สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมไปเยี่ยมสวนสนประดิพัทธ์มาครับ ไปด้วยความคิดถึง ไม่ได้มีแพลนล่วงหน้ามาก่อน คือพอดีเมื่อวันเสาร์ทำงานอยู่ที่หัวหิน อยู่ดีๆก็นึกถึงสวนสน จนถึงกับต้องขับรถออกไปเยี่ยมเยียน
จากตัวเมืองหัวหินผมมุ่งหน้าตรงไปทาง ประจวบคีรีขันธ์ ขับรถไปเรื่อยๆ ถ้าเรามุ่งตรงลงภาคใต้ทะเลจะอยู่ทางซ้ายมือของเราตลอดแนว เลยโรงแรมสายลมไปหน่อยจะเป็นทางเบี่ยงขวาขึ้นสะพาน ให้เราขึ้นสะพานไปครับแล้วตรงไปอีกประมาณสามกิโลเมตร สวนสนประดิพัทธ์จะอยู่ทางซ้ายมือ ถ้าเราไม่เบี่ยงขึ้นสะพาน ถนนจะตรงพาเราเข้าไปที่เขาตะเกียบ
เมื่อตอนไปถึง หลายๆอย่างยังดูเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศหรือป้อมทหารที่อยู่ด้านหน้า ยังดูคุ้นตาและคุ้นเคย (ที่นี่เป็นเขตของทหารครับ) หลังจากหยุดรถทักทายกับน้องทหารที่ป้อมแจ้งเค้าว่าเราจะเข้าไปเที่ยวข้างใน เค้าก็จะปล่อยเราเข้าไปเลยไม่มีการแลกบัตรใดๆ
ตอนไปถึงนั้นเป็นช่วงเย็นมากประมาณห้าโมงเย็น ผู้คนในวันนั้นค่อนข้างคับคั่งอยู่ รถจอดกันค่อนข้างเยอะพอสมควร ผมเลือกจะจอดรถตรงทางด้านนอกไกลออกมาหน่อยนึงเพราะขี้เกียจเข้าไปแย่งกันเบียดเสียดข้างใน แล้วใช้วิธีเดินเข้าไปแทน
สวนสนคงเพราะเนื่องจากเป็นเขตทหาร สถานที่ต่างๆจึงถูกดูและเป็นระเบียบเรียบร้อยดีเหมือนวันวานไม่ผิดเพี้ยน เท่าที่จำได้ที่เปลี่ยนไปก็มีตรงบ้านที่ติดต่อจองบ้านพัก ทาสีใหม่ดูสะอาดสะอ้านขึ้นกว่าเดิม เมือผมเดินตรงเข้าไปที่หน้าหาด ทางด้านขวามือจะเป็นร้านอาหารเก่าแก่ของที่นี่ ไม่ว่าจะมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กหรือแก่ป่านนี้ ขอสารภาพว่ายังไม่เคยได้ลองไปชิมสักครั้งเลย ส่วนทางด้านซ้ายมือจะเป็นเหล่าบังกะโลที่เปิดให้เข้าพักได้ มีทั้งแบบที่ติดทะเลและไม่ติดทะเล ผมลองคิดย้อนกลับไปเมื่อสามทศวรรษที่แล้ว

อืม...เราแก่แล้ว จำได้ลางๆว่าตอนนั้นไม่มีบังกะโลที่ติดชายหาด ตัวบังกะโลที่อยู่แถวที่สองตอนนี้คือบังกะโลที่อยู่ติดหน้าหาดที่สุดตอนนั้น ต่อมาคงจะสร้างชุดใหม่ที่ใกล้ทะเลมากกว่าเดิม (ใกล้ขนาดเปิดประตูแล้วก้าวเท้าก้าวแรกก็ลงชายหาดเลย) แต่โดยส่วนตัวแล้วผมชอบบังกะโลแถวที่สองที่เป็นบ้านไม้เก่ามากกว่า เพราะได้บรรยากาศบ้านตากอากาศแบบโบราณๆดี และทำให้นึกถึงแต่ก่อนตอนที่ยังเด็กและมาพักกับพ่อแม่ และพี่น้อง ตลอดจนโตเป็นวัยรุ่นเรียนมัธยม และมหาลัย ก็ยังเคยได้มานอนที่บ้านตากอากาศแบบนี้
