สุดที่รักพิทักษ์เธอ - บทนำ

กระทู้สนทนา



บทนำ




ดอกไม้งามหลายชนิด ซ่อนพิษสงอันร้ายกาจอยู่ภายใต้รูปโฉมที่สวยงาม ไม่ว่าจะเป็นนาซีซัส ลิลลี่ หรือแม้แต่เบญจมาศ ใครจะคิดว่าพิษของพวกมันบางชนิด อาจทำให้สิ่งมีชีวิตเลือดอุ่นมากมายบนโลกนี้ถึงแก่ความตายด้วยความทรมาน

คุลิกาชื่นชอบดอกไม้เหล่านั้นเป็นที่สุด

สิ่งสวยงามก็ต้องมีพิษสงไว้ปกป้องตัวเองบ้างนี่นา...จริงไหม?

เข็มนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังโรงฝึกเทควันโดย่านนนทบุรีบอกเวลาว่าใกล้สองทุ่มแล้ว หญิงสาวร่างเพรียวในชุดเทควันโดสีขาวสะอาดคาดสายรัดเอวสีดำ ยืนกอดอกตีหน้าขรึมมองชายหนุ่มร่างใหญ่ผู้สวมเกราะสีแดงตรงหน้าถูกเด็กหญิงที่มีรูปร่างบอบบาง หมุนตัวกลับหลังตวัดเท้าเตะเข้าเต็มท้องจนร่างใหญ่ล้มลงก้นจ้ำเบ้าบนพื้นเบาะของโรงฝึกอย่างหมดท่า

เมื่อเห็นผลสำเร็จของลูกเตะกลับหลังที่เฝ้าฝึกฝนอยากให้เป็นท่าไม้ตายของตนเองมาตลอด เด็กหญิงเหยียดยิ้มอย่างพอใจ ใบหน้าที่ชุ่มเหงื่อเป็นประกายมุ่งมั่น คุลิกาคลี่ยิ้มบางให้กับสายตาสดใสของลูกศิษย์เอก เธอชำเลืองมองยังนาฬิกา ก่อนพูดออกมาว่า

“เอาละ วันนี้พอแค่นี้ก่อน กว่าจะถึงวันแข่งก็อีกตั้งนาน เพิ่งหายไข้มาอย่าหักโหมเกินไปจะดีกว่านะยัยจิว”

“แต่หนูตื่นเต้นนี่คะอาจารย์ ถ้าหนูชนะ หนูจะได้คาดสายดำแล้วใช่ไหมคะ” เด็กสาวถามขณะยกแขนเสื้อปาดเหงื่อเดินมาหาอาจารย์สาวผู้ปลุกปั้นเธอจนได้เข้ารอบการแข่งขันเทควันโดเยาวชนหญิงชิงแชมป์ประเทศไทยรอบสิบหกคนสุดท้ายรุ่นอายุไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งครั้งนี้เธอเข้ารอบได้ด้วยความสามารถของตนเอง ไม่ใช่ด้วยเงินใต้โต๊ะของกรรมการเหมือนที่เคยผ่านๆ มา

“เอ เรานี่ ต้องให้บอกอีกกี่ครั้งว่าอายุเรายังไม่ถึงสิบห้า ตอนนี้จะชนะยังไงก็คาดได้แค่ดำแดง เราอายุเท่านี้แต่ไล่อัดรุ่นพี่สายดำกระเจิงมาหลายคนก็ควรพอใจได้แล้วนา” คุลิกาตอบพลางเอื้อมมือยีศีรษะเด็กหญิงวัยสิบสามย่างสิบสี่ปีเจ้าของชื่อจิวนภา นทีโชคชัย ทายาทนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังแห่งชนชั้นสังคมไฮโซของกรุงเทพมหานคร

