ชีวิตพนักงานมหาวิทยาลัย
พนักงานมหาวิทยาลัย หรือ พนักงานในสถาบันอุดมศึกษา คือ บุคคลซึ่งได้รับการจ้างตามสัญญจ้างให้ปฏิบัติหน้าที่ราชการในสถาบันอุดมศึกษา โดยได้รับค่าจ้างหรือค่าตอบแทนจากเงินงบประมาณแผ่นดิน หรือเงินรายได้ของสถาบันอุดมศึกษา
ประวัติ
ในอดีตมีการกำหนดให้บุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการในสถาบันอุดมศึกษา มีสถานะเป็นข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา เมื่อ พ.ศ. 2507[1] ต่อมาในปี พ.ศ. 2542 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้จัดจ้างพนักงานทดแทนอัตราข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย เพื่อรองรับการออกนอกระบบในปี พ.ศ. 2545 โดยให้ได้รับเงินเดือนในอัตราที่มากกว่าข้าราชการ คือ เพิ่มขึ้น 1.7 เท่า สำหรับข้าราชการ สาย ก. และเพิ่มขึ้น 1.5 เท่า สำหรับข้าราชการ สาย ข. และ สาย ค. ตามข้อเสนอของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ซึ่งมีนายพิชัย รัตตกุล รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน[2] จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการกำหนดอัตราพนักงานมหาวิทยาลัย ทดแทนอัตราข้าราชการ
ต่อมาในปี พ.ศ. 2551 ได้มีการตราพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2551 ขึ้น จึงมีการกำหนดเกี่ยวกับพนักงานมหาวิทยาลัย อย่างเป็นทางการ
ปัจจุบันในสถาบันอุดมศึกษาไม่มีการบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาแล้ว โดยสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ จะใช้การบรรจุและแต่งตั้งพนักงานมหาวิทยาลัยทดแทนอัตราข้าราชการเดิม ซึ่งพนักงานมหาวิทยาลัย มีสิทธิที่จะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ และตำแหน่งผู้บริหารเช่นเดียวกันกับข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา[3]
ประเภท
พนักงานมหาวิทยาลัย แบ่งออกเป็น 3 ประเภท เช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ได้แก่
• (ก) ตำแหน่งวิชาการ ซึ่งทำหน้าที่สอนและวิจัย ได้แก่
• ศาสตราจารย์
• รองศาสตราจารย์
• ผู้ช่วยศาสตราจารย์
• อาจารย์
• (ข) ตำแหน่งประเภทผู้บริหาร ได้แก่
• อธิการบดี
• รองอธิการบดี
• คณบดี
• หัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ
• ผู้ช่วยอธิการบดี
• รองคณบดีหรือรองหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ
• ผู้อำนวยการสำนักงานอธิการบดี ผู้อำนวยการสำนักงานวิทยาเขต ผู้อำนวยการกอง หรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่ากอง
• (ค) ตำแหน่งประเภทวิชาชีพเฉพาะ หรือเชี่ยวชาญเฉพาะ ได้แก่
• ระดับเชี่ยวชาญพิเศษ
• ระดับเชี่ยวชาญ
• ระดับชำนาญการพิเศษ
• ระดับชำนาญการ
• ระดับปฏิบัติการ
• (ง) ตำแหน่งประเภททั่วไป ได้แก่
• ระดับชำนาญงานพิเศษ
• ระดับชำนาญงาน
• ระดับปฏิบัติงาน
อ้างอิง
1. พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2507
2.