วันที่ไปนั้นคนเข้าพักเต็มหมดทุกหลัง ไม่มีแม้แต่เรือนนอนว่าง เต็มเอี๊ยดเป็นปกติของหัวหินวันเสาร์ ปรายตาแอบมองไปทั่วๆ ทุกครอบครัวดูมีความสุขกันดีบ้างก็พาลูกหลานออกไปนั่งรับลมทะเล หรือเล่นน้ำที่หน้าหาดกัน บ้างก็เตรียมอาหารกันเองที่บ้านดูสนุกสาน แต่ผมไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนนี้เพราะไม่อยากจะเดินเข้าบริเวณที่เป็นบ้านพัก เพราะดูเหมือนจะเข้าไปวุ่นวายกับการพักผ่อนของคนอื่น จึงได้แค่มองด้วยความอิจฉาและรู้สึกเหงาเล็กๆ
ดังนั้นผมเลยจะมุ่งหน้าไปที่ชายหาดเลย แต่ก่อนจะลงหาดนั้นทางขวามือก่อนถึงร้านอาหาร ก็ได้เจอกับเพื่อนเก่า "ปลาวาฬ" ไม่ได้เป็นตัวเป็นๆครับ เค้าเหลือแต่โครงกระดูก ไม่ว่ามากี่ครั้งๆก็เจอเค้าอยู่ตรงนี้ ยังดูแข็งแรงไม่มีส่วนใดผุกร่อนบุสลาย หรือว่าอาจจะเป็นเพราะผ่านการซ่อมแซมบูรณะไปแล้วก็ได้
ดูรูปถึงประวัติเค้านะครับ
แต่ก่อนเวลามาที่นี่เจอเค้า รู้แต่เพียงว่าเค้าเป็นปลาวาฬ เพิ่งจะมารู้รายละเอียดเอาตอนนี้เองว่าจิงๆแล้วเค้าคือปลาวาฬบรูด้า และนอกจากวาฬชนิดเค้าแล้วในเมืองไทยแลนด์แดนสยามของเรา ก็ยังพบชนิดพันธ์อื่นๆอีกเป็นสิบชนิดอีกต่างหาก วาฬบรูด้านี้นับว่าเป็นวาฬที่มีขนาดใหญ่ที่สุดรองลงมาจากปลาวาฬฟิน ที่พบในเมืองไทย แต่จากการค้นข้อมูล ปลาวาฬฟินนี่ไม่เคยได้พบเห็นตัวเป็นๆดิ้นได้ในทะเลมาก่อน มีแต่พบแต่ซากที่ตายแล้วพัดเข้ามาติดที่ชายฝั่งซึ่งก็เป็นสิบๆปีมาแล้ว
แต่เมื่อเร็วๆนี้มีข่าวน่าตื่นเต้นคือ ที่ประเทศไทยพบปลาวาฬสี้น้ำเงิน ซึ่งเค้าว่ากันว่าคงจะพลัดหลงเข้ามาแถบประเทศเรา เพราะปกติแล้วไม่ใช่ถิ่นอาศัยของเค้ามาก่อน ปลาวาฬสี้น้ำเงินนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่โลกนี้กำเนิดมา ใหญ่กว่าไดโนเสาร์ทั้งหลายที่ว่าใหญ่ๆ เจอพี่เค้าเข้าไปต้องชิดซ้ายเลยทีเดียว
ข้อมูลในอินเตอร์เนตบอกว่าเค้าโตใหญ่ได้ถึง 35 เมตรและหนักถึง 200 ตัน ก็ขนาดเรือดำน้ำลำโตๆทีเดียว
ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น จิงๆแล้วพวกเค้าไม่ใช่ปลาครับ พวกเค้าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม พวกเขาไม่ใช่ปลา!! นักวิทยาศาสตร์จำแนกพวกเค้าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพราะพวกเค้าแม้จะอาศัยอยู่ในน้ำเฉกเช่นปลา แต่พวกเค้ามีปอดที่สำหรับใช้หายใจ ที่เห็นเค้าดำน้ำว่ายเล่นกันดูสนุกสนานนั้น พวกเค้ากลั้นหายใจอยู่นะครับ ว่ากันว่ากลั้นได้เป็นชั่วโมง
