ตอน 1 ป้า
เปลือกกายภายนอก กะเทาะออกด้วยใจอยากค้นหา ให้ได้มาซึ่งแก่นแท้ความเป็นคน
ว่ากันว่าคนเรามีมุมมองชีวิตที่ต่างกัน ทั้งบริบททางสังคม สิ่งแวดล้อม และทัศนคติ
อรวรรณ หรือป้าวรรณ แม่ค้าขายข้าวราดแกงข้างถนน ร้านของแกเป็นร้านเล็ก ๆ แบบเพิงหมาแหงนมุงด้วยสังกะสี ภายนอกร้านจะเก่าไปนิด แต่การจัดเก็บสิ่งของดูระเบียบเรียบร้อย แก้วน้ำดื่มพร้อมถังกระติกสีน้ำเงินใบใหญ่เตรียมไว้สำหรับบริการลูกค้าดื่มฟรีตรงมุมร้าน หลอดดูดน้ำเสียบในขวดแก้วดูสะอาดตา โต๊ะที่จัดสำหรับแขกเป็นโต๊ะไม้รองด้วยแผ่นพลาสติกสีลายผลไม้ ป้าวรรณเป็นคนออกจากน้ำเสียงห้วน ๆ พูดจากระโชกโฮกฮาก เสียงดังจนติดเป็นนิสัย คงเป็นเพราะหน้าตาเหมือนกับนักแสดงตัวประกอบบทคนใช้ยุคเก่า สมุนนางร้าย ไว้ผมยาวรวบผมไปข้างหลัง บางวันก็เกล้าผมเหน็บดอกไม้ ด้วยใบหน้าอันดุดัน นาน ๆ ทีจะเห็นยิ้มออกมาสักครั้ง ทำให้คนเดินผ่านไปผ่านมาบางคนดูป้าไม่น่าพิสมัยสักเท่าไหร่ แต่ก็แปลกร้านขายอาหารของป้าแกมีลูกค้าไม่เคยขาดทั้งลูกค้าขาประจำและขาจรแวะเวียนมาซื้ออาหารตลอดทั้งวัน บางวันลูกค้ายืนรอต่อคิวยาวนานเป็นชั่วโมง
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ร้านอาหาร ข้าวราดแกงมีคนต่อคิวยาวเป็นแถว
เสียงตะโกน “ป้า! ข้าวราดแกงที่หนึ่ง! ตักข้าวเยอะๆ” ลูกค้าขาประจำดูจะมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าลูกค้าโดยทั่วไป ป้ากำลังง้วนตักแกงใส่ถุงให้ลูกค้าที่กำลังยืนรอ
“ไอ้แก้ว! เอ็งก็ลุกมาตักเองเลย! มือข้าไม่ว่าง”
แก้วลูกค้าประจำของป้า ลุกขึ้นมาตักกับและข้าวเอง มือหยิบจิ้งหรีดทอดที่ป้าทอดไว้ในถาดใส่ปาก เสียงตบหลังมือดัง “เปี๊ยะ!”
“อะไรป้า ตีผมทำไม”
“ข้าบอกเอ็งว่าอย่าหยิบของสุ่มสี่สุ่มห้า ไปล้างมือก่อน แล้วเช็ดมือตรงมุมโน้น” สาเหตุที่ป้าบ่นเพราะป้าเป็นคนรักสะอาด
ด้วยร้านเก่าแห่งนี้มีป้าเป็นแรงงานเพียงคนเดียวทำงานเองสารพัดอย่างทั้งต้ม ผัด แกง ทอด หุงข้าว หั่นผัก หั่นเนื้อ ล้างผัก ล้างจาน เตรียมของ จึงมีลูกค้าผู้เสียสละและอาสาสมัครประจำร้านช่วยป้าตักอาหารในช่วงยุ่ง ๆ หลายคน คือ
พี่พร สาวร่างยักษ์ นักชิม อาชีพประจำคือ แม่บ้าน จึงว่างมากถึงมากที่สุดเพราะสามีแกไปทำงานต่างประเทศส่งเงินมาให้ สบายตัวก็ตรงเรื่องเงิน ไม่ต้องห่วง ส่งลูกไปโรงเรียน ทำงานบ้านรีดผ้า กวาดบ้านเสร็จเป็นอันว่าว่างจัด จึงมานั่งเม้าส์มอยที่ร้านป้าเป็นประจำ
ป้าออ ขานี้คอหวยเพื่อนนักเสี่ยงโชคคนสนิทของป้า มาประจำทุก ๆ วันหวยใกล้ออก ทั้งเต็ง ทั้งโต๊ด สองตัว สามตัว ป้ามีเลขเด็ดมาฝากเสมอ ๆ
น้าแก้ว อาชีพซ่อมร้องเท้า เปิดร้านใกล้ ๆ ร้านขายอาหารของป้า อุดหนุนกันเป็นประจำทุกมื้อ ตั้งแต่เช้ากลางวันเย็น แกเหมาหมด เพราะป้าห่อให้กับบ้านทุกครั้งไป
