ปี2553 ผมตรวจสุขภาพประจำปีพบว่าค่าSGOP,SGPTสูงมาก=600,300 หมอ รพ.ต่างจังหวัดพบว่าผมติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
ต่อมาผมไปกินยาต้มสมุนไพร 2 หม้อ ค่าค่าSGOP,SGPTขึ้นมาเป็น 1000,600 ผมจึงย้าย รพ.มารักษากับ
แพทย์โรคทางเดินอาหารที่โรงเรียนแพทย์ในกรุงเทพ ซึ่งหมอให้กินยาต้านไวรัส (Entecavir) และสั่งทำ Ultrasound
ดูตับเป็นระยะๆ 3-6 เดือน/ครั้ง เรื่อยมา
ต้นปี 2557 ....หมอแจ้งผมว่าผมโชคดีหายจากโรคไวรัสบี ภูมต้านทานโรคขึ้นเป็นบวก90กว่าหน่วย หมอให้งดยาต้านไวรัสแล้วหลัง
จากกินยามากว่า 4 ปี บอกว่าผมโชคดีเป็น 1 ใน 100 หรือ 1ใน 1000 ที่หายขาดได้จากการกินยาต่านไวรัส
หมอบอกว่าน้อยคนมากที่จะหายขาดแบบนี้
แต่บนข่าวดีก็มีข่าวร้าย.....ผล Ultrasound พบว่ามีจุดดำๆเล็กๆในเนื้อตับ ซึ่งหมอบอกว่าดูเหมือนไม่ไช่เนื้อร้ายแต่ยังยืนยันไม่ได้
ต้องตรวจวิธีอื่นๆค่อไป
กลางเดือน มค.57...หมอสั่งทำ CT scan.....ผล CT scan ว่าในเนื้อตับมีจุดผิดปกติจริง แต่ยังยังยืนยันไม่ได้ว่าเป็นเนื้อร้ายหรือไม่
รังสีแพทย์แนะนำให้ทำ MRI ต่อ
กพ.57......ได้คิวทำ MRI......ผลMRI ยังคลุมเคลือระบุไม่ได้ว่าไช่เนื้อร้ายหรือไม่ หมอที่รักษาบอกว่าจะเอาผล MRI ไปประชุมปรึกษากับ
รังสีแพทย์ พร้อมนัดให้มาทำ MRI อีกรอบใน 3 เดือนข้างหน้า หลังจากหมอประขุมปรึกษากับรังสีแพทย์แล้วได้แจ้งว่า
ขณะที่ทำMRIมีการฉีดสารทึบแสงโดยปกติเมื่อฉีดยาควรจะวิ่งเข้าถึงก้อนเนื้อร้ายก่อน เนื่องจากก้อนเนื้อร้ายมีเส้นเลือด
เข้าไปเลี้ยงมาก แต่กรณีของผมกลับตรงกันข้ามสารทึบแสงวิ่งไปถึงจุดที่ผิดปกติช้าทีหลังสุด
หมอวินิจฉัยว่าจุดที่ผิดปกตในตับไม่ไช่เนื้อร้าย
มิย.57... ทำ MRI ครั้งที่2 มีการเปลี่ยนสารทึบแสงเป็นคนละชนิดกับครั้งแรก ตัวนี้ราคาแพงมาก(10000 บาท) หมอบอกว่าสารชนิดนี้
จะจับเฉพาะเนื้อดีของตับ และจะไม่จับตัวที่ก้อนเนื้อร้าย จะทำให้แยกแยะได้ชัดเจนขึ้น
.....ผลของ MRI....เทียบกับครั้งที่แล้ว ช่วง 3 เดือนขนาดของตับไม่โตขี้น สารทึบแสงวิ่งไปจ้บต้วที่จุดดำที่ผิดปกติ
ซึ่งหมอบอกว่าบ่งบอกได้ว่าจุดที่ผิดปกติในตับไม่ไช่เนื้อร้าย ตามผล MRI นี้
[img]http://image.ohozaa.com/i/e1c/poGGss.jpg[/img]
ปัจจุบัน.....หมอเลิกไส่ใจกับจุดดำๆจุดนี้ในตับของผมแล้ว แต่ก็บอกว่าคนเคยเป็นไวรัสบีมีความเสี่ยงต่อมะเร็งตับ
ยังต้องติดตามต่อไปเป็นระยะๆ...ยังนัดผมเช็คเลีอดดูภูมิต้านทาน, ทำ Ultrasound ดูตับทุกๆ 6 เดือนต่อเนื่อง
