โลกของนักอ่าน ได้ต้อนรับการเข้ามาของ E-book เป็นระยะเวลานานาพอสมควรแล้วระดับหนึ่ง และในเวลานี้ มีหลายคำถามกำลังรอคำตอบว่า สุดท้ายแล้ว บนเวทีการแข่งขันของสนามนี้ E-book เป็นผู้ชนะแล้วหรือยัง ส่วน The book ( ซึ่งผมขอแทน หมายถึง หนังสือเล่มจริง ๆ ที่เราคุ้นเคยกันมานานนม ) กำลังเพลี่ยพล้ำในเกมนี้หรือไม่ แค่ไหน ? .... ทางเลือกของนักอ่านตอนนี้ กำลังสนใจไปที่ รูปแบบไหนมากกว่ากัน ตลอดจนในแง่ของ หนอนหนังสือหรือ สำนักพิมพ์ เอง มองแนวโน้มเรื่องนี้อย่างไร นี้คือสิ่งที่เราจะได้พูดคุยกันสำหรับ บทความนี้ ที่ผมอยากจะนำเสนอให้เห็นมุมมองกันดู .....
ก่อนที่เราจะมากล่าวถึงรายละเอียด ผมขอพูดถึงนิยามของคำว่า E-book เพื่อให้เข้าใจตรงกันซักเล็กน้อย เนื่องด้วยสื่อในปัจจุบันมีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะมาก ทำให้ คนอ่านเองก็เลือกไม่ถูก และงงกับ ช่องทางมากมายในปัจจุบัน หนังสือที่เราอ้างถึง E-book หมายถึง สื่อดิจิตอลในรูปแบบไฟล์ ที่รองรับการอ่านบน เครื่องมืออุปกรณ์อะไรก็ได้ ที่พกพาได้ สะดวก รวดเร็ว ง่ายในการเข้าถึง และยังสามารถสอดแทรก มัลติมีเดีย ภาพเคลื่อนไหว เสียง รวมไปถึง การเชื่อมโยงไปยัง มิติต่าง ๆ ของเนื้อหาใน E-book กับผู้อ่านได้ด้วย เช่น การแสดงผล การนำผู้อ่านไปยัง ข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา เอาละครับ ผมกำลังจะนิยามให้เห็นภาพร่วมกันว่า E-book จะกินความไปถึง ทุกสื่อที่มอบเนื้อหาให้กับคนอ่าน โดยไม่จำกัดรูปแบบ
หนังสือที่เป็นเล่มจริง ๆ สัมผัสได้ มีเสน่ห์ที่ยังไงก็ ไม่มีทางที่ E-book จะเข้ามาทดแทนได้ เหมือนกับ สินค้าอย่าง เพลง ที่โดน Mp3 ถล่มจน อุตสาหกรรมเพลงพลิกรูปแบบธุรกิจไปอย่างสิ้นเชิง ในทุกวันนี้ รวมไปถึง ภาพยนตร์ ที่ได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกันที่ทุกวันนี้ ช่องทางการเข้าถึง สื่อภาพยนตร์มีหลากหลายมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเป็น DVD เพียงอย่างเดียวแล้ว !
