สวัสดีครับ จากวันนั้น ถึงวันนี้ 264 วัน ผ่านไปไวมากครับ ทุกนาทีที่ผ่านไปมีเรื่องราวผ่านเข้ามามากมาย เรื่องร้ายเรื่องดี วันนี้อยากนำประสบการณ์ตลอด 264 วัน มาเล่าสู่ผู้ที่เคยติดตาม ผู้ที่เคยสนใจในเรื่องราวของผม ก่อนอื่นขอกล่าวถึง * [แรงบันดาลใจ]จากความฝันสู่ความจริง (มีเงิน 5 ล้านก่อนอายุ 25) *
มีหลายๆคน ส่งข้อความและตามหาผมเพื่อขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจ และ กำลังใจ ผมไม่เคยคิดว่าจะมีคนมากมายได้สิ่งดีๆจากประสบการณ์ในชีวิตของผม ดีใจครับ บอกตรงๆ ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในกำลังใจ แรงบันดาลใจให้คนมีกำลังใจต่อสู้ครับ
วันนี้กลับมาอีกครั้งครับ กลับมาแชร์ กลับมาเล่า ชีวิตลอด 264 วัน ตอนนี้ก็อายุ 25 ปีเต็มสักทีครับ อยากให้ประสบการณ์ เรื่องราวของผม เป็นเชื้อเพลิงให้หลายๆท่าน ให้สู้กับชีวิต ตั้งใจกับสิ่งที่เรารัก เชื่อในสิ่งที่เราทำ ความมุ่งมั่น ความพยายามจะทำให้เราประสบความสำเร็จ
จากเรื่องราวที่ต่อจากเดิมของผมไปสิ้นสุดช่วง ธ.ค. ปีที่แล้ว เริ่มต้นปีมาผมก็ยังทำงานอย่างเช่นเคย แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปจากเดิมคือ ก่อนต้นปีผมเริ่มมีความคิดจะขยับขยายกิจการ เริ่มมีแนวคิดที่จะรับ และ หาคนมาช่วย แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดจะหาจริงจัง ก็ยังทำงานคนเดียวมาเรื่อยๆ จนช่วงปีใหม่ผมได้มีโอกาสรู้จักกับรุ่นน้องที่เป็นเพื่อนของผมที่ยังคงเรียนมหาลัยอยู่ โดยผมได้ชวนน้องเค้าไปเที่ยวปีใหม่กับผมและช่างไปด้วยกัน แรกเริ่มก็ยังไม่สนิทสนมอะไรกันครับ ปกติคนรู้จักทั่วไป จนกลับมาจากเที่ยวปีใหม่ น้องเค้าขอมาช่วยทำงานด้วย ผมก็ลองดูครับ ให้โอกาสน้องเค้ามาลองทำงาน เหมือนที่ผมเคยได้โอกาส ทำงานด้วยกันแรกน้องยังไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลยครับ ทำงานก็ไม่ได้โดนเด่น เหมือนนักศึกษาทำงานส่งอาจารย์โดยทั่วไป แต่การมาของน้องก็ช่วยงานผมไปได้ส่วนหนึ่งครับ เหมือนน้องมาหัดงานมากกว่า ผ่านไปจนครบหนึ่งเดือนครับ ผีมือน้องดีขึ้นแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นจะทำงานอะไรได้มากมายครับ ผมก็ยังคงทำงานแบบ และวิ่งดูหน้างาน ตามปกติ แต่ช่วง เดือน ก.พ. ผมได้น้องที่เคยฝึกงาน มาทำงานด้วยในตำแหน่ง หัวหน้าควบคุมงานครับ บอกได้เลยว่า ผมได้คน 2 คนมาช่วยทำงาน แต่ดันไม่เป็นงานเลยทั้งคู่ สิ่งที่รู้สึกและรับรู้ได้เลยคือ เหนื่อยกว่าเดิมครับ อะไรที่เคยทำเองแล้วมันจบง่ายเพราะเราเคยมีประสบการณ์ แต่ตอนนี้ต้องมานั่งตามแก้ครับ เหนื่อยกว่าเดิมอีก ช่วงนี้น้องๆก็มาพักที่บ้านกันหมดเลยครับ ดึกก็นั่งทำงานกัน นอนกันตรงนั้นเลย