และหลังจากนั้นเค้าก็จะว่ายขึ้นมาที่ผิวน้ำแล้วปล่อยลมออกมาทางอวัยวะพิเศษที่อยู่บริเวรหัวด้านบน พร้อมกับละอองน้ำ เป็นไงครับนึกภาพออกหรือยัง อวัยวะชนิดนี้จะมีที่ปิดกั้นกันน้ำเข้าไปเวลาอยู่ใต้น้ำและมันก็ยังอยู่ใกล้ชิดกับปอดของพวกเค้าอีกด้วย แล้วว่ากันว่าน้ำที่พ่นออกมานี่สำหรับวาฬสี่น้ำเงินใหญ่ๆ จะพ่นน้ำได้สูงถึง 9 เมตร!! ปลาวาฬแม้เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แต่อาศัยอยู่ในทะเล พวกเค้าผิวหนังปราศจากขนจึงต้องมีชั้นไขมันที่ไว้ป้องกันความหนาว อืมชักจะไปไกลนอกเรื่องแล้ว แต่ไปดูกันสักหน่อยว่าทำไมเค้าถึงเรียกได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

มันคือขาครับ จิงๆแล้วปลาวาฬยังคงมีขาและเท้าเหมือนกับในอดีตกาลอันไกลโพ้น เพียงแต่มันผ่านการวิวัฒนาการจนกลายเป็นอวัยวะที่ปัจจุบันนี้เราจะเห็นได้ก็ต่อเมือเป็นโครงกระดูก ขำๆนะครับทฤษฏีที่ว่าอวัยวะชนิดใดถ้าไม่ได้ใช้ นานๆเข้ามันก็จะลีบเล็กลงไปเอง ดูเข้ากันได้กับเคสนี้เลย ว่ากันว่า ด้วยเพราะขนาดตัวนี่ล่ะที่ทำให้พวกวาฬ ต้องอพยพจากบนบกกลับลงไปสู่ทะเล เพราะมันเดินกันไม่ไหว (แหงสิ200ตันนีเดินทีแผ่นดินสะเทือนเลย)
กลับมาที่โครงกระดูกวาฬตัวนี้ที่สวนสน นอกจากความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว ผมพึ่งรู้สึกอะไรบางอย่างหลังจากผมได้มองผ่านเลนส์ถ่ายรูป รูปนี้ครับ
คือมันรู้สึกว่าเขาอยากกลับลงทะเล เพิ่งจะเห็นและสนใจว่า วาฬตัวนี้หันหน้ามองทะเลมาเป็นเวลาสิบๆปีแล้ว มุมที่ถ่ายมันทำให้รู้สึกเหมือนกับว่า เค้าอยากกลับบ้าน อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวไม่มีสาระอะไรของผมเอง
ไปกันต่อนะครับ รอบๆบริเวณโครงกระดูกวาฬ เป็นสวนพักผ่อนแล้วก็ร้านสหกรณ์ขายของชำ ร้านขายของพวก ห่วงยาง เรือยาง ที่ตักทราย ของที่ระลึก แต่ก่อนเป็นยังไงเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอย่างงั้นครับ เห็นเด็กๆไปยืนมองตาละห้อยอยากได้ของนี่เข้าใจความรู้สึกได้เลยเพราะเคยเป็นมาก่อน
ต่อจากนั้นผมก็เดินลงไปที่ชายหาด วันนี้อย่างที่บอกครับ คนค่อนข้างมากพอสมควร บางกลุ่มก็ตั้งวงกันบนหาดทรายกันเลยทีเดียว อย่างกลุ่มนี้เห็นผมเดินมาพี่เค้าเลยเรียกให้ผมถ่ายรูปให้หน่อยซะงั้น
วันนี้ท้องฟ้าขมุกขมัวไม่ค่อยสวยเท่าไรสำหรับการถ่ายรูป มีเมฆค่อนข้างมากและท้องฟ้าสีเทาหม่น คงเพราะฝนกำลังจะตก แต่แม้จะถ่ายรูปไม่ได้อย่างทีต้องการ แต่บรรยากาศนั้นเหมือนกับว่าได้พักผ่อนจริงๆ สายลมพัด เสียงคลื่น เสียงคนหัวเราะ ทุกสิ่งทุกอย่างดูลงตัว และทำให้นึกถึงความสุขครั้งเก่าๆในสถานที่แห่งนี้ ผมพยายามมองหา จุด ที่เคยประทับความทรงจำในหัวใจ แต่ก็นะไม่สามารถ 555 เพราะมีแต่ต้นสน แล้วก็หาดทรายเหมือนๆกันทุกที แต่เมือได้เข้ามาในบริเวณนี้ ความทรงจำดีๆหลายอย่างก็ได้หลั่งไหลเข้ามาในหัวของผมหมดแล้ว ผมเดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ แวะนั่งดูปูลม ดูปลา แล้วก็ปูอะไรไม่รู้ตัวเล็กๆเต็มหาดไปหมด เล่นเอาเถิดเอาล่อกับไอ้ปูเนี่ยเหมือนกับเด็กๆ เวลาผมเดินเข้าไปใกล้ พวกเค้าจะหนีลงอยู่ในรูกันหมด พอผมหยุดสักพัก พวกเค้าก็จะออกมากันเหมือนเดิม ผมนั่งนิ่งๆเพื่อจะถ่ายรูปพวกเค้าใกล้ๆ แต่เค้าก็ไวมากเลยถ่ายมาได้ไม่กี่รูป
นักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนผมรู้สึกได้เลยว่าทุกคนผ่อนครายและมีความสุข ทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก ยันผู้สูงอายุ (รวมทั้งผมด้วย) ตลอดจนสัตว์เลี้ยง ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ณ สถานที่แห่งนี้ในช่วงระยะเวลานึงสั้นๆ แต่ทุกคนล้วนมีความสุขจนเราสามารถรู้สึกได้
ว่างๆไปหัวหินลองไปเยี่ยมเยียนที่นี่กันดูนะครับ ไม่อยากให้พลาดเลย บางทีรีสอร์ทหรูๆ ร้านอาหารใหญ่ๆ มันก็ทำให้รู้สึกเบื่อได้เหมือนกัน รีสอร์ทหรูๆของแพงๆที่แย่งกันผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดที่หัวหิน พ.ศ.นี้ หลายๆที่สำหรับผมนั้นมันเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง เวลาที่ได้ไปนั้น ไม่ได้รู้สึกว่า นี่ล่ะหัวหินเหมือนอย่างที่สวนสนประดิพัทธ์เลย แต่ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะครับ ทุกๆที่นั้นก็มีมุมดีๆของแต่ละทีต่างๆกัน เพียงแต่ สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ผมมีความทรงจำที่สวยงามอยู่ในใจ มันจึงเป็นที่ๆผมสามารถเดินไปยิ้มไปได้อยู่คนเดียว (ยังไม่ได้บ้านะครับ)
...ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่เราเพิ่งเจอ ฉันคงเห็นเธอเป็นคนไม่น่าสนใจ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงเฉยใส่ ไม่มีเยื่อใยไม่มีใจให้เธอ
ก็เธอในวันนั้นไม่ถูกใจ ไม่ใช่ที่วาดไว้ อย่างในฝัน
ไม่เห็นว่าเธอจะดี ไม่เห็นว่าเราจะเข้ากัน ไม่ตรงใจที่ต้องการไม่ใช่เลย
ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงไม่แคร์ ไม่ไปเหลียวแล ไม่เห็นว่าเธอสำคัญ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนต้องมาใกล้กัน ฉันคงต้องการอยากให้เธอหายไป
ไม่ใช่ชายในฝันในวันนั้น แต่อยู่ในใจฉันในวันนี้ ฉันแพ้ที่เธอใจดี
และแพ้รักจริงที่เธอมี อยากให้รู้ ว่าวันนี้ ฉันรักเธอ
เธอเท่านั้นที่ทำให้ฉันทุกวัน แค่เธอเท่านั้นที่รักและคอยเป็นห่วง ไม่ห่างเลย
ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงมั่นใจ ว่าไม่เสียดาย ถึงแม้เธอไม่รักกัน
ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่ไม่ต้องการ ไม่ยอมรักกัน วันนี้คงเสียดาย ที่สุดเลย...