ที่ผมเล่ามายืดยาวเรื่องโรคตับ เพื่ออยากเป็นกำลังใจให้คนที่เป็นไวรัสบีว่ามันหายได้จริง ต้องหมั่นพบหมอตามนัด และต้องไม่ขาดยา
สำหรับยาEntecavir มีวิธีการกินที่ต้องระมัดระวังอยู่บ้างต้องปฎิบัติให้ถูกต้องด้วยครับ
โรคท่ี 2 ของผมที่มีคำถาม
ประมาณปี 2545........ผมตรวจพบความดันโลหิตสูง 180/100 โดยทำการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในต่างจังหวัด ยาที่หมอให้กินมี 2 ตัว คือ
1. Norvasc 5 mg 1 เม็ด/วัน 2. Prenolol 5 mg 1 เม็ด/วัน
ยา 2 ตัวนี้ใช้มาไม่เคยเปลี่ยนยา ความดันปัจจุบันจะอยู่ที่ 120-130/70-80
ต่อมาระดับไขมันสูงมากขึ้นเรื่อยๆ Tiglyceride >300 , Cholesterol =200-250
หมอเพิ่มยาตัวที่ 3. Fibrill 160 mg 1 เม็ด/วัน ผล...Tiglyceride ลดเหลือ130 Cholesterol ไม่ลด
จากการพบหมอครั้งสุดท้าย หมอเพิ่มยาตัวที่ 4. Lipitor 160 mg 1 เม็ด/วัน เพื่อต้องการลด Cholesterol
เท่าที่ผมทราบ ยา Lipitor ไปออกฤทธิ์ที่ตับ ทำให้ผมวิตกว่าสภาพตับของผมที่เล่ามาจะเหมาะสมใช้ยานี้ได้หรือไม่ ใช้ไปนานๆจะมีปัญหาต่อตับหรือไม่ หมอที่จ่ายยานี้ไม่มีประวัติเรื่องตับของผมนะครับ แล้วผมห็อายุมากแล้วด้วย(59ปี)
เพิ่งหายจากไวรัสบี ยังมีไขมันจับตับ มีรอยดำในตับ จะกินยาลดไขมัน Lipitor จะทำให้ตับแย่ลงไหม
ต่อมาผมไปกินยาต้มสมุนไพร 2 หม้อ ค่าค่าSGOP,SGPTขึ้นมาเป็น 1000,600 ผมจึงย้าย รพ.มารักษากับ
แพทย์โรคทางเดินอาหารที่โรงเรียนแพทย์ในกรุงเทพ ซึ่งหมอให้กินยาต้านไวรัส (Entecavir) และสั่งทำ Ultrasound
ดูตับเป็นระยะๆ 3-6 เดือน/ครั้ง เรื่อยมา
ต้นปี 2557 ....หมอแจ้งผมว่าผมโชคดีหายจากโรคไวรัสบี ภูมต้านทานโรคขึ้นเป็นบวก90กว่าหน่วย หมอให้งดยาต้านไวรัสแล้วหลัง
จากกินยามากว่า 4 ปี บอกว่าผมโชคดีเป็น 1 ใน 100 หรือ 1ใน 1000 ที่หายขาดได้จากการกินยาต่านไวรัส
หมอบอกว่าน้อยคนมากที่จะหายขาดแบบนี้
แต่บนข่าวดีก็มีข่าวร้าย.....ผล Ultrasound พบว่ามีจุดดำๆเล็กๆในเนื้อตับ ซึ่งหมอบอกว่าดูเหมือนไม่ไช่เนื้อร้ายแต่ยังยืนยันไม่ได้
ต้องตรวจวิธีอื่นๆค่อไป
กลางเดือน มค.57...หมอสั่งทำ CT scan.....ผล CT scan ว่าในเนื้อตับมีจุดผิดปกติจริง แต่ยังยังยืนยันไม่ได้ว่าเป็นเนื้อร้ายหรือไม่
รังสีแพทย์แนะนำให้ทำ MRI ต่อ
กพ.57......ได้คิวทำ MRI......ผลMRI ยังคลุมเคลือระบุไม่ได้ว่าไช่เนื้อร้ายหรือไม่ หมอที่รักษาบอกว่าจะเอาผล MRI ไปประชุมปรึกษากับ
