สตีเวน สปีลเบิร์ก ผู้กำกับหนังชื่อก้องโลกเล่าว่า เมื่อยังเป็นเด็กอายุ 13 ปี เขาถูกอันธพาลวัยรุ่นที่โรงเรียนแกล้งเป็นประจำ
บางครั้งก็ปาระเบิดกลิ่นเข้าใส่เขา ชีวิตเขาเหมือนตกนรก
แต่แล้ววันหนึ่งเขาได้เดินเข้าไปหาอันธพาลคนนั้นและบอกว่า “ฉันกำลังถ่ายทำวีดีโอเรื่องตามล่านาซี เธออยากเล่นบทพระเอกไหม”
อันธพาลหัวเราะ แต่ 2 – 3 วันหลังจากนั้นก็กลับมาและตอบรับอย่างไม่เต็มใจ
หลังจากถ่ายทำเสร็จ ปรากฎว่าอันธพาลคนนั้นเลิกกลั่นแกล้งเขา และกลายมาเป็นเพื่อนสนิทของเขาในเวลาต่อมา
คำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” เป็นความจริงในทุกยุคทุกสมัย
เมตตาหรือความปรารถนาดีนั้นไม่ได้มีไว้ใช้สำหรับคนที่เรารักเท่านั้น
หากยังควรใช้กับคู่กรณีหรือผู้ที่ไม่ประสงค์ดีกับเราด้วย แม้อยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมก็ตาม
นักธุรกิจท่านหนึ่งได้เล่าถึงประสบการณ์ครั้งไปเรียนต่างประเทศว่า
มีคราวหนึ่งเธอถูคนผิวดำล็อคคอและเอามีดจี้ขณะรอสัญญาณไฟเขียวบนเกาะหน้ามหาวิทยาลัยในเมืองบอสตัน
โจรผิวดำสั่งให้เธอยื่นกระเป๋าเงินให้ แต่เมื่อพบว่าในนั้นมีเงินแค่ 20 ดอลลาร์ ก็โวยวาย
เขาสั่งให้เธอถอดนาฬิกา แหวน และกำไล เธอก็ไม่มีให้สักอย่าง
เขาถามถามเธอว่า “เป็นคนเอเชียมาเรียนที่นี่ได้ก็ต้องรวย”
เธอตอบว่า “สำหรับฉันน่ะไม่ใช่ เพราะได้ทุนมา”
แล้วโจรก็ย้อนกลับมาถามถึงเงิน 20 ดอลลาร์ว่าจะเอาไปทำอะไร
เธอตอบว่า เอาไปซื้อไข่ “เอาไข่ไปทำอะไร ?”
เขาถาม “เอาไปต้มกินได้ทั้งอาทิตย์ ”
เธอตอบตามความจริงเพราะตอนนั้นมีปัญหาการเงิน
ระหว่างที่ถามตอบกันอยู่นั้น ยามหน้ามหาวิทยาลัยเห็นผิดสังเกต จึงยกหูโทรศัพท์เรียกตำรวจ
เธอเห็นเช่นนั้น ก็โบกมือว่า “ไม่ต้อง ๆ เราเป็นเพื่อนกัน”
โจรได้ยินเช่นนั้นก็งง ถามว่า “คุณรู้จักกับผมตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ”
“ก็เมื่อกี้ไง” เธอตอบ
โจรเปลี่ยนท่าทีไปทันที สุดท้ายแทนที่เขาจะเอาเงินของเธอไป กลับพาเธอไปซื้อไข่ และซื้ออาหารเต็ม 3 ถุงใหญ่ พร้อมทั้งหิ้วมาส่งถึงหน้ามหาวิทยาลัย
เท่านั้นไม่พอ ยังแถมเงินให้อีก 50 ดอลลาร์
เรื่องนี้ยังไม่จบเพราะวันรุ่งขึ้นเธอนำเงิน 50 ดอลลาร์นั้นไปซื้อเครื่องปรุงอาหารไทย แล้วนั่งรถไปบ้านเขาเพื่อทำต้มยำกุ้งให้กินกันทั้งครอบครัว
นับแต่นั้นทั้งสองฝ่ายก็ไปมาหาสู่กัน เธอเล่าว่าทุกวันนี้หากมีธุระไปบอสตันก็จะไปแวะเยี่ยมครอบครัวนี้ทุกครั้ง
หญิงไทยผู้นี้ใช้ความดีเอาชนะใจโจรจนเปลี่ยนมาเป็นมิตรกับเธอได้
โจรนั้นมีความดีอยู่ในตัว แต่ความดีนั้นถูกเก็บงำเอาไว้
จนเมื่อเธอเป็นฝ่ายแสดงความปรารถนาดีก่อน ความดีของเขาจึงถูกเรียกร้องให้แสดงตัวออกมา และสานสัมพันธภาพของทั้งสองให้แน่นแฟ้น
ทั้งสองกรณีที่กล่าวมาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า วิธีกำจัดศัตรูที่ดีที่สุด ก็คือการเปลี่ยนเขามาเป็นมิตร
ความรุนแรงนั้นไม่สามารถกำจัดศัตรูได้อย่างยั่งยืน
เมตตาต่างหากที่กำจัดศัตรุได้อย่างชะงัด เมตตานั้นมีพลังอันยิ่งใหญ่ที่เราควรน้อมมาไว้ในใจ
นานเพียงใดแล้วที่เราปล่อยให้ความโกรธขับเคลื่อนชีวิตและปรุแต่งการกระทำของเรา
เพราะคิดว่าความรุนแรงนั้นสามารถแก้ปัญหาหรือทำลายล้างปรปักษ์ของเราได้
แต่แท้จริงมันกลับวกมาทำร้ายเราเอง และสร้างปัญหาให้แก่เรามากขึ้น
อย่าปล่อยให้มันบั่นทอนชีวิตของเรามากไปกว่านี้ หันมาบ่มเพาะเมตตาเพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนชีวิต
ให้เป็นไปในทางสันติเสียแต่วันนี้ จะไม่ดีกว่าหรือ
พระไพศาล วิสาโล
http://www.lifeskills-panya.com/2014/08/28/2939
ขับเคลื่อนชีวิตด้วยความรัก
สตีเวน สปีลเบิร์ก ผู้กำกับหนังชื่อก้องโลกเล่าว่า เมื่อยังเป็นเด็กอายุ 13 ปี เขาถูกอันธพาลวัยรุ่นที่โรงเรียนแกล้งเป็นประจำ
บางครั้งก็ปาระเบิดกลิ่นเข้าใส่เขา ชีวิตเขาเหมือนตกนรก
แต่แล้ววันหนึ่งเขาได้เดินเข้าไปหาอันธพาลคนนั้นและบอกว่า “ฉันกำลังถ่ายทำวีดีโอเรื่องตามล่านาซี เธออยากเล่นบทพระเอกไหม”
อันธพาลหัวเราะ แต่ 2 – 3 วันหลังจากนั้นก็กลับมาและตอบรับอย่างไม่เต็มใจ
หลังจากถ่ายทำเสร็จ ปรากฎว่าอันธพาลคนนั้นเลิกกลั่นแกล้งเขา และกลายมาเป็นเพื่อนสนิทของเขาในเวลาต่อมา
คำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” เป็นความจริงในทุกยุคทุกสมัย
เมตตาหรือความปรารถนาดีนั้นไม่ได้มีไว้ใช้สำหรับคนที่เรารักเท่านั้น
หากยังควรใช้กับคู่กรณีหรือผู้ที่ไม่ประสงค์ดีกับเราด้วย แม้อยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมก็ตาม
นักธุรกิจท่านหนึ่งได้เล่าถึงประสบการณ์ครั้งไปเรียนต่างประเทศว่า
มีคราวหนึ่งเธอถูคนผิวดำล็อคคอและเอามีดจี้ขณะรอสัญญาณไฟเขียวบนเกาะหน้ามหาวิทยาลัยในเมืองบอสตัน
โจรผิวดำสั่งให้เธอยื่นกระเป๋าเงินให้ แต่เมื่อพบว่าในนั้นมีเงินแค่ 20 ดอลลาร์ ก็โวยวาย
เขาสั่งให้เธอถอดนาฬิกา แหวน และกำไล เธอก็ไม่มีให้สักอย่าง
เขาถามถามเธอว่า “เป็นคนเอเชียมาเรียนที่นี่ได้ก็ต้องรวย”
เธอตอบว่า “สำหรับฉันน่ะไม่ใช่ เพราะได้ทุนมา”
แล้วโจรก็ย้อนกลับมาถามถึงเงิน 20 ดอลลาร์ว่าจะเอาไปทำอะไร
เธอตอบว่า เอาไปซื้อไข่ “เอาไข่ไปทำอะไร ?”
เขาถาม “เอาไปต้มกินได้ทั้งอาทิตย์ ”
เธอตอบตามความจริงเพราะตอนนั้นมีปัญหาการเงิน
ระหว่างที่ถามตอบกันอยู่นั้น ยามหน้ามหาวิทยาลัยเห็นผิดสังเกต จึงยกหูโทรศัพท์เรียกตำรวจ
เธอเห็นเช่นนั้น ก็โบกมือว่า “ไม่ต้อง ๆ เราเป็นเพื่อนกัน”
โจรได้ยินเช่นนั้นก็งง ถามว่า “คุณรู้จักกับผมตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ”
“ก็เมื่อกี้ไง” เธอตอบ
โจรเปลี่ยนท่าทีไปทันที สุดท้ายแทนที่เขาจะเอาเงินของเธอไป กลับพาเธอไปซื้อไข่ และซื้ออาหารเต็ม 3 ถุงใหญ่ พร้อมทั้งหิ้วมาส่งถึงหน้ามหาวิทยาลัย
เท่านั้นไม่พอ ยังแถมเงินให้อีก 50 ดอลลาร์
เรื่องนี้ยังไม่จบเพราะวันรุ่งขึ้นเธอนำเงิน 50 ดอลลาร์นั้นไปซื้อเครื่องปรุงอาหารไทย แล้วนั่งรถไปบ้านเขาเพื่อทำต้มยำกุ้งให้กินกันทั้งครอบครัว
นับแต่นั้นทั้งสองฝ่ายก็ไปมาหาสู่กัน เธอเล่าว่าทุกวันนี้หากมีธุระไปบอสตันก็จะไปแวะเยี่ยมครอบครัวนี้ทุกครั้ง
หญิงไทยผู้นี้ใช้ความดีเอาชนะใจโจรจนเปลี่ยนมาเป็นมิตรกับเธอได้
โจรนั้นมีความดีอยู่ในตัว แต่ความดีนั้นถูกเก็บงำเอาไว้
จนเมื่อเธอเป็นฝ่ายแสดงความปรารถนาดีก่อน ความดีของเขาจึงถูกเรียกร้องให้แสดงตัวออกมา และสานสัมพันธภาพของทั้งสองให้แน่นแฟ้น
ทั้งสองกรณีที่กล่าวมาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า วิธีกำจัดศัตรูที่ดีที่สุด ก็คือการเปลี่ยนเขามาเป็นมิตร
ความรุนแรงนั้นไม่สามารถกำจัดศัตรูได้อย่างยั่งยืน
เมตตาต่างหากที่กำจัดศัตรุได้อย่างชะงัด เมตตานั้นมีพลังอันยิ่งใหญ่ที่เราควรน้อมมาไว้ในใจ
นานเพียงใดแล้วที่เราปล่อยให้ความโกรธขับเคลื่อนชีวิตและปรุแต่งการกระทำของเรา
เพราะคิดว่าความรุนแรงนั้นสามารถแก้ปัญหาหรือทำลายล้างปรปักษ์ของเราได้
แต่แท้จริงมันกลับวกมาทำร้ายเราเอง และสร้างปัญหาให้แก่เรามากขึ้น
อย่าปล่อยให้มันบั่นทอนชีวิตของเรามากไปกว่านี้ หันมาบ่มเพาะเมตตาเพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนชีวิต
ให้เป็นไปในทางสันติเสียแต่วันนี้ จะไม่ดีกว่าหรือ
พระไพศาล วิสาโล
http://www.lifeskills-panya.com/2014/08/28/2939