แต่ด้วย พฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไป ในปัจจุบัน Smartphone มีราคาถูกลงเยอะมาก ๆ แทบเลต ที่ Apple ได้กรุยทางมาก่อนหน้านี้ ซัก 4 -5 ปี ได้ทำให้คนทั่วโลกเปลี่ยนวิธีการบริโภคเนื้อหาในมิติใหม่ ๆ ซึ่งต้องบอกว่า ก่อนหน้านั้น ทาง อเมซอนได้ ออก ebook reader มาแล้วอย่าง kindle แต่ก็ได้รับความนิยมในหมู่มวลนักอ่านพันธุ์แท้เท่านั้นแหละ ถึงอย่างไรก็ดี อุปกรณ์เครื่องอ่าน e-book ก็ได้ทำหน้าที่ เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ของการอ่านให้กับ ผู้คนทั่วโลกได้สัมผัส กลายมาเป็น กระแสที่ค่อย ๆ ได้รับความนิยมมากขึ้น จนเริ่มส่งผลกระทบต่อ อุตสาหกรรมหนังสือในแง่ของ ยอดขาย การเข้าถึง และวิธีการทีนักเขียนใช้ในการผลิตผลงาน ซึ่ง ในต่างประเทศเอง มีหลายกรณีที่นักเขียน ไม่จำเป็นต้องง้อ สำนักพิมพ์ เขียนเองแล้ว เผยแพร่เองอย่างอิสระเสรี เพื่อให้ ผู้บริโภคมีทางเลือกในการอ่านมากขึ้น
เคยมีข้อมูลที่เปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้ว่า มีนักเขียนไร้สังกัดนามว่า John Locke อายุ 60 ปี อดีตพนักงานประกันจาก รัฐเคนตั้กกี้ เขาไม่เคยเขียนหนังสือมาก่อน แต่ John ขายหนังสือผ่าน Amazon ได้ถึง 1 ล้าน Copies !!!! เรื่องนี้น่าสนใจเพราะเขาเองไม่มีแรงหนุนจากสำนักพิมพ์ใด ๆ เพื่อทำการตลาดให้ยอดขายเกิดขึ้นเลย แต่มันถูกขายบนระบบของ Amazon ที่เรียกว่า Kindle Direct Publishing John เลือกที่จะวางขายหนังสือบน Amazon โดยระบบ Kindle Direct Publishing แทนที่จะเลือกใช้สำนักพิมพ์ตามปรกติ ซึ่งทำยอดขายได้มากถึง 1,010,370 ชุด ซึ่งงานเขียนนี้เป็นเรื่องราวอาญชากรและการผจญภัยซึ่งขายราคาเพียงเล่มละ 99 เซนต์ หรือราว ๆ 30 บาท โดยเจ้าตัวบอกว่า เขาทำรายได้เข้าตัวเองเน็ต ๆ เล่มละ 35 เซนต์ หรือประมาณ 10 บาท เอาราคานี้ ไปคูณกับจำนวนเล่มที่ขายได้ ทำให้นักเขียนรายนี้มีเงินเข้ามาหาตัวเองซึ่งไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ นี้แหละ ธุรกิจหนังสือกำลังจะเปลี่ยนไปจริง ๆ แต่นั้น ที่เมืองนอกนะครับ เพราะบ้านเรา ยังนิยมอ่านหนังสือบน Kindle น้อยมาก ๆ เพื่อเทียบกับประเทศอเมริกา เพราะหนังสือส่วนใหญ่จะเป็นภาษาอังกฤษซะเยอะ
นี้เป็นแค่ตัวอย่างบางส่วนเท่านั้น แต่จริง ๆ ยังมีนักเขียนหลายคนมีผลงานที่โดดเด่นและสร้างเงินจากระบบ Ebook นี้ได้มากพอสมควรและ มีแนวโน้มว่าคนก็กำลังไหลเข้าไปสู่ระบบการเขียนเอง และขายเองในรูปแบบ Ebook มากขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่า ทำให้ สำนักพิมพ์เจอคู่แข่งทั้งสองด้านเลยทีเดียว
ด้านที่หนึ่ง การมาของระบบ Ebook ที่เอื้อให้ขายเอง พิมพ์เองจัดจำหน่ายเอง หากนักเขียน เจ๋งจริง พวกเค้าจะไม่ง้อ สำนักพิมพ์แล้ว ! .... ด้านที่สอง สำนักพิมพ์ก็เจอกับ การมาของ โลกดิจิตอลที่เอา content ต่าง ๆ มาเสริฟ์บนออนไลน์ทำให้คน เสพได้ง่าย ๆ และฟรี ๆ อย่าง Google , Youtube , Fan Page ซึ่งก็ทำให้ คนเลือกที่จะบริโภคข้อมูลข่าวสารในยุคแบบนี้แบบ รวดเร็ว ตรงประเด็นเท่านั้น ไม่ได้จำเป็นต้องควักเงินออกซื้อ หนังสือเหมือนเมื่อก่อน หรืออาจจะอาศัยช่องทางการดู Youtube รายการดี ๆ เนื้อหาดี ๆ ซึ่งก็เสมือนหนึ่งว่า ได้อ่านหนังสือเหมือนกัน ถือว่า สำนักพิมพ์เจอคู่แข่งสองด้านนี้หลัก ๆ เลยทีเดียว นี้ยังไม่รวมถึง ต้นทุนกระดาษที่เพิ่มขึ้นทุกปี การโดนบีบจาก ค่าจัดจำหน่ายจากหน้าร้านขนาดใหญ่และ การได้อยู่บนพื้นที่เด่น ๆ ในร้านหนังสือ ซึ่งมีผลต่อยอดขายและการติดอันดับ Best Seller ซึ่งมี รายได้เป็น เดิมพันของ สำนักพิมพ์แต่ละแห่งเอง .....