แต่แล้วออฟพิศของผมก็เสร็จ บ้านหลังใหม่และครอบครัวใหม่ของผม ช่วงแรกก็ยังไม่ค่อยอยู่ตัวครับ ปกติทำอะไรด้วยตัวคนเดียว ตอนนี้มีน้องๆมาคอยขัดขา ลำบากขึ้นกว่าเดิมนิดนึงครับ ตอนนี้เรามีกัน 3 คนครับ ดีไซน์เนอร์ โฟร์แมน และผม แต่เหนือสิ่งอื่นใด แล้วใครจะมาดูแลเรื่องบัญชีละ??? ใครจะมาดูแลเรื่องเอกสาร
ความคิดแว่บแรกที่เข้ามาในหัวเลยคือ จ้างพนักงาน แต่ จะมีใครที่มี Life style เหมือนกับเราเพราะออฟพิศเราทำงานไม่เหมือนคนอื่น ทำงานเหมือนพี่น้องช่วยกันทำงานครับ ซึ่งตอนนั้น เวลาช่างประจวบเหมาะ แฟนผมออกจากงาน Call center (ซึ่งจริงๆผมอยากได้คนดูแลที่สามารถรับเรื่องงานจากลูกค้าได้ด้วยเลยได้โอกาส) ผมเลยให้แฟนมาช่วยงานในช่วงนี้ บอกได้เลยครับ ไม่ได้สบายขึ้นอย่างที่คิด ทุกคนมาเริ่มใหม่ทุกคน ผมคิดเสมอว่าการปั้น การสอนใคร นั้นเป็นเรื่องยาก แต่สิ่งที่ทำให้ความคิดของผมเปลี่ยนไป คือ การที่น้องทั้ง 2 คนและแฟนผม มีความตั้งใจ ถึงแม้จะไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มากสักเท่าไหร่ ผมเชื่อเสมอว่าถ้าคนเรามี ความตั้งใจ และความพยายามย่อมประสบความสำเร็จ น้อง 2 คนและแฟนทำให้ผมย้อนคิดถึงหลักการที่เคยอ่านและพบเจอในหนังสือ คือ มีคนเก่งมาทำงาน ไม่เท่ามีคนตั้งใจมาทำงาน มีคนตั้งใจมาทำงาน ไม่เท่ามีดีมาทำงาน มีคนดีมาทำงานไม่เท่ามีคนสม่ำเสมอมาทำงาน ผมโชคดี ตรงที่น้องทั้ง 2 คน เป็นคนดี และ คนสม่ำเสมอ (และขยันมาก)
หลังจากผมได้คนมาช่วยในการทำงานในส่นของออฟพิศแล้ว ในช่วงนี้ผมมีช่างที่ทำงานด้วย อย่างมีคุณภาพอยู่ 5 ชุด ประกอบด้วย
1.ช่างไม้ (มี 2 ทีม ทีมละ 2 คน)
2.ช่างสี (มี 1 ทีม ทีมละ 4 คน)
3.ช่างไฟฟ้า (มี 1 ทีม ทีมละ 2 คน)
4.ช่างหิน (มี 1 ทีม ทีมละ 2 คน)
ผมมีทีมงานที่มาฝากชีวิตไว้กับผมอยู่ 10 คน
ช่วงเดือน เมษายน ผมก็ยังคงทำงานตามปกติ แต่ในช่วงนี้เริ่มมีงานเข้ามามากขึ้นช่างที่เคยพอกลับกลายเป็นมีจำนวนไม่เพียงพอ ผมเลยพยายามมองหาช่างเพิ่มเติม ก็ถือว่าเป็นความโชคดีของชีวิตผมครับ ผมได้ช่างใหม่เข้ามาช่วยงาน ช่างนิสัยดีครับ ขยันตั้งใจทำงาน เราเลยเริ่มเจาะตลาดคอนโดระดับสูงมากขึ้น งานลูกค้าบ้านมีงบขึ้นต่ำ งานบ้านตัวอย่าง ตอนนี้ทุกเดือนก็มีงานรอมีการจองคิวล่วงหน้าตลอดครับ