นี่เพื่อนที่มาด้วยกันวันนี้

ขาตั้งกล้องคู่กาย
ชอบสองภาพนี้มันดูเหงาๆดี
ปล.ภาพชุดนี้ไม่ได้ตัดแต่งทำสี หรือทำอะไรเลยเป็นไฟล์ดิบล้วนๆแต่ย่อขนาดเพื่อให้ลงเวปได้เท่านั้น
ผู้เขียนรู้สึกว่ารูปดิบๆนี่ได้บรรยากาศดีมากกว่าครับ ถ้ารูปไม่สวยงามต้องขอโทษด้วย
[CR] ปลาวาฬ สายลม ความหลัง
จากตัวเมืองหัวหินผมมุ่งหน้าตรงไปทาง ประจวบคีรีขันธ์ ขับรถไปเรื่อยๆ ถ้าเรามุ่งตรงลงภาคใต้ทะเลจะอยู่ทางซ้ายมือของเราตลอดแนว เลยโรงแรมสายลมไปหน่อยจะเป็นทางเบี่ยงขวาขึ้นสะพาน ให้เราขึ้นสะพานไปครับแล้วตรงไปอีกประมาณสามกิโลเมตร สวนสนประดิพัทธ์จะอยู่ทางซ้ายมือ ถ้าเราไม่เบี่ยงขึ้นสะพาน ถนนจะตรงพาเราเข้าไปที่เขาตะเกียบ
เมื่อตอนไปถึง หลายๆอย่างยังดูเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศหรือป้อมทหารที่อยู่ด้านหน้า ยังดูคุ้นตาและคุ้นเคย (ที่นี่เป็นเขตของทหารครับ) หลังจากหยุดรถทักทายกับน้องทหารที่ป้อมแจ้งเค้าว่าเราจะเข้าไปเที่ยวข้างใน เค้าก็จะปล่อยเราเข้าไปเลยไม่มีการแลกบัตรใดๆ
ตอนไปถึงนั้นเป็นช่วงเย็นมากประมาณห้าโมงเย็น ผู้คนในวันนั้นค่อนข้างคับคั่งอยู่ รถจอดกันค่อนข้างเยอะพอสมควร ผมเลือกจะจอดรถตรงทางด้านนอกไกลออกมาหน่อยนึงเพราะขี้เกียจเข้าไปแย่งกันเบียดเสียดข้างใน แล้วใช้วิธีเดินเข้าไปแทน
สวนสนคงเพราะเนื่องจากเป็นเขตทหาร สถานที่ต่างๆจึงถูกดูและเป็นระเบียบเรียบร้อยดีเหมือนวันวานไม่ผิดเพี้ยน เท่าที่จำได้ที่เปลี่ยนไปก็มีตรงบ้านที่ติดต่อจองบ้านพัก ทาสีใหม่ดูสะอาดสะอ้านขึ้นกว่าเดิม เมือผมเดินตรงเข้าไปที่หน้าหาด ทางด้านขวามือจะเป็นร้านอาหารเก่าแก่ของที่นี่ ไม่ว่าจะมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กหรือแก่ป่านนี้ ขอสารภาพว่ายังไม่เคยได้ลองไปชิมสักครั้งเลย ส่วนทางด้านซ้ายมือจะเป็นเหล่าบังกะโลที่เปิดให้เข้าพักได้ มีทั้งแบบที่ติดทะเลและไม่ติดทะเล ผมลองคิดย้อนกลับไปเมื่อสามทศวรรษที่แล้ว
วันที่ไปนั้นคนเข้าพักเต็มหมดทุกหลัง ไม่มีแม้แต่เรือนนอนว่าง เต็มเอี๊ยดเป็นปกติของหัวหินวันเสาร์ ปรายตาแอบมองไปทั่วๆ ทุกครอบครัวดูมีความสุขกันดีบ้างก็พาลูกหลานออกไปนั่งรับลมทะเล หรือเล่นน้ำที่หน้าหาดกัน บ้างก็เตรียมอาหารกันเองที่บ้านดูสนุกสาน แต่ผมไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนนี้เพราะไม่อยากจะเดินเข้าบริเวณที่เป็นบ้านพัก เพราะดูเหมือนจะเข้าไปวุ่นวายกับการพักผ่อนของคนอื่น จึงได้แค่มองด้วยความอิจฉาและรู้สึกเหงาเล็กๆ