เมื่อคาดการณ์ถึงแนวโน้ม และโอกาสที่จะเกิดขึ้น กับวงการหนังสือในภาพรวม ( ขอบอกว่าภาพรวมนะครับ ไม่ได้เจาะจงประเทศใด ประเทศหนึ่ง ) ทำให้ผมค่อนข้างเชื่อว่า ท้ายที่สุด Ebook จะกลายมาเป็น พระเอกในแง่ของ การเข้าถึงและความรวดเร็วในการสื่อสาร Content กับผู้บริโภคมากกว่า แต่ในแง่ของคุณค่าทางจิตใจ และอรรรรสของการอ่านแล้ว หนังสือ หรือ The Book ก็ยังได้เปรียบกว่า Ebook มากอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ ต้นทุนของทำหนังสือ มันเป็นอุปสรรคสำคัญของ นักเขียน ที่อยากจะมีผลงานของตัวเองและ อยากจะส่งต่อไปยัง กลุ่มผู้อ่านแบบ Mass เท่านั้นเอง แต่ในทุกวันนี้ Ebook ได้เข้ามาเป็นตัวอุดช่องว่างตรงนั้นไว้แล้ว เมื่อเปิดโอกาสให้ คนธรรมดา ทั่วไป ที่มีเนื้อหาน่าสนใจ อยากแบ่งปันเรื่องราวประสบการณ์ของตัวเองในความชำนาญเฉพาะทางต่าง ๆ ได้ มี " พื้นที่ " ของตัวเองในการทำหนังสือออกมา สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ พอทุกคนทำได้ ออกได้ ก็จะส่งผลต่อ " คุณภาพ " ของหนังสือ หรือ Ebook มหาศาลที่ผลิตออกมา ทำให้ ผู้อ่านต้องพิจารณาเลือกอ่านให้ตรงกับความต้องการ และไม่เสียเวลาอ่านเยอะเกินไป จนหมดเวลา ลงมือทำ ! ก็แค่นั้นเองที่ผมคิดว่าเป็นปัญหา เพราะ พฤติกรรมคนอ่านจริงๆ ไม่ได้มีอะไรน่าเป็นห่วงมากไปกว่า การมัวแต่อ่าน อ่าน แล้วก็อ่าน แต่ไม่ลงมือทำ ........
ท้ายที่สุด กับคำถามที่ว่า การมาของ Ebook ซึ่งกำลังท้าชิง ตลาดนักอ่านตอนนี้ ถามว่า จริง ๆ แล้ว Ebook ชนะหรือยัง ผมเชื่อและฟันธงว่า ชนะแล้วในบางสมรภูมิ แต่ยังไม่เบ็ดเสร็จ ทั่วโลก เพราะเราเริ่มเห็นสัญญาณของยอดขายและปริมาณการบริโภคที่มากขึ้นของ Ebook ที่แซงหน้า หนังสือจริง ๆ บางแล้วในบางหมวดหมู่หรือ ในบางแถบของโลกนี้ ซึ่งแน่นอน Amazon คือ เจ้าตลาดใหญ่ที่มีฐานคนอ่านมากที่สุดผ่านทาง อาวุธเครื่องมือที่เรียกว่า Kindle ซึ่งกลายมาเป็นสงครามแย่งนักอ่านที่ต้องมาแย่งแชร์ตลาดกับ สื่อสังคมออนไลน์ทุกรูปแบบที่ ถล่มกระสุนแบบไม่มีการปราณีใคร ไม่ว่าจะเป็น Facebook , Twitter, Line , Youtube , ซึ่งต้องยอมรับว่า สื่อออนไลน์ ก็มีส่วนในการทำสงครามนักอ่านด้วยเช่นกัน เพราะโดนแย่งเวลาอ่านหนังสือไป ใช้งานกันมากขึ้น สังเกตว่า เราแต่ละคน ติด Smartphone กันหนักแค่ไหน และพฤติกรรมคนใช้งานคนรุ่นใหม่ก็มีมือถือ กลายอวัยวะชิ้นหนึ่งของร่างกายไปแล้วด้วย ! แต่สิ่งที่น่าสนใจไปมากกว่านั้นก็คือ ตลาดหนังสือโดยภาพรวมจะทำอย่างไรให้ รอดพ้นกับวิกฤติที่กำลังคืบคลานเข้ามา และปรับตัวให้อยู่รอดให้ได้ ในสถานการณ์ที่การแข่งขันรุนแรง และท้าทายยิ่งนัก สำนักพิมพ์เอง คนเขียนหนังสือเอง รวมถึงคนอ่านต้อง รู้เท่าทันสถานการณ์ และเลือกอ่านให้ตรงกับความชอบของตัวเอง คัดกรองเนื้อหาหนังสือ และนำสิ่งที่ได้อ่านไปพัฒนาตัวเองอย่างถูกต้อง มีประโยชน์ให้คุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป
เมื่อ E-book ขอท้าชิง The Book กับโลกของการอ่านที่มี " ผู้อ่าน " เป็นเดิมพัน ใครจะอยู่ ใครจะไป ?
