ในปัจจุบันนั้นการค้ำประกันดูจะจำเป็นกับการประกอบกิจการของสถาบันการเงินต่างๆเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะการให้สินเชื่อแก่บุคคลธรรมดาทั่วไป เพราะผู้ประกอบกิจการไม่มั่นใจความสามารถในการชำระหนี้
ของผู้ขอสินเชื่อ ทั้งผู้ประกอบการก็ต้องการหลักประกันที่แน่นอนว่าจะได้รับเงินต้นสินเชื่อพร้อมดอกเบี้ยคืน
และเพื่อความั่นคงของบริษัท
กฎหมายเรื่องการค้ำประกันจึงมีความจำเป็น และเข้ามามีบทบาทในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินมากขึ้น
วันนี้ผมจึงขอนำหลักกฎหมายว่าด้วยเรื่องของการ "ค้ำประกัน" มาอธิบายให้เพื่อนๆชาวพันทิพทุกคนได้เข้าใจ
ถึงหลักการและสิทธิหน้าที่ต่างๆของทั้งเจ้าหนี้ ลูกหนี้ และผู้ค้ำประกัน ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายการค้ำประกัน
ตามประมาลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้**ม. = มาตรา / ว. = วรรค
ลักษณะของสัญญาค้ำประกันนั้นเป็นไป ม.680 ว.1 ครับ
>ค้ำประกัน คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ได้ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้ เพื่อชำระหนี้
ให้แก่เจ้าหนี้ ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ หรือกล่าวง่ายๆก็คือ ถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันก็ต้องชำระหนี้
ให้แก่เจ้าหนี้ แทนลูกหนี้นั่นเอง
>โดยสัญญาค้ำประกันนั้นต้องทำเป็นหนังสือสัญญา และลงลายมือชื่อของผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ
หากไม่ทำเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีต่อศาลไม่ได้(ม.680 ว.2)
เจ้าหนี้จะเรียกเอาจากผู้ค้ำประกันได้ก็ต่อเมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้เท่านั้น(ม.686)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เรื่องผิดนัดชำระหนี้นั้นจะเขียนอย่างละเอียดอีกทีในกระทู้หน้าครับ
โดยก่อนที่จะเรียกเอาจากผู้ค้ำประกัน เจ้าหนี้ต้องเรียกชำระหนี้เอาจากลูกหนี้เสียก่อน
หากเจ้าหนี้เรียกเอาจากผู้ค้ำประกันโดยยังไม่ได้เรียกเอาจากลูกหนี้ก่อน ผู้ค้ำประกันมีสิทธิที่จะบอกปัด
ให้เจ้าหนี้ไปเรียกชำระหนี้เอากับลูกหนี้ก่อนได้(ม.688)
เมื่อผู้ค้ำประกันบอกปัดเจ้าหนี้ตาม ม.688 แล้ว เจ้าหนี้ยังเรียกเอาจากลูกหนี้ไม่ได้ ก็มีสิทธิที่จะมาเรียกเอาจากผู้ค้ำประกันได้
แต่หากผู้ค้ำประกันพิสูจน์ได้ว่าลูกหนี้นั้นสามารถชำระหนี้ได้ และการบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั้นไม่เป็นเป็นการยาก
เจ้าหนี้ก็จะต้องบังคับให้ชำระหนี้เอากับทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อน(ม.689)
การพิสูจน์ตาม ม.689 ก็เช่น ลูกหนี้มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่ชัด ตามตัวลูกหนี้ได้ และลูกหนี้มีทรัพย์สินที่จะให้บังคับชำระหนี้ได้โดยไม่ยาก
เจ้าหนี้ก็ต้องบังคับเอากับทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อน ซึ่งคำว่าไม่ยากนี้คือตัวอย่างเช่น ตามตัวลูกหนี้ได้ ลูกหนี้มีทรัพย์สินให้ฟ้องร้อง
บังคับขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