http://www.cau.ku.ac.th/01_intro/resolution/2542_10_12.htm
3. พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2551
ข้อมูลข้างต้นนำมาจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
แต่ข้าพเจ้าขอให้ความหมายว่า พนักงานมหาวิทยาลัย คือ ลูกจ้างบริษัทที่ไม่มีโบนัส ไม่มีสวัสดิการใดนอกจากประกันสังคม
ขาดความมั่นคงและความยอมรับนับถือจากองค์กรอื่น ๆ เช่นจะไปกู้หรือทำธุรกิจที่ธนาคาร ธนาคารเขายังมองว่าสัญญาการทำงานของเราระยะสั้น
และขาดความมั่นใจที่จะให้สินเชื่อ นอกจากนี้เงินเดือนตามที่กล่าวว่าจะให้ 1.7 หรือ 1.5 เท่า เพื่อรองรับการออกนอกระบบในปี พ.ศ. 2545
ก็ไม่ได้เป็นไปตามนั้น 100 % เพราะมหาวิทยาลัยหักไว้ ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าหักไว้ทำไม ดังนั้นจึงคิดว่าไม่เป็นธรรมในเรื่องนี้เรายอมที่จะสูญเสียสวัสดิการทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนบุตร แต่กลับไม่ได้เงินเดือนที่กำหนดไว้
กระทู้นี้อาจดูทำให้ข้าพเจ้าดูเป็นคนขี้บ่น หรือเรียกร้องมากมาย แต่แท้จริงแล้วเพียงต้องการให้หันมามองพนักงานมหาวิทยาลัยที่เป็นคนขับเคลื่อนระบบการศึกษา แต่ถูกมองข้ามอย่างสิ้นเชิง (มีเพื่อนพนักงานฯด้วยกันบอกว่า รอไปอีกสัก 10-20 ปี เมื่อข้าราชการในมหาวิทยาลัยหมดไป เราอาจจะมีคนหันมามองบ้าง) อาจมีคนมองว่าให้ตั้งใจทำงานมากกว่าหวังผลตอบแทน การอยู่ในระบบการศึกษาควรมุ่งมั่นพัฒนาการศึกษามากกว่าเรื่องของตนเอง อันนี้แล้วแต่คนมองนะ ข้าพเจ้าคิดว่าคุณภาพการทำงานจะเกิดขึ้นได้ไม่ใช่ใจรักอย่างเดียว คงต้องมีองค์ประกอบอื่น ๆ ด้วย ก่อนหน้านี้มีกระทู้ของคุณครูท่านหนึ่งที่จบปริญญาโทแต่ได้เงินเดือนน้อยกว่าปริญญาตรี เห็นใจท่านเช่นกัน จึงลองเขียนกระทู้ของตนเองบ้าง (ข้าพเจ้าจบโท เงินเดือนก็น้อยกว่าเพื่อนที่ทำงานบริษัทฯซึ่งเขามีโบนัสด้วย...ปล.อาจมีคนมาตอบว่าก็ลาออกสิ เอิ่มคือถ้าลาออกเป็นทางที่ดีที่สุดคงออกแล้ว)...
ไม่มีใครอยากเอาเปรียบใครและไม่อยากถูกใครเอาเปรียบจริงไม๊ ?
ปล.ไม่รู้ว่าต้องแท๊กกลุ่มไหนถ้าผิดก็ขอโทษด้วยจ้า
ไม่มีใครอยากเอาเปรียบใครและไม่อยากถูกใครเอาเปรียบจริงไม๊ ?
พนักงานมหาวิทยาลัย หรือ พนักงานในสถาบันอุดมศึกษา คือ บุคคลซึ่งได้รับการจ้างตามสัญญจ้างให้ปฏิบัติหน้าที่ราชการในสถาบันอุดมศึกษา โดยได้รับค่าจ้างหรือค่าตอบแทนจากเงินงบประมาณแผ่นดิน หรือเงินรายได้ของสถาบันอุดมศึกษา
ประวัติ
ในอดีตมีการกำหนดให้บุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการในสถาบันอุดมศึกษา มีสถานะเป็นข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา เมื่อ พ.ศ. 2507[1] ต่อมาในปี พ.ศ. 2542 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้จัดจ้างพนักงานทดแทนอัตราข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย เพื่อรองรับการออกนอกระบบในปี พ.ศ. 2545 โดยให้ได้รับเงินเดือนในอัตราที่มากกว่าข้าราชการ คือ เพิ่มขึ้น 1.7 เท่า สำหรับข้าราชการ สาย ก. และเพิ่มขึ้น 1.5 เท่า สำหรับข้าราชการ สาย ข. และ สาย ค. ตามข้อเสนอของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ซึ่งมีนายพิชัย รัตตกุล รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน[2] จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการกำหนดอัตราพนักงานมหาวิทยาลัย ทดแทนอัตราข้าราชการ
ต่อมาในปี พ.ศ. 2551 ได้มีการตราพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2551 ขึ้น จึงมีการกำหนดเกี่ยวกับพนักงานมหาวิทยาลัย อย่างเป็นทางการ