ก่อนที่เราจะมากล่าวถึงรายละเอียด ผมขอพูดถึงนิยามของคำว่า E-book เพื่อให้เข้าใจตรงกันซักเล็กน้อย เนื่องด้วยสื่อในปัจจุบันมีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะมาก ทำให้ คนอ่านเองก็เลือกไม่ถูก และงงกับ ช่องทางมากมายในปัจจุบัน หนังสือที่เราอ้างถึง E-book หมายถึง สื่อดิจิตอลในรูปแบบไฟล์ ที่รองรับการอ่านบน เครื่องมืออุปกรณ์อะไรก็ได้ ที่พกพาได้ สะดวก รวดเร็ว ง่ายในการเข้าถึง และยังสามารถสอดแทรก มัลติมีเดีย ภาพเคลื่อนไหว เสียง รวมไปถึง การเชื่อมโยงไปยัง มิติต่าง ๆ ของเนื้อหาใน E-book กับผู้อ่านได้ด้วย เช่น การแสดงผล การนำผู้อ่านไปยัง ข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา เอาละครับ ผมกำลังจะนิยามให้เห็นภาพร่วมกันว่า E-book จะกินความไปถึง ทุกสื่อที่มอบเนื้อหาให้กับคนอ่าน โดยไม่จำกัดรูปแบบ
หนังสือที่เป็นเล่มจริง ๆ สัมผัสได้ มีเสน่ห์ที่ยังไงก็ ไม่มีทางที่ E-book จะเข้ามาทดแทนได้ เหมือนกับ สินค้าอย่าง เพลง ที่โดน Mp3 ถล่มจน อุตสาหกรรมเพลงพลิกรูปแบบธุรกิจไปอย่างสิ้นเชิง ในทุกวันนี้ รวมไปถึง ภาพยนตร์ ที่ได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกันที่ทุกวันนี้ ช่องทางการเข้าถึง สื่อภาพยนตร์มีหลากหลายมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเป็น DVD เพียงอย่างเดียวแล้ว !
แต่ด้วย พฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไป ในปัจจุบัน Smartphone มีราคาถูกลงเยอะมาก ๆ แทบเลต ที่ Apple ได้กรุยทางมาก่อนหน้านี้ ซัก 4 -5 ปี ได้ทำให้คนทั่วโลกเปลี่ยนวิธีการบริโภคเนื้อหาในมิติใหม่ ๆ ซึ่งต้องบอกว่า ก่อนหน้านั้น ทาง อเมซอนได้ ออก ebook reader มาแล้วอย่าง kindle แต่ก็ได้รับความนิยมในหมู่มวลนักอ่านพันธุ์แท้เท่านั้นแหละ ถึงอย่างไรก็ดี อุปกรณ์เครื่องอ่าน e-book ก็ได้ทำหน้าที่ เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ของการอ่านให้กับ ผู้คนทั่วโลกได้สัมผัส กลายมาเป็น กระแสที่ค่อย ๆ ได้รับความนิยมมากขึ้น จนเริ่มส่งผลกระทบต่อ อุตสาหกรรมหนังสือในแง่ของ ยอดขาย การเข้าถึง และวิธีการทีนักเขียนใช้ในการผลิตผลงาน ซึ่ง ในต่างประเทศเอง มีหลายกรณีที่นักเขียน ไม่จำเป็นต้องง้อ สำนักพิมพ์ เขียนเองแล้ว เผยแพร่เองอย่างอิสระเสรี เพื่อให้ ผู้บริโภคมีทางเลือกในการอ่านมากขึ้น