ดังนั้นผมเลยจะมุ่งหน้าไปที่ชายหาดเลย แต่ก่อนจะลงหาดนั้นทางขวามือก่อนถึงร้านอาหาร ก็ได้เจอกับเพื่อนเก่า "ปลาวาฬ" ไม่ได้เป็นตัวเป็นๆครับ เค้าเหลือแต่โครงกระดูก ไม่ว่ามากี่ครั้งๆก็เจอเค้าอยู่ตรงนี้ ยังดูแข็งแรงไม่มีส่วนใดผุกร่อนบุสลาย หรือว่าอาจจะเป็นเพราะผ่านการซ่อมแซมบูรณะไปแล้วก็ได้
ดูรูปถึงประวัติเค้านะครับ
แต่ก่อนเวลามาที่นี่เจอเค้า รู้แต่เพียงว่าเค้าเป็นปลาวาฬ เพิ่งจะมารู้รายละเอียดเอาตอนนี้เองว่าจิงๆแล้วเค้าคือปลาวาฬบรูด้า และนอกจากวาฬชนิดเค้าแล้วในเมืองไทยแลนด์แดนสยามของเรา ก็ยังพบชนิดพันธ์อื่นๆอีกเป็นสิบชนิดอีกต่างหาก วาฬบรูด้านี้นับว่าเป็นวาฬที่มีขนาดใหญ่ที่สุดรองลงมาจากปลาวาฬฟิน ที่พบในเมืองไทย แต่จากการค้นข้อมูล ปลาวาฬฟินนี่ไม่เคยได้พบเห็นตัวเป็นๆดิ้นได้ในทะเลมาก่อน มีแต่พบแต่ซากที่ตายแล้วพัดเข้ามาติดที่ชายฝั่งซึ่งก็เป็นสิบๆปีมาแล้ว
แต่เมื่อเร็วๆนี้มีข่าวน่าตื่นเต้นคือ ที่ประเทศไทยพบปลาวาฬสี้น้ำเงิน ซึ่งเค้าว่ากันว่าคงจะพลัดหลงเข้ามาแถบประเทศเรา เพราะปกติแล้วไม่ใช่ถิ่นอาศัยของเค้ามาก่อน ปลาวาฬสี้น้ำเงินนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่โลกนี้กำเนิดมา ใหญ่กว่าไดโนเสาร์ทั้งหลายที่ว่าใหญ่ๆ เจอพี่เค้าเข้าไปต้องชิดซ้ายเลยทีเดียว
ข้อมูลในอินเตอร์เนตบอกว่าเค้าโตใหญ่ได้ถึง 35 เมตรและหนักถึง 200 ตัน ก็ขนาดเรือดำน้ำลำโตๆทีเดียว
ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น จิงๆแล้วพวกเค้าไม่ใช่ปลาครับ พวกเค้าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม พวกเขาไม่ใช่ปลา!! นักวิทยาศาสตร์จำแนกพวกเค้าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพราะพวกเค้าแม้จะอาศัยอยู่ในน้ำเฉกเช่นปลา แต่พวกเค้ามีปอดที่สำหรับใช้หายใจ ที่เห็นเค้าดำน้ำว่ายเล่นกันดูสนุกสนานนั้น พวกเค้ากลั้นหายใจอยู่นะครับ ว่ากันว่ากลั้นได้เป็นชั่วโมง
และหลังจากนั้นเค้าก็จะว่ายขึ้นมาที่ผิวน้ำแล้วปล่อยลมออกมาทางอวัยวะพิเศษที่อยู่บริเวรหัวด้านบน พร้อมกับละอองน้ำ เป็นไงครับนึกภาพออกหรือยัง อวัยวะชนิดนี้จะมีที่ปิดกั้นกันน้ำเข้าไปเวลาอยู่ใต้น้ำและมันก็ยังอยู่ใกล้ชิดกับปอดของพวกเค้าอีกด้วย แล้วว่ากันว่าน้ำที่พ่นออกมานี่สำหรับวาฬสี่น้ำเงินใหญ่ๆ จะพ่นน้ำได้สูงถึง 9 เมตร!! ปลาวาฬแม้เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แต่อาศัยอยู่ในทะเล พวกเค้าผิวหนังปราศจากขนจึงต้องมีชั้นไขมันที่ไว้ป้องกันความหนาว อืมชักจะไปไกลนอกเรื่องแล้ว แต่ไปดูกันสักหน่อยว่าทำไมเค้าถึงเรียกได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
มันคือขาครับ จิงๆแล้วปลาวาฬยังคงมีขาและเท้าเหมือนกับในอดีตกาลอันไกลโพ้น เพียงแต่มันผ่านการวิวัฒนาการจนกลายเป็นอวัยวะที่ปัจจุบันนี้เราจะเห็นได้ก็ต่อเมือเป็นโครงกระดูก ขำๆนะครับทฤษฏีที่ว่าอวัยวะชนิดใดถ้าไม่ได้ใช้ นานๆเข้ามันก็จะลีบเล็กลงไปเอง ดูเข้ากันได้กับเคสนี้เลย ว่ากันว่า ด้วยเพราะขนาดตัวนี่ล่ะที่ทำให้พวกวาฬ ต้องอพยพจากบนบกกลับลงไปสู่ทะเล เพราะมันเดินกันไม่ไหว (แหงสิ200ตันนีเดินทีแผ่นดินสะเทือนเลย)
กลับมาที่โครงกระดูกวาฬตัวนี้ที่สวนสน นอกจากความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว ผมพึ่งรู้สึกอะไรบางอย่างหลังจากผมได้มองผ่านเลนส์ถ่ายรูป รูปนี้ครับ
คือมันรู้สึกว่าเขาอยากกลับลงทะเล เพิ่งจะเห็นและสนใจว่า วาฬตัวนี้หันหน้ามองทะเลมาเป็นเวลาสิบๆปีแล้ว มุมที่ถ่ายมันทำให้รู้สึกเหมือนกับว่า เค้าอยากกลับบ้าน อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวไม่มีสาระอะไรของผมเอง
ไปกันต่อนะครับ รอบๆบริเวณโครงกระดูกวาฬ เป็นสวนพักผ่อนแล้วก็ร้านสหกรณ์ขายของชำ ร้านขายของพวก ห่วงยาง เรือยาง ที่ตักทราย ของที่ระลึก แต่ก่อนเป็นยังไงเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอย่างงั้นครับ เห็นเด็กๆไปยืนมองตาละห้อยอยากได้ของนี่เข้าใจความรู้สึกได้เลยเพราะเคยเป็นมาก่อน
ต่อจากนั้นผมก็เดินลงไปที่ชายหาด วันนี้อย่างที่บอกครับ คนค่อนข้างมากพอสมควร บางกลุ่มก็ตั้งวงกันบนหาดทรายกันเลยทีเดียว อย่างกลุ่มนี้เห็นผมเดินมาพี่เค้าเลยเรียกให้ผมถ่ายรูปให้หน่อยซะงั้น
วันนี้ท้องฟ้าขมุกขมัวไม่ค่อยสวยเท่าไรสำหรับการถ่ายรูป มีเมฆค่อนข้างมากและท้องฟ้าสีเทาหม่น คงเพราะฝนกำลังจะตก แต่แม้จะถ่ายรูปไม่ได้อย่างทีต้องการ แต่บรรยากาศนั้นเหมือนกับว่าได้พักผ่อนจริงๆ สายลมพัด เสียงคลื่น เสียงคนหัวเราะ ทุกสิ่งทุกอย่างดูลงตัว และทำให้นึกถึงความสุขครั้งเก่าๆในสถานที่แห่งนี้ ผมพยายามมองหา จุด ที่เคยประทับความทรงจำในหัวใจ แต่ก็นะไม่สามารถ 555 เพราะมีแต่ต้นสน แล้วก็หาดทรายเหมือนๆกันทุกที แต่เมือได้เข้ามาในบริเวณนี้ ความทรงจำดีๆหลายอย่างก็ได้หลั่งไหลเข้ามาในหัวของผมหมดแล้ว ผมเดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ แวะนั่งดูปูลม ดูปลา แล้วก็ปูอะไรไม่รู้ตัวเล็กๆเต็มหาดไปหมด เล่นเอาเถิดเอาล่อกับไอ้ปูเนี่ยเหมือนกับเด็กๆ เวลาผมเดินเข้าไปใกล้ พวกเค้าจะหนีลงอยู่ในรูกันหมด พอผมหยุดสักพัก พวกเค้าก็จะออกมากันเหมือนเดิม ผมนั่งนิ่งๆเพื่อจะถ่ายรูปพวกเค้าใกล้ๆ แต่เค้าก็ไวมากเลยถ่ายมาได้ไม่กี่รูป
นักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนผมรู้สึกได้เลยว่าทุกคนผ่อนครายและมีความสุข ทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก ยันผู้สูงอายุ (รวมทั้งผมด้วย) ตลอดจนสัตว์เลี้ยง ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ณ สถานที่แห่งนี้ในช่วงระยะเวลานึงสั้นๆ แต่ทุกคนล้วนมีความสุขจนเราสามารถรู้สึกได้
ว่างๆไปหัวหินลองไปเยี่ยมเยียนที่นี่กันดูนะครับ ไม่อยากให้พลาดเลย บางทีรีสอร์ทหรูๆ ร้านอาหารใหญ่ๆ มันก็ทำให้รู้สึกเบื่อได้เหมือนกัน รีสอร์ทหรูๆของแพงๆที่แย่งกันผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดที่หัวหิน พ.ศ.นี้ หลายๆที่สำหรับผมนั้นมันเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง เวลาที่ได้ไปนั้น ไม่ได้รู้สึกว่า นี่ล่ะหัวหินเหมือนอย่างที่สวนสนประดิพัทธ์เลย แต่ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะครับ ทุกๆที่นั้นก็มีมุมดีๆของแต่ละทีต่างๆกัน เพียงแต่ สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ผมมีความทรงจำที่สวยงามอยู่ในใจ มันจึงเป็นที่ๆผมสามารถเดินไปยิ้มไปได้อยู่คนเดียว (ยังไม่ได้บ้านะครับ)
...ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่เราเพิ่งเจอ ฉันคงเห็นเธอเป็นคนไม่น่าสนใจ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงเฉยใส่ ไม่มีเยื่อใยไม่มีใจให้เธอ
ก็เธอในวันนั้นไม่ถูกใจ ไม่ใช่ที่วาดไว้ อย่างในฝัน
ไม่เห็นว่าเธอจะดี ไม่เห็นว่าเราจะเข้ากัน ไม่ตรงใจที่ต้องการไม่ใช่เลย
ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงไม่แคร์ ไม่ไปเหลียวแล ไม่เห็นว่าเธอสำคัญ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนต้องมาใกล้กัน ฉันคงต้องการอยากให้เธอหายไป
ไม่ใช่ชายในฝันในวันนั้น แต่อยู่ในใจฉันในวันนี้ ฉันแพ้ที่เธอใจดี
และแพ้รักจริงที่เธอมี อยากให้รู้ ว่าวันนี้ ฉันรักเธอ
เธอเท่านั้นที่ทำให้ฉันทุกวัน แค่เธอเท่านั้นที่รักและคอยเป็นห่วง ไม่ห่างเลย
ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงมั่นใจ ว่าไม่เสียดาย ถึงแม้เธอไม่รักกัน
ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่ไม่ต้องการ ไม่ยอมรักกัน วันนี้คงเสียดาย ที่สุดเลย...
นี่เพื่อนที่มาด้วยกันวันนี้
ขาตั้งกล้องคู่กาย
ชอบสองภาพนี้มันดูเหงาๆดี
ปล.ภาพชุดนี้ไม่ได้ตัดแต่งทำสี หรือทำอะไรเลยเป็นไฟล์ดิบล้วนๆแต่ย่อขนาดเพื่อให้ลงเวปได้เท่านั้น
ผู้เขียนรู้สึกว่ารูปดิบๆนี่ได้บรรยากาศดีมากกว่าครับ ถ้ารูปไม่สวยงามต้องขอโทษด้วย
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น