“แหม ไหนครูบอกว่าหนูเป็นอัจฉริยะแห่งวงการเทควันโดหญิงคนต่อไปไงคะ ก็ทำกรณีพิเศษให้หนูหน่อยไม่ได้หรอ” เด็กหญิงพูดกระเง้ากระงอดตามนิสัยที่ถูกตามใจจนเคยชิน เธอรับผ้าขนหนูที่อาจารย์สาวส่งให้ไปซับเหงื่อตามซอกคอ คู่ซ้อมของเด็กหญิงจิวนภาซึ่งเป็นครูฝึกเหมือนกันลุกขึ้นจากพื้นเดินมากล่าวชมลูกเตะอันหนักหน่วงของเธอ ก่อนจะถอดเกราะออกและขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ปล่อยให้อาจารย์กับลูกศิษย์อยู่ด้วยกันตามลำพัง

วินาทีนั้น ชายหนุ่มสวมแว่นตาดำและแต่งตัวแบบที่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นบอดีการ์ดเคลื่อนกายมายืนที่หน้าประตู

“ไม่มีเด็กคนไหนจะได้รับสิทธิพิเศษอะไรทั้งนั้นแหละจ้ะ” คุลิกาตอบเสียงเรียบ รอยยิ้มยังสยายกว้างบนใบหน้า เธอยืนหันหลังให้ประตู จึงไม่รับรู้การมาถึงของอาคันตุกะ

“อาจารย์อ้ะ ใจร้ายจังเลย แบบนี้สินะถึงไม่มีแฟนสักที” จิวนภาเปรยลอยๆ ด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ แต่ดวงตาที่จ้องมองไปยังบอดีการ์ดแว่นดำกลับทำให้ใบหน้าเป็นประกายสดใสนั้นหมองหม่นลงทันทีจนคุลิกาสังเกตได้

“แก่แดดนักนะเรา”

อาจารย์สาวหัวเราะเบาๆ ทว่า เสียงหัวเราะของเธอก็ชะงักไปเมื่อเหลียวหน้ามองตามสายตาลูกศิษย์และพบเข้ากับใบหน้าบอกบุญไม่รับของบอดีการ์ดที่มองเผินๆ เหมือนกอริลล่าใส่สูท คุลิการีบตวัดสายตากลับมาที่จิวนภาและพอจะเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น

“นี่เรามาฝึกทั้งที่ยังไม่หายดีงั้นเหรอ!”

เด็กหญิงหน้าเจื่อนลง ก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าสบตาผู้เป็นครูฝึก บอดีการ์ดหุ่นกอริลล่าหน้ามึนเดินเข้ามาค้อมศีรษะให้คุลิกาตามมารยาท ก่อนจะหันไปยังเด็กหญิงจิวนภาที่ยืนหน้างออยู่ด้านข้างและเขากล่าวเสียงตำหนิ

“คุณหนูไม่ควรมาฝึกเทควันโดอีกนะครับ ทำไมถึงดื้อจัง” ในน้ำเสียงแสดงออกถึงความเหนื่อยใจ

คุลิกาขมวดคิ้ว มองบอดีการ์ดอย่างงุนงง “เดี๋ยวนะคะ ทำไมน้องถึงไม่ควรมาฝึกละคะ ถ้าฉันจำไม่ผิด ทางบ้านน้องก็สนับสนุนให้น้องเล่นกีฬาไม่ใช่หรือ”

หญิงสาวมั่นใจว่าเธอไม่ได้จำผิด เพราะเธอเป็นคนทำเรื่องรับการติดต่อตอนที่พ่อของจิวนภานำเด็กหญิงมาเข้าเรียนที่โรงฝึกเทควันโดแห่งนี้ด้วยตัวเองเสียด้วยซ้ำ

บอดีการ์ดหน้ามึนพูดตอบคุลิกาอย่างรำคาญ หน้าตาจึงคล้ายลิงลงแดงเพราะหิวกล้วยมากขึ้นทุกขณะ

“นั่นมันเมื่อก่อนครับ ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว คุณพ่อของคุณหนูท่านสั่งห้ามเด็ดขาดตั้งแต่ – ”

“ภูมิชาย!” เด็กหญิงตะเบ็งเสียงแทรกกลางปล้อง    

ผู้ถูกเรียกชื่อสะดุ้งโหยง แล้วจึงหยุดชะงักสิ่งที่กำลังจะพูดออกมาทันที เขายืนเหยียดหลังตรง เสมือนเป็นหุ่นยนต์กอริลล่ายักษ์ตัวหนึ่ง แต่ปากยังไม่วายขมุบขมิบกล่าวว่า