ลุงสมนึก คนขับรถคุณนาย บ้านข้างในซอยนี้ มีเวลาก็ออกมายืดเส้นยืดสาย นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ คุยกันกับเรื่องราวสารพัด ขาประจำ คนนี้คอก๋วยเตี๋ยวของป้า เมนูง่าย ๆ กินมันทุกวัน
ลุงสมคิด อาชีพคนขี่รถจักรยานวินมอเตอร์ไซต์หน้าร้าน
ธีรนัย หรือนัย ชายหนุ่มที่หล่อที่สุดของร้าน มาประจำการทุกวัน เสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดพิเศษ เพราะอาชีพเขาคือ ครูสอนเด็กอนุบาล
ส่วนใหญ่ป้าวรรณแกทำคนเดียวทั้งหมด ไม่มีลูกจ้างเป็นตัวเป็นตน เพราะลูกจ้างหายากหรือว่าปาขี้เหนียวก็ไม่รู้ ถึงไม่อยากจ้างคนมาช่วยงาน ลูกค้าบางคนจึงอาสาช่วยงานบางเวลาที่คนเยอะ และในบางเวลาที่ว่าง ๆ
กิจวัตรประจำวันที่ป้าเจอ ทั้งเหนื่อยทั้งรำคาญ ทั้งมีความสุข และทุกข์ เพราะมันเจอคนหลายแบบเหลือเกิน บางครั้งก็เหนื่อยสุด ๆ และคิดอยากจะเลิกขายเหมือนกัน แต่ทำไงได้ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ไม่ทำก็ไม่มีกิน
เปิดร้านเช้านี้
คนเข้าแถวรอซื้ออาหาร ลูกค้ารายต่อมากำลังต่อคิวซื้อกันยาว ป้าตักอาหารทั้งแบบใส่ถุง แบบใส่จาน จะกินที่นี้ก็มี กินที่อื่นก็ได้ ขายมาถึงลูกค้าวัยรุ่น ป้าก็เริ่มมีอาการเมื่อยมือและเมื่อยหู เพราะไอ้ร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ ข้าง ๆ มันเบิ้นรถเสียงดังหูแถบแตก
“ไอ้วิทย์ จะเบิ้นรถหา ....อะไรนักหนา หูข้าจะหนวกอยู่แล้ว” ป้าตะโกนออกไปด้วยอารมณ์ฉุน ด่าไปสักพักป้าพันกับมาถามลูกค้าต่อ “เอาอะไรอีหนู!”
“เอา...?” น้ำเสียงลูกค้าออกจากปากเบา ๆ
“หา! พูดดัง ๆ ไม่ได้ยิน” หูคนแก่ยิ่งนานวันยิ่งตึง ดันไปดึงไอ้ส่วนที่ไม่อยากให้ดึง ส่วนไอ้ที่อยากให้ตึงดันยาน มันน่าโมโหจริง ๆ สังขารคนเรา
“เอา...” ลูกค้าบอกกับป้าด้วยเสียงเบาอีกครั้ง
ป้าวรรณย้ำคำถามเดิมด้วยอารมณ์ที่เริ่มหงุดหงิดสมทบเข้ามาอีก คำพูดที่พูดช้า ๆ ย้ำคำหนักแน่น “เอาอะไร! ข้าบอกให้เอ็งพูดดัง ๆ”
ลูกค้ารายนี้พูดขึ้นดังมาอีกนิดแต่ใช้มือที่ประกอบดูจะไม่เป็นทิศเป็นทางสักเท่าไหร่ “อ่อ เอาอันนี้ อันนั้น”
ป้าถามต่อไป “แล้วมันอันไหนของเอ็งวะ!” ดูเหมือนวัยรุ่นสมัยนี้มันจะพูดเบาและสื่อสารกับคนแก่อย่างป้าวรรณไม่ค่อยเข้าใจกัน
“ตกลงเอ็งจะเอาอันไหน” แต่ที่จริงแล้วสาววัยรุ่นกำลังเล่นโทรศัพท์มือถือด้วยหูทั้งสองข้างเสียบสายหูฟังพูดกับเพื่อนจึงสื่อสารไม่ค่อยรู้เรื่อง ป้าก็ถามย้ำไปอีกครั้ง
“เอาหูฟังออกก่อนได้มั้ยอีหนู!” ป้าพูดตะคอก
เอ๊ะคนแกนี้พูดอีไม่น่าฟังเลย ขณะที่สาววัยรุ่นก็เริ่มจะอารมณ์เสียขึ้นมาบ้าง ไม่เฉพาะแค่ป้าจะอารมณ์เสียได้คนเดียวนะป้านะ ถอดหูฟังออกแล้วตะคอกกลับใส่ป้า “ก็บอกว่าเอาหมูทอด ข้าวเหนียว 2 ห้อ ก็แค่เนี่ย หูตึงหรือไงป้า!”