โดยผมเริ่มทำงานสบายขึ้น น้องทั้ง 2 คนเริ่มมองงานและทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ภายในระยะเวลาประมาณ 2 เดือน เก่งขึ้นกันอย่างเห็นได้ชัด (ทุกอย่างเกิดจากความตั้งใจ การโดนด่าแล้วนำไปแก้ไข ปรับปรุง เปิดรับความคิดและมุมมอง) เวลาก็ผ่านไปจนถึงช่วง วันหยุดประจำปี รอบ 1 คือสงกรานณ์ ก็แยกย้ายกันกลับบ้านครับ โดยทางทีมงานของผมจะหยุดกันค่อนข้างหลายวันครับ เพราะเหมือนเราเหนื่อยจากงาน ทำงานแทบจะไม่หยุดกันเลย จนเปิดวันทำงานวันแรก ช่างไม้ แต่ละทีมได้มีคนมาช่วยทำงานเพิ่มเป็น 2-3 คน ผมลืมเล่าถึงช่างไม้ทั้งสองทีมครับ จะว่าไปก็อีกละครับ ทั้ง 2 คนมาทำงานกับผมตอนไม่มีอะไรเลย มีแต่หนี้ครับ มาทำงานกับผมในตอนแรกเครื่องมีก็มีแค่ สว่านกับปืนลม ผมก็เอาก็เอาเริ่มพร้อมกันนี่แหละ ใครจะเชื่อครับ จากคนตัวเปล่าไม่น่าจะมีอะไรเลย วันนี้สามารถออกรถ และ มีลูกน้องมากมาย เชื่อผมเถอะครับการให้โอกาสกับคน กับทุกคนที่มีความตั้งใจและพยายาม สิ่งดีจะคืนมาสู๋ตัวเราเอง ช่วงเดือน พ.ค. งานเริ่มเข้มข้น งานเยอะมากครับ ทำงานกันเลิก 2 ทุ่ม - 4 ทุ่มแทบทุกวัน เหนื่อยมากครับ ยอมรับครับ น้องสู้กันมาก เลิกงานแล้วยังทำงานต่อยัน ดึกๆตลอด อีกคนออกดูงานข้าวปลาไม่กินรีบทำแต่งาน อยากให้วัยรุ่นยุคใหม่มีความตั้งใจและความพยายามแบบน้องแต่ละคนครับ เชื่อได้เลยทุกๆที่ต้องอยากให้เราไปทำงานด้วยอย่างแน่นอน เหมือนทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีครับ การได้อะไรมาโดยไม่เสียอะไร มันเป็นไปได้ยาก ผมทำงานหนัก หนักตลอดมาจนสิ่งที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดก็เกิดครับ นั่นคือ สุขภาพครับ จากคนแข็งแรง ช่วงนั้นก็เป็นโรคครับ เบาความ ความดัน ไขมัน และ ภูมิแพ้ สมบัติส่วนตัวถามหาครับ จากวันนั้นก็ยังไม่คิดอะไรครับ คิดว่าคนอื่นเค้าก็เป็นก็ยังใช้ชีวิตรูปแบบเดิมๆ ตลอดมา แต่อย่างน้อยผมก็ยังดูแลตัวเองในส่วนเรื่องภูมิแพ้ครับ มันมีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมต้องหันมาใส่ใจในเรื่องนี้ โดย ผมเป็นคนสูบบุหรี่จัดมากครับ วันนึงก็ 2-3 ซอง ช่วงแรกก็ไม่มีอะไรครับ ฝืนดูดแม้หายใจไม่ออก เพราะภูมิแพ้ แต่มีอยู่วันนึงผมหายใจไม่ออกเลยครับ ทรมาณเหมือนโดนใครบีบจมูกไว้ หายใจทางปากไม่คล่องด้วย หนักครับ เกือบเข้าโรงพยาบาล จากวันนั้นพยายามเลิกครับ แต่ก็ไม่เข้มแข็งพอ ช่วงนั้นตรงกับเทศกาลกินเจครับ ผมเลยถือโอกาส งดบุหรี่ ถือ ศีลกินเจ อย่างสัก 7 วันน่าจะช่วยอะไรขึ้นมาบ้าง ก็ปกติทั่วไปครับ ทานเจ ถือศีล แต่พอถึงวันที่ 7 ผมตัดสินใจมาถึงขั้นนี้หักดิบเลิกเลยดีกว่า จากวันนั้นถึงวันนี้ก็น่าจะ เกือบปีละครับที่ผมไม่สูบบุหรี่ หลายๆคนมาถามผมใช้วิธีอะไร ทำยังไงผมบอกได้เลยครับ เข้มแข็ง พยายาม อดทน ชนะอะไรไม่เท่าชนะใจตัวเองครับ ร่างเป็นของเราเอง เราต้องควบคุมตัวเองให้ได้ครับ แต่ก็มีสิ่งที่แลกมาครับ ผมกินแหลกเลยครับอ้วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอ้วยมากครับ น้ำหนักจาก 100 ขึ้นมาเรื่อยๆจนปัจจุบัน 125 เลยครับ
[แรงบันดาลใจ] จากความฝันสู่ความจริง 2 (อายุ 25 กับเงิน 30 ล้าน)
มีหลายๆคน ส่งข้อความและตามหาผมเพื่อขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจ และ กำลังใจ ผมไม่เคยคิดว่าจะมีคนมากมายได้สิ่งดีๆจากประสบการณ์ในชีวิตของผม ดีใจครับ บอกตรงๆ ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในกำลังใจ แรงบันดาลใจให้คนมีกำลังใจต่อสู้ครับ
วันนี้กลับมาอีกครั้งครับ กลับมาแชร์ กลับมาเล่า ชีวิตลอด 264 วัน ตอนนี้ก็อายุ 25 ปีเต็มสักทีครับ อยากให้ประสบการณ์ เรื่องราวของผม เป็นเชื้อเพลิงให้หลายๆท่าน ให้สู้กับชีวิต ตั้งใจกับสิ่งที่เรารัก เชื่อในสิ่งที่เราทำ ความมุ่งมั่น ความพยายามจะทำให้เราประสบความสำเร็จ
จากเรื่องราวที่ต่อจากเดิมของผมไปสิ้นสุดช่วง ธ.ค. ปีที่แล้ว เริ่มต้นปีมาผมก็ยังทำงานอย่างเช่นเคย แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปจากเดิมคือ ก่อนต้นปีผมเริ่มมีความคิดจะขยับขยายกิจการ เริ่มมีแนวคิดที่จะรับ และ หาคนมาช่วย แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดจะหาจริงจัง ก็ยังทำงานคนเดียวมาเรื่อยๆ จนช่วงปีใหม่ผมได้มีโอกาสรู้จักกับรุ่นน้องที่เป็นเพื่อนของผมที่ยังคงเรียนมหาลัยอยู่ โดยผมได้ชวนน้องเค้าไปเที่ยวปีใหม่กับผมและช่างไปด้วยกัน แรกเริ่มก็ยังไม่สนิทสนมอะไรกันครับ ปกติคนรู้จักทั่วไป จนกลับมาจากเที่ยวปีใหม่ น้องเค้าขอมาช่วยทำงานด้วย ผมก็ลองดูครับ ให้โอกาสน้องเค้ามาลองทำงาน เหมือนที่ผมเคยได้โอกาส ทำงานด้วยกันแรกน้องยังไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลยครับ ทำงานก็ไม่ได้โดนเด่น เหมือนนักศึกษาทำงานส่งอาจารย์โดยทั่วไป แต่การมาของน้องก็ช่วยงานผมไปได้ส่วนหนึ่งครับ เหมือนน้องมาหัดงานมากกว่า ผ่านไปจนครบหนึ่งเดือนครับ ผีมือน้องดีขึ้นแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นจะทำงานอะไรได้มากมายครับ ผมก็ยังคงทำงานแบบ และวิ่งดูหน้างาน ตามปกติ แต่ช่วง เดือน ก.พ. ผมได้น้องที่เคยฝึกงาน มาทำงานด้วยในตำแหน่ง หัวหน้าควบคุมงานครับ บอกได้เลยว่า ผมได้คน 2 คนมาช่วยทำงาน แต่ดันไม่เป็นงานเลยทั้งคู่ สิ่งที่รู้สึกและรับรู้ได้เลยคือ เหนื่อยกว่าเดิมครับ อะไรที่เคยทำเองแล้วมันจบง่ายเพราะเราเคยมีประสบการณ์ แต่ตอนนี้ต้องมานั่งตามแก้ครับ เหนื่อยกว่าเดิมอีก ช่วงนี้น้องๆก็มาพักที่บ้านกันหมดเลยครับ ดึกก็นั่งทำงานกัน นอนกันตรงนั้นเลย
แต่แล้วออฟพิศของผมก็เสร็จ บ้านหลังใหม่และครอบครัวใหม่ของผม ช่วงแรกก็ยังไม่ค่อยอยู่ตัวครับ ปกติทำอะไรด้วยตัวคนเดียว ตอนนี้มีน้องๆมาคอยขัดขา ลำบากขึ้นกว่าเดิมนิดนึงครับ ตอนนี้เรามีกัน 3 คนครับ ดีไซน์เนอร์ โฟร์แมน และผม แต่เหนือสิ่งอื่นใด แล้วใครจะมาดูแลเรื่องบัญชีละ??? ใครจะมาดูแลเรื่องเอกสาร
ความคิดแว่บแรกที่เข้ามาในหัวเลยคือ จ้างพนักงาน แต่ จะมีใครที่มี Life style เหมือนกับเราเพราะออฟพิศเราทำงานไม่เหมือนคนอื่น ทำงานเหมือนพี่น้องช่วยกันทำงานครับ ซึ่งตอนนั้น เวลาช่างประจวบเหมาะ แฟนผมออกจากงาน Call center (ซึ่งจริงๆผมอยากได้คนดูแลที่สามารถรับเรื่องงานจากลูกค้าได้ด้วยเลยได้โอกาส) ผมเลยให้แฟนมาช่วยงานในช่วงนี้ บอกได้เลยครับ ไม่ได้สบายขึ้นอย่างที่คิด ทุกคนมาเริ่มใหม่ทุกคน ผมคิดเสมอว่าการปั้น การสอนใคร นั้นเป็นเรื่องยาก แต่สิ่งที่ทำให้ความคิดของผมเปลี่ยนไป คือ การที่น้องทั้ง 2 คนและแฟนผม มีความตั้งใจ ถึงแม้จะไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มากสักเท่าไหร่ ผมเชื่อเสมอว่าถ้าคนเรามี ความตั้งใจ และความพยายามย่อมประสบความสำเร็จ น้อง 2 คนและแฟนทำให้ผมย้อนคิดถึงหลักการที่เคยอ่านและพบเจอในหนังสือ คือ มีคนเก่งมาทำงาน ไม่เท่ามีคนตั้งใจมาทำงาน มีคนตั้งใจมาทำงาน ไม่เท่ามีดีมาทำงาน มีคนดีมาทำงานไม่เท่ามีคนสม่ำเสมอมาทำงาน ผมโชคดี ตรงที่น้องทั้ง 2 คน เป็นคนดี และ คนสม่ำเสมอ (และขยันมาก)
หลังจากผมได้คนมาช่วยในการทำงานในส่นของออฟพิศแล้ว ในช่วงนี้ผมมีช่างที่ทำงานด้วย อย่างมีคุณภาพอยู่ 5 ชุด ประกอบด้วย
1.ช่างไม้ (มี 2 ทีม ทีมละ 2 คน)
2.ช่างสี (มี 1 ทีม ทีมละ 4 คน)
3.ช่างไฟฟ้า (มี 1 ทีม ทีมละ 2 คน)
4.ช่างหิน (มี 1 ทีม ทีมละ 2 คน)
ผมมีทีมงานที่มาฝากชีวิตไว้กับผมอยู่ 10 คน
ช่วงเดือน เมษายน ผมก็ยังคงทำงานตามปกติ แต่ในช่วงนี้เริ่มมีงานเข้ามามากขึ้นช่างที่เคยพอกลับกลายเป็นมีจำนวนไม่เพียงพอ ผมเลยพยายามมองหาช่างเพิ่มเติม ก็ถือว่าเป็นความโชคดีของชีวิตผมครับ ผมได้ช่างใหม่เข้ามาช่วยงาน ช่างนิสัยดีครับ ขยันตั้งใจทำงาน เราเลยเริ่มเจาะตลาดคอนโดระดับสูงมากขึ้น งานลูกค้าบ้านมีงบขึ้นต่ำ งานบ้านตัวอย่าง ตอนนี้ทุกเดือนก็มีงานรอมีการจองคิวล่วงหน้าตลอดครับ
โดยผมเริ่มทำงานสบายขึ้น น้องทั้ง 2 คนเริ่มมองงานและทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ภายในระยะเวลาประมาณ 2 เดือน เก่งขึ้นกันอย่างเห็นได้ชัด (ทุกอย่างเกิดจากความตั้งใจ การโดนด่าแล้วนำไปแก้ไข ปรับปรุง เปิดรับความคิดและมุมมอง) เวลาก็ผ่านไปจนถึงช่วง วันหยุดประจำปี รอบ 1 คือสงกรานณ์ ก็แยกย้ายกันกลับบ้านครับ โดยทางทีมงานของผมจะหยุดกันค่อนข้างหลายวันครับ เพราะเหมือนเราเหนื่อยจากงาน ทำงานแทบจะไม่หยุดกันเลย จนเปิดวันทำงานวันแรก ช่างไม้ แต่ละทีมได้มีคนมาช่วยทำงานเพิ่มเป็น 2-3 คน ผมลืมเล่าถึงช่างไม้ทั้งสองทีมครับ จะว่าไปก็อีกละครับ ทั้ง 2 คนมาทำงานกับผมตอนไม่มีอะไรเลย มีแต่หนี้ครับ มาทำงานกับผมในตอนแรกเครื่องมีก็มีแค่ สว่านกับปืนลม ผมก็เอาก็เอาเริ่มพร้อมกันนี่แหละ ใครจะเชื่อครับ จากคนตัวเปล่าไม่น่าจะมีอะไรเลย วันนี้สามารถออกรถ และ มีลูกน้องมากมาย เชื่อผมเถอะครับการให้โอกาสกับคน กับทุกคนที่มีความตั้งใจและพยายาม สิ่งดีจะคืนมาสู๋ตัวเราเอง ช่วงเดือน พ.ค. งานเริ่มเข้มข้น งานเยอะมากครับ ทำงานกันเลิก 2 ทุ่ม - 4 ทุ่มแทบทุกวัน เหนื่อยมากครับ ยอมรับครับ น้องสู้กันมาก เลิกงานแล้วยังทำงานต่อยัน ดึกๆตลอด อีกคนออกดูงานข้าวปลาไม่กินรีบทำแต่งาน อยากให้วัยรุ่นยุคใหม่มีความตั้งใจและความพยายามแบบน้องแต่ละคนครับ เชื่อได้เลยทุกๆที่ต้องอยากให้เราไปทำงานด้วยอย่างแน่นอน เหมือนทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีครับ การได้อะไรมาโดยไม่เสียอะไร มันเป็นไปได้ยาก ผมทำงานหนัก หนักตลอดมาจนสิ่งที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดก็เกิดครับ นั่นคือ สุขภาพครับ จากคนแข็งแรง ช่วงนั้นก็เป็นโรคครับ เบาความ ความดัน ไขมัน และ ภูมิแพ้ สมบัติส่วนตัวถามหาครับ จากวันนั้นก็ยังไม่คิดอะไรครับ คิดว่าคนอื่นเค้าก็เป็นก็ยังใช้ชีวิตรูปแบบเดิมๆ ตลอดมา แต่อย่างน้อยผมก็ยังดูแลตัวเองในส่วนเรื่องภูมิแพ้ครับ มันมีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมต้องหันมาใส่ใจในเรื่องนี้ โดย ผมเป็นคนสูบบุหรี่จัดมากครับ วันนึงก็ 2-3 ซอง ช่วงแรกก็ไม่มีอะไรครับ ฝืนดูดแม้หายใจไม่ออก เพราะภูมิแพ้ แต่มีอยู่วันนึงผมหายใจไม่ออกเลยครับ ทรมาณเหมือนโดนใครบีบจมูกไว้ หายใจทางปากไม่คล่องด้วย หนักครับ เกือบเข้าโรงพยาบาล จากวันนั้นพยายามเลิกครับ แต่ก็ไม่เข้มแข็งพอ ช่วงนั้นตรงกับเทศกาลกินเจครับ ผมเลยถือโอกาส งดบุหรี่ ถือ ศีลกินเจ อย่างสัก 7 วันน่าจะช่วยอะไรขึ้นมาบ้าง ก็ปกติทั่วไปครับ ทานเจ ถือศีล แต่พอถึงวันที่ 7 ผมตัดสินใจมาถึงขั้นนี้หักดิบเลิกเลยดีกว่า จากวันนั้นถึงวันนี้ก็น่าจะ เกือบปีละครับที่ผมไม่สูบบุหรี่ หลายๆคนมาถามผมใช้วิธีอะไร ทำยังไงผมบอกได้เลยครับ เข้มแข็ง พยายาม อดทน ชนะอะไรไม่เท่าชนะใจตัวเองครับ ร่างเป็นของเราเอง เราต้องควบคุมตัวเองให้ได้ครับ แต่ก็มีสิ่งที่แลกมาครับ ผมกินแหลกเลยครับอ้วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอ้วยมากครับ น้ำหนักจาก 100 ขึ้นมาเรื่อยๆจนปัจจุบัน 125 เลยครับ