ปัจจุบันในสถาบันอุดมศึกษาไม่มีการบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาแล้ว โดยสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ จะใช้การบรรจุและแต่งตั้งพนักงานมหาวิทยาลัยทดแทนอัตราข้าราชการเดิม ซึ่งพนักงานมหาวิทยาลัย มีสิทธิที่จะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ และตำแหน่งผู้บริหารเช่นเดียวกันกับข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา[3]
ประเภท
พนักงานมหาวิทยาลัย แบ่งออกเป็น 3 ประเภท เช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ได้แก่
• (ก) ตำแหน่งวิชาการ ซึ่งทำหน้าที่สอนและวิจัย ได้แก่
• ศาสตราจารย์
• รองศาสตราจารย์
• ผู้ช่วยศาสตราจารย์
• อาจารย์
• (ข) ตำแหน่งประเภทผู้บริหาร ได้แก่
• อธิการบดี
• รองอธิการบดี
• คณบดี
• หัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ
• ผู้ช่วยอธิการบดี
• รองคณบดีหรือรองหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ
• ผู้อำนวยการสำนักงานอธิการบดี ผู้อำนวยการสำนักงานวิทยาเขต ผู้อำนวยการกอง หรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่ากอง
• (ค) ตำแหน่งประเภทวิชาชีพเฉพาะ หรือเชี่ยวชาญเฉพาะ ได้แก่
• ระดับเชี่ยวชาญพิเศษ
• ระดับเชี่ยวชาญ
• ระดับชำนาญการพิเศษ
• ระดับชำนาญการ
• ระดับปฏิบัติการ
• (ง) ตำแหน่งประเภททั่วไป ได้แก่
• ระดับชำนาญงานพิเศษ
• ระดับชำนาญงาน
• ระดับปฏิบัติงาน
อ้างอิง
1. พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2507
2. http://www.cau.ku.ac.th/01_intro/resolution/2542_10_12.htm
3. พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2551
ข้อมูลข้างต้นนำมาจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
แต่ข้าพเจ้าขอให้ความหมายว่า พนักงานมหาวิทยาลัย คือ ลูกจ้างบริษัทที่ไม่มีโบนัส ไม่มีสวัสดิการใดนอกจากประกันสังคม
ขาดความมั่นคงและความยอมรับนับถือจากองค์กรอื่น ๆ เช่นจะไปกู้หรือทำธุรกิจที่ธนาคาร ธนาคารเขายังมองว่าสัญญาการทำงานของเราระยะสั้น
และขาดความมั่นใจที่จะให้สินเชื่อ นอกจากนี้เงินเดือนตามที่กล่าวว่าจะให้ 1.7 หรือ 1.5 เท่า เพื่อรองรับการออกนอกระบบในปี พ.ศ. 2545
ก็ไม่ได้เป็นไปตามนั้น 100 % เพราะมหาวิทยาลัยหักไว้ ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าหักไว้ทำไม ดังนั้นจึงคิดว่าไม่เป็นธรรมในเรื่องนี้เรายอมที่จะสูญเสียสวัสดิการทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนบุตร แต่กลับไม่ได้เงินเดือนที่กำหนดไว้
กระทู้นี้อาจดูทำให้ข้าพเจ้าดูเป็นคนขี้บ่น หรือเรียกร้องมากมาย แต่แท้จริงแล้วเพียงต้องการให้หันมามองพนักงานมหาวิทยาลัยที่เป็นคนขับเคลื่อนระบบการศึกษา แต่ถูกมองข้ามอย่างสิ้นเชิง (มีเพื่อนพนักงานฯด้วยกันบอกว่า รอไปอีกสัก 10-20 ปี เมื่อข้าราชการในมหาวิทยาลัยหมดไป เราอาจจะมีคนหันมามองบ้าง) อาจมีคนมองว่าให้ตั้งใจทำงานมากกว่าหวังผลตอบแทน การอยู่ในระบบการศึกษาควรมุ่งมั่นพัฒนาการศึกษามากกว่าเรื่องของตนเอง อันนี้แล้วแต่คนมองนะ ข้าพเจ้าคิดว่าคุณภาพการทำงานจะเกิดขึ้นได้ไม่ใช่ใจรักอย่างเดียว คงต้องมีองค์ประกอบอื่น ๆ ด้วย ก่อนหน้านี้มีกระทู้ของคุณครูท่านหนึ่งที่จบปริญญาโทแต่ได้เงินเดือนน้อยกว่าปริญญาตรี เห็นใจท่านเช่นกัน จึงลองเขียนกระทู้ของตนเองบ้าง (ข้าพเจ้าจบโท เงินเดือนก็น้อยกว่าเพื่อนที่ทำงานบริษัทฯซึ่งเขามีโบนัสด้วย...ปล.อาจมีคนมาตอบว่าก็ลาออกสิ เอิ่มคือถ้าลาออกเป็นทางที่ดีที่สุดคงออกแล้ว)...
ไม่มีใครอยากเอาเปรียบใครและไม่อยากถูกใครเอาเปรียบจริงไม๊ ?
ปล.ไม่รู้ว่าต้องแท๊กกลุ่มไหนถ้าผิดก็ขอโทษด้วยจ้า