รังสีแพทย์ พร้อมนัดให้มาทำ MRI อีกรอบใน 3 เดือนข้างหน้า หลังจากหมอประขุมปรึกษากับรังสีแพทย์แล้วได้แจ้งว่า
ขณะที่ทำMRIมีการฉีดสารทึบแสงโดยปกติเมื่อฉีดยาควรจะวิ่งเข้าถึงก้อนเนื้อร้ายก่อน เนื่องจากก้อนเนื้อร้ายมีเส้นเลือด
เข้าไปเลี้ยงมาก แต่กรณีของผมกลับตรงกันข้ามสารทึบแสงวิ่งไปถึงจุดที่ผิดปกติช้าทีหลังสุด
หมอวินิจฉัยว่าจุดที่ผิดปกตในตับไม่ไช่เนื้อร้าย
มิย.57... ทำ MRI ครั้งที่2 มีการเปลี่ยนสารทึบแสงเป็นคนละชนิดกับครั้งแรก ตัวนี้ราคาแพงมาก(10000 บาท) หมอบอกว่าสารชนิดนี้
จะจับเฉพาะเนื้อดีของตับ และจะไม่จับตัวที่ก้อนเนื้อร้าย จะทำให้แยกแยะได้ชัดเจนขึ้น
.....ผลของ MRI....เทียบกับครั้งที่แล้ว ช่วง 3 เดือนขนาดของตับไม่โตขี้น สารทึบแสงวิ่งไปจ้บต้วที่จุดดำที่ผิดปกติ
ซึ่งหมอบอกว่าบ่งบอกได้ว่าจุดที่ผิดปกติในตับไม่ไช่เนื้อร้าย ตามผล MRI นี้
[img]http://image.ohozaa.com/i/e1c/poGGss.jpg[/img]
ปัจจุบัน.....หมอเลิกไส่ใจกับจุดดำๆจุดนี้ในตับของผมแล้ว แต่ก็บอกว่าคนเคยเป็นไวรัสบีมีความเสี่ยงต่อมะเร็งตับ
ยังต้องติดตามต่อไปเป็นระยะๆ...ยังนัดผมเช็คเลีอดดูภูมิต้านทาน, ทำ Ultrasound ดูตับทุกๆ 6 เดือนต่อเนื่อง
ที่ผมเล่ามายืดยาวเรื่องโรคตับ เพื่ออยากเป็นกำลังใจให้คนที่เป็นไวรัสบีว่ามันหายได้จริง ต้องหมั่นพบหมอตามนัด และต้องไม่ขาดยา
สำหรับยาEntecavir มีวิธีการกินที่ต้องระมัดระวังอยู่บ้างต้องปฎิบัติให้ถูกต้องด้วยครับ
โรคท่ี 2 ของผมที่มีคำถาม
ประมาณปี 2545........ผมตรวจพบความดันโลหิตสูง 180/100 โดยทำการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในต่างจังหวัด ยาที่หมอให้กินมี 2 ตัว คือ
1. Norvasc 5 mg 1 เม็ด/วัน 2. Prenolol 5 mg 1 เม็ด/วัน
ยา 2 ตัวนี้ใช้มาไม่เคยเปลี่ยนยา ความดันปัจจุบันจะอยู่ที่ 120-130/70-80
ต่อมาระดับไขมันสูงมากขึ้นเรื่อยๆ Tiglyceride >300 , Cholesterol =200-250
หมอเพิ่มยาตัวที่ 3. Fibrill 160 mg 1 เม็ด/วัน ผล...Tiglyceride ลดเหลือ130 Cholesterol ไม่ลด
จากการพบหมอครั้งสุดท้าย หมอเพิ่มยาตัวที่ 4. Lipitor 160 mg 1 เม็ด/วัน เพื่อต้องการลด Cholesterol
เท่าที่ผมทราบ ยา Lipitor ไปออกฤทธิ์ที่ตับ ทำให้ผมวิตกว่าสภาพตับของผมที่เล่ามาจะเหมาะสมใช้ยานี้ได้หรือไม่ ใช้ไปนานๆจะมีปัญหาต่อตับหรือไม่ หมอที่จ่ายยานี้ไม่มีประวัติเรื่องตับของผมนะครับ แล้วผมห็อายุมากแล้วด้วย(59ปี)