เคยมีข้อมูลที่เปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้ว่า มีนักเขียนไร้สังกัดนามว่า John Locke อายุ 60 ปี อดีตพนักงานประกันจาก รัฐเคนตั้กกี้ เขาไม่เคยเขียนหนังสือมาก่อน แต่ John ขายหนังสือผ่าน Amazon ได้ถึง 1 ล้าน Copies !!!! เรื่องนี้น่าสนใจเพราะเขาเองไม่มีแรงหนุนจากสำนักพิมพ์ใด ๆ เพื่อทำการตลาดให้ยอดขายเกิดขึ้นเลย แต่มันถูกขายบนระบบของ Amazon ที่เรียกว่า Kindle Direct Publishing John เลือกที่จะวางขายหนังสือบน Amazon โดยระบบ Kindle Direct Publishing แทนที่จะเลือกใช้สำนักพิมพ์ตามปรกติ ซึ่งทำยอดขายได้มากถึง 1,010,370 ชุด ซึ่งงานเขียนนี้เป็นเรื่องราวอาญชากรและการผจญภัยซึ่งขายราคาเพียงเล่มละ 99 เซนต์ หรือราว ๆ 30 บาท โดยเจ้าตัวบอกว่า เขาทำรายได้เข้าตัวเองเน็ต ๆ เล่มละ 35 เซนต์ หรือประมาณ 10 บาท เอาราคานี้ ไปคูณกับจำนวนเล่มที่ขายได้ ทำให้นักเขียนรายนี้มีเงินเข้ามาหาตัวเองซึ่งไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ นี้แหละ ธุรกิจหนังสือกำลังจะเปลี่ยนไปจริง ๆ แต่นั้น ที่เมืองนอกนะครับ เพราะบ้านเรา ยังนิยมอ่านหนังสือบน Kindle น้อยมาก ๆ เพื่อเทียบกับประเทศอเมริกา เพราะหนังสือส่วนใหญ่จะเป็นภาษาอังกฤษซะเยอะ
นี้เป็นแค่ตัวอย่างบางส่วนเท่านั้น แต่จริง ๆ ยังมีนักเขียนหลายคนมีผลงานที่โดดเด่นและสร้างเงินจากระบบ Ebook นี้ได้มากพอสมควรและ มีแนวโน้มว่าคนก็กำลังไหลเข้าไปสู่ระบบการเขียนเอง และขายเองในรูปแบบ Ebook มากขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่า ทำให้ สำนักพิมพ์เจอคู่แข่งทั้งสองด้านเลยทีเดียว
ด้านที่หนึ่ง การมาของระบบ Ebook ที่เอื้อให้ขายเอง พิมพ์เองจัดจำหน่ายเอง หากนักเขียน เจ๋งจริง พวกเค้าจะไม่ง้อ สำนักพิมพ์แล้ว ! .... ด้านที่สอง สำนักพิมพ์ก็เจอกับ การมาของ โลกดิจิตอลที่เอา content ต่าง ๆ มาเสริฟ์บนออนไลน์ทำให้คน เสพได้ง่าย ๆ และฟรี ๆ อย่าง Google , Youtube , Fan Page ซึ่งก็ทำให้ คนเลือกที่จะบริโภคข้อมูลข่าวสารในยุคแบบนี้แบบ รวดเร็ว ตรงประเด็นเท่านั้น ไม่ได้จำเป็นต้องควักเงินออกซื้อ หนังสือเหมือนเมื่อก่อน หรืออาจจะอาศัยช่องทางการดู Youtube รายการดี ๆ เนื้อหาดี ๆ ซึ่งก็เสมือนหนึ่งว่า ได้อ่านหนังสือเหมือนกัน ถือว่า สำนักพิมพ์เจอคู่แข่งสองด้านนี้หลัก ๆ เลยทีเดียว นี้ยังไม่รวมถึง ต้นทุนกระดาษที่เพิ่มขึ้นทุกปี การโดนบีบจาก ค่าจัดจำหน่ายจากหน้าร้านขนาดใหญ่และ การได้อยู่บนพื้นที่เด่น ๆ ในร้านหนังสือ ซึ่งมีผลต่อยอดขายและการติดอันดับ Best Seller ซึ่งมี รายได้เป็น เดิมพันของ สำนักพิมพ์แต่ละแห่งเอง .....