นอกจากนี้ในกรณีที่ลูกหนี้ได้มอบ ทรัพย์ ให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นประกัน
ผู้ค้ำประกันมีสิทธิร้องขอให้เจ้าหนี้บังคับชำระหนี้เอากับทรัพย์สินที่ลูกหนี้ให้ไว้เป็นประกันก่อน
ที่จะมาบังคับเอากับผู้ค้ำประกันได้(ม.690)
ถ้าเจ้าหนี้เรียกเอาจากลูกหนี้ไม่ได้ และผู้ค้ำประกันได้ใช้สิทธิ บอกปัด(ม.688) พิสูจน์(ม.689) ร้องขอ(ม.690)แล้ว
เจ้าหนี้ก็ยังเรียกเอาจากลูกหนี้ไม่ได้ ก็ถึงคราวซวยของผู้ค้ำประกันแล้วล่ะครับ
โดยผู้ค้ำประกันต้องชำระหนี้แทนลูกหนี้
เมื่อผู้ค้ำประกันชำระหนี้แทนลูกหนี้แล้ว เจ้าหนี้ก็มีสิทธิไปไล่เบี้ย เอาส่วนที่ตนออกแทนไปนั้น คืนจากลูกหนี้ได้
(ตาม ม.693 ประกอบมาตรา 226)
ทั้งนี้ ผู้ค้ำประกันต้องบอกให้ลูกหนี้ทราบว่าตนได้ใช้หนี้แทนลูกหนี้ไปแล้ว เพราะหากไม่บอกลูกหนี้ว่าชำระแทนไปแล้ว
และลูกหนี้ไปชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ซ้ำอีกที ผู้ค้ำประกันจะเรียกเอาส่วนที่ตนออกแทนไปนั้นจากลูกหนี้ไม่ได้
ต้องไปฟ้องเอากับเจ้าหนี้เพื่อขอคืนเป็นกรณีลาภมิควรได้(ม.696)
===หลักการค้ำประกันตามกฎหมาย ก็มีเพียงเท่านี้ครับ
ยาวไปนิดนึง ก็หวังว่าเพื่อนๆจะเข้าใจกันนะครับ
พยายามจะใช้ศัพท์ที่เป็นคำพูดมากที่สุดแล้ว แต่ก็ยังมีความเป็นทางการอยู่บ้าง
อาจเป็นเพราะเรียนกฎหมายมานานเนิ่น เลยติดนิสัยเขียนแบบเป็นทางการอยู่บ้าง
ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
แล้วหวังว่าเพื่อนๆคงได้รับความรู้ในเรื่องของการ ค้ำประกัน จากกระทู้นี้นะครับ
แล้วพบกันกับสาระกฎหมายอีกในกระทู้หน้าครับ
สวัสดี
**น้อมรับคำติชม และตั้งเป็นกระทู้คำถาม เพื่อให้ทุกคนแสดงความคิดได้อย่างทั่วถึงครับ
สาระความรู้ว่าด้วยเรื่องของการ "ค้ำประกัน"
โดยเฉพาะการให้สินเชื่อแก่บุคคลธรรมดาทั่วไป เพราะผู้ประกอบกิจการไม่มั่นใจความสามารถในการชำระหนี้
ของผู้ขอสินเชื่อ ทั้งผู้ประกอบการก็ต้องการหลักประกันที่แน่นอนว่าจะได้รับเงินต้นสินเชื่อพร้อมดอกเบี้ยคืน
และเพื่อความั่นคงของบริษัท
กฎหมายเรื่องการค้ำประกันจึงมีความจำเป็น และเข้ามามีบทบาทในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินมากขึ้น
วันนี้ผมจึงขอนำหลักกฎหมายว่าด้วยเรื่องของการ "ค้ำประกัน" มาอธิบายให้เพื่อนๆชาวพันทิพทุกคนได้เข้าใจ
ถึงหลักการและสิทธิหน้าที่ต่างๆของทั้งเจ้าหนี้ ลูกหนี้ และผู้ค้ำประกัน ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายการค้ำประกัน
ตามประมาลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ลักษณะของสัญญาค้ำประกันนั้นเป็นไป ม.680 ว.1 ครับ
>ค้ำประกัน คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ได้ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้ เพื่อชำระหนี้
ให้แก่เจ้าหนี้ ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ หรือกล่าวง่ายๆก็คือ ถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันก็ต้องชำระหนี้
ให้แก่เจ้าหนี้ แทนลูกหนี้นั่นเอง
>โดยสัญญาค้ำประกันนั้นต้องทำเป็นหนังสือสัญญา และลงลายมือชื่อของผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ
หากไม่ทำเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีต่อศาลไม่ได้(ม.680 ว.2)
เจ้าหนี้จะเรียกเอาจากผู้ค้ำประกันได้ก็ต่อเมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้เท่านั้น(ม.686)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
โดยก่อนที่จะเรียกเอาจากผู้ค้ำประกัน เจ้าหนี้ต้องเรียกชำระหนี้เอาจากลูกหนี้เสียก่อน
หากเจ้าหนี้เรียกเอาจากผู้ค้ำประกันโดยยังไม่ได้เรียกเอาจากลูกหนี้ก่อน ผู้ค้ำประกันมีสิทธิที่จะบอกปัด
ให้เจ้าหนี้ไปเรียกชำระหนี้เอากับลูกหนี้ก่อนได้(ม.688)
เมื่อผู้ค้ำประกันบอกปัดเจ้าหนี้ตาม ม.688 แล้ว เจ้าหนี้ยังเรียกเอาจากลูกหนี้ไม่ได้ ก็มีสิทธิที่จะมาเรียกเอาจากผู้ค้ำประกันได้
แต่หากผู้ค้ำประกันพิสูจน์ได้ว่าลูกหนี้นั้นสามารถชำระหนี้ได้ และการบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั้นไม่เป็นเป็นการยาก
เจ้าหนี้ก็จะต้องบังคับให้ชำระหนี้เอากับทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อน(ม.689)
การพิสูจน์ตาม ม.689 ก็เช่น ลูกหนี้มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่ชัด ตามตัวลูกหนี้ได้ และลูกหนี้มีทรัพย์สินที่จะให้บังคับชำระหนี้ได้โดยไม่ยาก
เจ้าหนี้ก็ต้องบังคับเอากับทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อน ซึ่งคำว่าไม่ยากนี้คือตัวอย่างเช่น ตามตัวลูกหนี้ได้ ลูกหนี้มีทรัพย์สินให้ฟ้องร้อง
บังคับขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
นอกจากนี้ในกรณีที่ลูกหนี้ได้มอบ ทรัพย์ ให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นประกัน
ผู้ค้ำประกันมีสิทธิร้องขอให้เจ้าหนี้บังคับชำระหนี้เอากับทรัพย์สินที่ลูกหนี้ให้ไว้เป็นประกันก่อน
ที่จะมาบังคับเอากับผู้ค้ำประกันได้(ม.690)
ถ้าเจ้าหนี้เรียกเอาจากลูกหนี้ไม่ได้ และผู้ค้ำประกันได้ใช้สิทธิ บอกปัด(ม.688) พิสูจน์(ม.689) ร้องขอ(ม.690)แล้ว
เจ้าหนี้ก็ยังเรียกเอาจากลูกหนี้ไม่ได้ ก็ถึงคราวซวยของผู้ค้ำประกันแล้วล่ะครับ
โดยผู้ค้ำประกันต้องชำระหนี้แทนลูกหนี้
เมื่อผู้ค้ำประกันชำระหนี้แทนลูกหนี้แล้ว เจ้าหนี้ก็มีสิทธิไปไล่เบี้ย เอาส่วนที่ตนออกแทนไปนั้น คืนจากลูกหนี้ได้
(ตาม ม.693 ประกอบมาตรา 226)
ทั้งนี้ ผู้ค้ำประกันต้องบอกให้ลูกหนี้ทราบว่าตนได้ใช้หนี้แทนลูกหนี้ไปแล้ว เพราะหากไม่บอกลูกหนี้ว่าชำระแทนไปแล้ว
และลูกหนี้ไปชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ซ้ำอีกที ผู้ค้ำประกันจะเรียกเอาส่วนที่ตนออกแทนไปนั้นจากลูกหนี้ไม่ได้
ต้องไปฟ้องเอากับเจ้าหนี้เพื่อขอคืนเป็นกรณีลาภมิควรได้(ม.696)
===หลักการค้ำประกันตามกฎหมาย ก็มีเพียงเท่านี้ครับ
ยาวไปนิดนึง ก็หวังว่าเพื่อนๆจะเข้าใจกันนะครับ
พยายามจะใช้ศัพท์ที่เป็นคำพูดมากที่สุดแล้ว แต่ก็ยังมีความเป็นทางการอยู่บ้าง
อาจเป็นเพราะเรียนกฎหมายมานานเนิ่น เลยติดนิสัยเขียนแบบเป็นทางการอยู่บ้าง
ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
แล้วหวังว่าเพื่อนๆคงได้รับความรู้ในเรื่องของการ ค้ำประกัน จากกระทู้นี้นะครับ
แล้วพบกันกับสาระกฎหมายอีกในกระทู้หน้าครับ
สวัสดี
**น้อมรับคำติชม และตั้งเป็นกระทู้คำถาม เพื่อให้ทุกคนแสดงความคิดได้อย่างทั่วถึงครับ