                “ผมจะไม่พูดอะไรอีก ถ้าคุณหนูจิวยอมกลับบ้านแต่โดยดีและสัญญาว่าจะไม่มาที่นี่อีกครับ”

        คุลิกาขมวดคิ้วหนักกว่าเก่า มองบอดีการ์ดภูมิชายและเด็กหญิงจิวนภาสลับกันไปมา ความเงียบที่แน่นหนาโรยตัวครอบงำบรรยากาศ

อาจารย์สาวทำลายมันลงไปด้วยการออกคำสั่งเสียงเฉียบขาดว่า

         “บอกมาเดี๋ยวนี้นะจิว เราปิดบังเรื่องอะไรกับครูอยู่ ทำไมพ่อเราถึงไม่อยากให้เราเรียนเทควันโดแล้วล่ะ?”

            “เอ่อ หนู...” เด็กสาวตะกุกตะกัก เงยหน้าสบตาอาจารย์สาวแวบหนึ่ง ก็ลดสายตาลงมองพื้นด้วยความลำบากใจ

ทันใดนั้น บอดีการ์ดภูมิชายโพล่งขึ้น “หมอตรวจพบว่าคุณหนูเป็นโรคหัวใจครับ มีคำสั่งห้ามออกกำลังกายหนักๆ อย่างเด็ดขาด”

                “ภูมิชาย!” นักเทควันโดสาววัยใสกระทืบเท้าอยู่กับที่อย่างขัดใจ “หนูสั่งให้อยู่เงียบๆ นะ!”

บอดีการ์ดกอริลล่ายิ้มแหย “ผมเสียใจครับคุณหนู ผมต้องพูดเพื่อคุณหนูจะได้ไม่ทำอะไรที่มันอันตรายขนาดนี้อีก คุณครูครับ ต่อจากนี้ไป ช่วยอย่าสอนคุณหนูอีกนะครับ”

ท้ายประโยคหันมาค้อมศีรษะให้คุลิกาอย่างจริงใจมากกว่าครั้งแรก

คุลิกาแค่นยิ้มฝืดและหัวเราะเสียงแผ่ว เธอไม่รู้ว่าตัวเองจะหัวเราะทำไมทั้งที่ไม่ได้มีเหตุอะไรให้น่าขำ บางทีมันอาจติดเป็นนิสัยของเธอไปแล้ว พี่สาวของเธอสอนไว้เสมอว่าหากเจอเรื่องราวไม่สบายใจอะไร สิ่งแรกที่ควรทำคือการยิ้มรับและหัวเราะต้อนรับมัน

“คุณครูอย่าไปฟังที่ภูมิชายพูดนะคะ หนูไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ หนูฝึกได้ไม่มีปัญหา” เด็กหญิงจิวนภารีบถลันเข้ามาเขย่าแขนอาจารย์สาวอย่างละล่ำละลัก

“มันจะดีหรอยายจิว” คุลิกาก้มมองลูกศิษย์ตัวน้อย “ทำไมเราไม่บอกครูสักนิดล่ะว่ากำลังเป็นโรคหัวใจ”

“ก็ถ้าบอก ครูจะให้หนูเข้าฝึกต่องั้นหรือคะ” เด็กหญิงตอบเสียงเครือ

ไม่หรอก ถ้าเธอรู้แต่แรกเธอจะไม่ให้จิวนภาเข้าฝึกแน่นอน คุลิกาทราบข่าวตั้งแต่อาทิตย์ก่อนว่าลูกศิษย์ของเธอมีอาการวูบหมดสติที่โรงเรียนนานาชาติชื่อดังจนต้องหามส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน ทำให้ทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา เด็กหญิงต้องหยุดฝึกซ้อมไปโดยปริยาย

วันนี้เป็นวันแรกที่จิวนภากลับมาฝึกอีกครั้ง โดยเมื่อตอนเย็นที่เด็กหญิงเดินทางด้วยรถแท็กซี่มายังโรงเรียนสอนเทควันโดแห่งนี้ เธอก็ไม่ได้มีท่าทีผิดปกติหรืออ่อนแอไปกว่าเดิม และระหว่างที่เข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น ไม่เคยมีใครมาแจ้งข่าวกับทางโรงฝึกเลยนอกจากบอกว่า จิวนภาวูบไปเพราะอ่อนเพลียจากพิษไข้เท่านั้น คุลิกาสงสัยว่านี่อาจเป็นคำสั่งของจิวนภาเองก็ได้ เพราะด้วยการที่เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของบ้านตระกูลดัง ทำให้เด็กหญิงมีอำนาจเด็ดขาดอยู่ไม่น้อย

“มาพูดกันให้ชัดเจนเลยดีกว่านะยายจิว โรคหัวใจมันไม่ใช่เล่นๆ นะ ครูจะไม่ให้เราฝึกหรอกจนกว่าจะได้รับอนุญาตจากคุณหมอ” แม้จะทำหน้าดุ แต่ในน้ำเสียงที่คุลิกาพูดออกมา มันก็มีการปลอบประโลมอยู่ในที

“แต่ครูคะ” ในดวงตาของเด็กหญิงมีน้ำคลอเต็มเบ้า

“ครูจะรอจนกว่าเราจะหาย ถึงตอนนั้นครูสัญญาว่าจะทำให้เธอเป็นตัวแทนทีมชาติให้ได้” คุลากาลูบแก้มใสของลูกศิษย์อย่างอ่อนโยนและให้กำลังใจ

“แต่หนูไม่เป็นอะไรจริงๆ นะคะ” จิวนภากระซิบ ยกมือป้ายน้ำตาที่ผุดซึมออกมา

        “รอไว้แข่งปีหน้าก็ได้นี่นา” คุลิกาดึงตัวเด็กหญิงเข้ามากอด ก่อนลูบศีรษะที่มัดผมเป็นมวยสูงของลูกศิษย์ซึ่งตอนนี้ปล่อยโฮออกมาเสียงดัง

“หนูรอไม่ได้ค่ะ หนูต้องแข่งในปีนี้เท่านั้น”

การแข่งขันชิงแชมป์เทควันโดระดับเยาวชนเหลือเวลาอีกเพียงสามเดือนก็จะมาถึง อย่างไรจิวนภาก็คงไม่สามารถเข้าร่วมได้ทัน คุลิกาค่อยๆ เชยคางให้เด็กสาวเงยหน้ามองตาเธอ “ทำไมถึงรอไม่ได้ล่ะ ไหนบอกครูหน่อยซิ”

ตอนแรกจิวนภาอ้าปากออกคล้ายกับจะบอกเหตุผล แต่เป็นเพราะอะไรคุลิกาก็ไม่ทราบ จิวนภาสั่นศีรษะและคลายกอดออกจากเธอ

“วันนี้หนูกลับบ้านก่อนนะคะ แล้วพรุ่งนี้หนูจะมาใหม่” เด็กหญิงกล่าวเสียงแหบแห้ง ไม่รอให้อาจารย์ผู้ฝึกสอนกล่าวตอบคำใด เธอยกมือปาดน้ำตาและหันไปพยักหน้ากับบอดีการ์ดกอริลล่าที่พ่อเธอส่งมาตามหา “กลับกันเถอะภูมิชาย”

“ครับ”

บอดีการ์ดร่างบึ้กรับคำ คุลิกาได้แต่เฝ้ามองลูกศิษย์สาวในชุดเทควันโดก้าวเดินออกไปจากประตูของห้องฝึก คุลิกาทราบว่าจิวนภาจะต้องแวะเปลี่ยนเสื้อผ้าและเอากระเป๋าเป้ส่วนตัวที่ห้องล็อคเกอร์ เธอจะตามไปคุยต่อก็ได้

แต่สำหรับวันนี้ คุลิกาคิดว่าปล่อยให้ลูกศิษย์กลับบ้านไปก่อนจะดีกว่า

เพราะต่อให้ใช้เหตุผลมากมายอธิบายสักเท่าไหร่ เด็กหญิงที่ถูกตามใจมาตลอดชีวิตอย่างจิวนภาก็คงไม่ยอมฟังง่ายๆ หรอกนะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่