เมื่อคาดการณ์ถึงแนวโน้ม และโอกาสที่จะเกิดขึ้น กับวงการหนังสือในภาพรวม ( ขอบอกว่าภาพรวมนะครับ ไม่ได้เจาะจงประเทศใด ประเทศหนึ่ง ) ทำให้ผมค่อนข้างเชื่อว่า ท้ายที่สุด Ebook จะกลายมาเป็น พระเอกในแง่ของ การเข้าถึงและความรวดเร็วในการสื่อสาร Content กับผู้บริโภคมากกว่า แต่ในแง่ของคุณค่าทางจิตใจ และอรรรรสของการอ่านแล้ว หนังสือ หรือ The Book ก็ยังได้เปรียบกว่า Ebook มากอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ ต้นทุนของทำหนังสือ มันเป็นอุปสรรคสำคัญของ นักเขียน ที่อยากจะมีผลงานของตัวเองและ อยากจะส่งต่อไปยัง กลุ่มผู้อ่านแบบ Mass เท่านั้นเอง แต่ในทุกวันนี้ Ebook ได้เข้ามาเป็นตัวอุดช่องว่างตรงนั้นไว้แล้ว เมื่อเปิดโอกาสให้ คนธรรมดา ทั่วไป ที่มีเนื้อหาน่าสนใจ อยากแบ่งปันเรื่องราวประสบการณ์ของตัวเองในความชำนาญเฉพาะทางต่าง ๆ ได้ มี " พื้นที่ " ของตัวเองในการทำหนังสือออกมา สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ พอทุกคนทำได้ ออกได้ ก็จะส่งผลต่อ " คุณภาพ " ของหนังสือ หรือ Ebook มหาศาลที่ผลิตออกมา ทำให้ ผู้อ่านต้องพิจารณาเลือกอ่านให้ตรงกับความต้องการ และไม่เสียเวลาอ่านเยอะเกินไป จนหมดเวลา ลงมือทำ ! ก็แค่นั้นเองที่ผมคิดว่าเป็นปัญหา เพราะ พฤติกรรมคนอ่านจริงๆ ไม่ได้มีอะไรน่าเป็นห่วงมากไปกว่า การมัวแต่อ่าน อ่าน แล้วก็อ่าน แต่ไม่ลงมือทำ ........
ท้ายที่สุด กับคำถามที่ว่า การมาของ Ebook ซึ่งกำลังท้าชิง ตลาดนักอ่านตอนนี้ ถามว่า จริง ๆ แล้ว Ebook ชนะหรือยัง ผมเชื่อและฟันธงว่า ชนะแล้วในบางสมรภูมิ แต่ยังไม่เบ็ดเสร็จ ทั่วโลก เพราะเราเริ่มเห็นสัญญาณของยอดขายและปริมาณการบริโภคที่มากขึ้นของ Ebook ที่แซงหน้า หนังสือจริง ๆ บางแล้วในบางหมวดหมู่หรือ ในบางแถบของโลกนี้ ซึ่งแน่นอน Amazon คือ เจ้าตลาดใหญ่ที่มีฐานคนอ่านมากที่สุดผ่านทาง อาวุธเครื่องมือที่เรียกว่า Kindle ซึ่งกลายมาเป็นสงครามแย่งนักอ่านที่ต้องมาแย่งแชร์ตลาดกับ สื่อสังคมออนไลน์ทุกรูปแบบที่ ถล่มกระสุนแบบไม่มีการปราณีใคร ไม่ว่าจะเป็น Facebook , Twitter, Line , Youtube , ซึ่งต้องยอมรับว่า สื่อออนไลน์ ก็มีส่วนในการทำสงครามนักอ่านด้วยเช่นกัน เพราะโดนแย่งเวลาอ่านหนังสือไป ใช้งานกันมากขึ้น สังเกตว่า เราแต่ละคน ติด Smartphone กันหนักแค่ไหน และพฤติกรรมคนใช้งานคนรุ่นใหม่ก็มีมือถือ กลายอวัยวะชิ้นหนึ่งของร่างกายไปแล้วด้วย ! แต่สิ่งที่น่าสนใจไปมากกว่านั้นก็คือ ตลาดหนังสือโดยภาพรวมจะทำอย่างไรให้ รอดพ้นกับวิกฤติที่กำลังคืบคลานเข้ามา และปรับตัวให้อยู่รอดให้ได้ ในสถานการณ์ที่การแข่งขันรุนแรง และท้าทายยิ่งนัก สำนักพิมพ์เอง คนเขียนหนังสือเอง รวมถึงคนอ่านต้อง รู้เท่าทันสถานการณ์ และเลือกอ่านให้ตรงกับความชอบของตัวเอง คัดกรองเนื้อหาหนังสือ และนำสิ่งที่ได้อ่านไปพัฒนาตัวเองอย่างถูกต้อง มีประโยชน์ให้คุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป