อย่ากังวลเรื่องวัตถุจนลืมจิตใจ

พระชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อสิบกว่าปีก่อนสมัยที่สงครามในเขมรเพิ่งยุติใหม่ ๆ ท่านกับเพื่อน ๆ รวบรวมเงินได้หลายล้านเยน
เพื่อจะนำไปช่วยเหลือชาวเขมรที่ประสบภัยพิบัติ เนื่องจากท่านต้องการให้เงินก้อนนี้เป็นประโยชน์แก่ผู้คนที่ทุกข์ยากจริง ๆ จึงเดินทางไปพบปะ
กับชาวเขมรตามที่ต่าง ๆ ด้วยตนเอง


มีคราวหนึ่งท่านได้ไปเยี่ยมโรงเรียนแห่งหนึ่งในชนบท โรงเรียนแห่งนี้ขัดสนไปเกือบทุกอย่าง มีเพียงอาคารหลังเก่า ๆ และบรรยากาศที่ดูเศร้าสร้อย
ท่านได้ถามครูใหญ่ว่าอยากให้ท่านช่วยเหลืออะไรบ้าง ปรากฏว่าคำตอบที่ได้นั้น ไม่ใช่โต๊ะ เก้าอี้ กระดาน และเครื่องเขียน แต่ได้แก่ “เมล็ดพันธุ์และกล้าไม้ดอก”


พระญี่ปุ่นนึกไม่ถึงว่าจะได้คำตอบนี้ จึงถามถึงเหตุผล ครูใหญ่อธิบายว่า เด็กนักเรียนในโรงเรียนนี้ได้พบเห็นสงคราม การฆ่าฟันและการทำลายล้าง มาตั้งแต่เกิด
เด็กเหล่านี้แทบจะไม่เห็นอะไรที่ดี ๆ เลยในชีวิต จิตใจจึงหดหู่แห้งแล้ง ครูใหญ่เห็นว่าสิ่งสำคัญอย่างแรกที่เด็ก ๆ ต้องการก็คือ ความสดใสงดงามและความชื่นบาน
ครูใหญ่เชื่อว่าดอกไม้ที่เบ่งบานไปทั่วโรงเรียนจะช่วยให้เด็กกลับมีความหวังและความเบิกบานขึ้นใหม่


พระญี่ปุ่นท่านนี้บอกว่าฟังแล้วก็รู้สึกละอายใจที่นึกถึงแต่วัตถุ ตัวเองเป็นพระแท้ ๆ แต่ไม่ได้นึกถึงเรื่องของจิตใจเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
เมื่อท่านกลับไปญี่ปุ่น ได้ส่งเงินไปให้โรงเรียนซื้อเมล็ดพันธุ์และกล้าไม้ตามต้องการ ไม่นานโรงเรียนแห่งนั้นก็สะพรั่งด้วยดอกไม้ ทั้งดอกไม้บนพื้นดิน
และดอกไม้ในใจเด็ก


ใช่หรือไม่ว่าคนส่วนใหญ่ก็คิดแบบพระญี่ปุ่นท่านนี้(ในตอนแรก) ดูเหมือนจะเป็นสูตรสำเร็จไปแล้วว่าหากเจอโรงเรียนเก่า ๆ ที่ยากจน ก็ต้องนึกถึงโต๊ะ เก้าอี้
และเครื่องเขียน (จะให้ทันสมัยหน่อยก็ต้องพ่วงคอมพิวเตอร์ไปด้วย) เป็นอันดับแรก ส่วนสิ่งที่จะบำรุงจิตใจนั้นเอาไว้ท้าย ๆ หรือไม่ก็ลืมไปเลย

การเน้นวัตถุแต่มองข้ามจิตใจ มิเพียงสะท้อนให้เห็นจากค่านิยมของโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศที่แข่งกันทำป้ายชื่อโรงเรียนขนาดยักษ์และรั้วราคาแพง ๆ
ในขณะที่คุณธรรมและความรู้ของนักเรียนกลับตกต่ำอย่างน่าเป็นห่วงแล้ว เรายังพบทัศนคติอย่างนี้ไปทุกวงการแม้กระทั่งวงการศาสนา


มิติทางจิตใจนับวันจะกลายเป็นส่วนเกินของชีวิตและกิจกรรมต่าง ๆ ในสังคมไปเสียแล้ว
การทำมาหากินและการพัฒนาเศรษฐกิจกลายเป็นเรื่องของการหาเงินและเพิ่มรายได้ล้วน ๆ จนเม็ดเงินกลายเป็นจุดหมายในตัวมันเอง
วัฒนธรรมและประเพณีก็มิใช่อะไรอื่นหากคือสินค้าอีกอย่างหนึ่งที่สามารถดึงเงินจากกระเป๋านักท่องเที่ยวได้เท่านั้น
เวลารัฐบาลรณรงค์ลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ผลเสียที่ยกมาย้ำเตือนให้ประชาชนตระหนักก็คือ ความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นจำนวนหลายหมื่นล้านบาท
ราวกับว่าความทุกข์ยากและความเศร้าโศกจากการสูญเสียชีวิตหรือพิการนั้นไม่มีความสำคัญพอที่จะกล่าวถึง


ความจริงแล้วมิติทางจิตใจไม่จำเป็นต้องแยกขาดจากชีวิตและกิจกรรมต่าง ๆ ในสังคมเลย
กล่าวอีกนัยหนึ่งการให้ความสำคัญแก่จิตใจไม่ได้หมายความว่าต้องละทิ้งเรื่องวัตถุหรือเงินทอง
เราสามารถทำอาชีพการงานเพื่อปากท้องควบคู่กับการสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ตนเอง
หรืออาจไปถึงขั้นพัฒนาคุณภาพจิตใจพร้อม ๆ ไปกับการทำงานได้ ดังที่ท่านพุทธทาสภิกขุย้ำว่า “การทำงานคือการปฏิบัติธรรม”


ในทำนองเดียวกันการพัฒนาเศรษฐกิจก็สามารถผนวกมิติทางด้านจิตใจเข้าไปได้   กล่าวคือแทนที่จะเน้นแต่เม็ดเงินอย่างเดียว
ก็มุ่งนำโภคทรัพย์ที่ได้นั้นมาพัฒนาสภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่ที่ช่วยให้ผู้คนเอื้อเฟื้อต่อกันรวมทั้งมีชีวิตที่สงบสุขมากขึ้น
วัตถุนั้นมิได้เป็นปฏิปักษ์ต่อจิตใจเสมอไป หากรู้จักใช้กลับก็มีประโยชน์ต่อจิตใจ
ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงได้แนะให้สาวกของพระองค์รู้จักใช้โภคทรัพย์เพื่อ “ฝึกอบรมตน ทำตนให้สงบ ทำตนให้ดับเย็นสนิท”



พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

https://th-th.facebook.com/visalo


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่