำ 300 บาท/วัน หรือน้อยกว่านั้น ที่สำคัญคือผมไม่มีเวลามากพอที่จะดำเนินเรื่อง จนถึง คปภ.
เพราะเท่าที่ศึกษามา บางท่านใช้เวลาหลายเดือนเลยทีเดียว
2. ประกันเสนอให้ผมตัดจบเลย คือสรุปยอดแล้วจ่ายค่าซ่อมทั้งหมดให้ผม + ค่าเสียเวลา ค่าเสียโอกาสต่างๆ (ไม่ทราบยอดใดๆเลย)
แล้วให้ผมหาอู่ใหม่ซ่อมเอาเอง ประกันจะไม่รับรองคุณภาพในงานซ่อมใดๆทั้งสิ้น ซึ่งค่าเสียเวลา ค่าเสียโอกาสดังกล่าว จะได้มากกว่า
ในกรณีแรก (ไม่ทราบอีก ว่ามากน้อยกว่ากันแค่ไหน)
ถ้าสมมุติประกันให้ยอดซ่อมทั้งหมด 200,000 บาท ผมเองก็กลัวว่าผมจะหาอู่ที่ซ่อมในราคา 200,000 บาทไม่ได้ ส่วนต่างที่เหลือ
ก็จะกลายเป็นนำค่าเสียโอกาสมาเติมลงไปอีก ก็จะกลายเป็นเสียเปรียบมากกว่าในกรณีแรก
รบกวนแนะนำหน่อยครับ ว่าผมควรดำเนินการยังไงต่อไปดี ตัดสินใจไม่ถูกครับ ผมไม่ได้โลภที่จะอยากได้ค่าเสียโอกาสใดๆ ครับ
แต่เพราะความเป็นจริง ผมต้องจ่ายค่าแท็กซี่ วันละ เกือบ 400 บาท จนถึงวันนี้ เดือนกว่าๆ เป็นเงินไม่น้อยเลยครับสำหรับผม
ค่าเสื่อมของตัวรถผมก็ไม่ได้ซีเรียส ไม่สนใจ เพราะรถผมจะ 15 ปีแล้ว
รบกวนด้วยนะครับ ถ้าข้อมูลไม่พอ อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม เดี๋ยวผมหลังไมค์ให้นะครับ