ป้าเสียวเบาลง “เอ้า! ถอดหูฟังออกก็พูดรู้เรื่องนี่เอ็ง” แต่ก็บ่นต่อหน้าให้เธอได้ยิน “อีเด็กพวกนี้มันเสียมารยาท ไม่รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ พูดจาไม่เข้าหูเว้ย!”
ส่วนเด็กสาววัยรุ่นก็ใช่ย่อยซะที่ไหน หลังซื้อของเสร็จทำหน้าเฉยเสียบสายหูฟังคุยกับเพื่อนต่อ แล้วเดินออกจากร้าน นินทาใหเป้าได้ยินเต็มสองรูหู “อีป้า...นี่ ! ปากหมาซะมัด! ก็ฉันพูดกับแกเมื่อตะกี้นี้ แต่อีป้า...มันไม่ได้ยินตะคอกใส่ฉัน มีหรือฉันจะยอมตะคอกกลับมันบ้างจะได้รู้สึก ให้รู้ซะบ้างว่าไผเป็นไผ.. ยายมนุษย์ป้า! รอบหน้าไม่มาซื้อแล้วร้านนี้ เดี๋ยวกลับที่หอจะเล่าให้แกฟัง...”
หลายชีวิตของผู้คนในสังคมเมืองใหญ่ดูจะวันวุ่นวายทั้งวัน หลังจากขายของเสร็จป้าวรรณเก็บของใส่ลังล็อคร้าน ทุกเย็นเวลา 4 โมงเย็น ป้าต้องรีบกลับบ้านเป็นประจำไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ดูทำตัวลุกลี้ลุกล้น ด้านหน้าร้านเป็นวินมอเตอร์ไซค์ ป้าบอกให้คนขี่รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง คือ ลุงสมคิด “คิด! ป้าฝากดูร้านด้วยนะวะ จะกลับแล้ว” ฝากลุงสมคิดให้ช่วยดูร้านด้วยในช่วงที่ป้าแกกลับ
“ได้ครับป้า ไม่ต้องห่วง!”
ณ รถประจำทาง
บนรถประจำทางมีป้า ๆ บางคนหลับแบบสบายที่นั่งด้านข้างวางของเต็มไปหมด ป้าวรรณเป็นอีกคนที่นอนหลับบนรถประจำทางเป็นประจำ ในมือถือของวางไว้ข้างกายหลับจนถึงที่หมาย ภาพกล้องที่ซูบมาตรงที่นั่ง ป้าอีกคนกำลังหลับแบบเอาจริงเอาจัง ที่นั่งด้านข้างวางของถูกโพสลงในเน็ต สักพักคำวิจารณ์อย่างสนุกสนานต่อภาพที่เห็นผ่านหน้าจอก็แพร่สะพัด “มนุษย์ป้าตัวจริง!” “อีป้า!” “แก่แล้ว...” “ไม่มีน้ำใจ” “ไร้จิตสำนึก” “จิตสาธารณะนะมีไหม!” “แก่กะโหลกกะลา” “แถวไหนวะ” “มันน่านัก...” “ถึงจะแก่ก็เหอะ..แม่จะด่าให้เข็ด” และข้อความต่อ ๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดูพฤติกรรมต่าง ๆ ของเหล่าป้า ๆ ดูจะเลวร้ายมาก ความขาดระเบียบวินัย เห็นแกตัว ดูจะน่ารำคาญจริง ๆ ถ้าใครกล้าลองไปเตือนแบบตรง ๆ คงต้องมาวิวาทะกันบ้าง
หลังจากป้าลงรถเสร็จ ต่อวินมอเตอร์ไซค์เข้าไปในซอยที่บ้าน ลงรถถึงหน้าบ้าน ป้าวรรณแกต่อรองราคาค่ารถกับพี่วินฯ “เฮ้ยไอ้หนุ่มเข้ามาแค่เนี่ย คิดว่า 8 บาทพอนะ”
“ไม่ได้ป้า ผมขอเถอะ 10 บาท นะป้า น้ำมันมันแพง ป้าอย่าต่อผมเลยนะ ๆ ป้า”
“เอาน่า นะ วันนี้ป้ามีเงินเหลือแค่นี้จริง ๆ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่นะๆ” ดูนิสัยชอบต่อรองเล็ก ๆ น้อย ๆ นิด ๆ หน่อยๆ ก็เอา แค่ได้ต่อรองป้าก็มีความสุขกับการประหยัดเงินไปบาท 2 บาท
“เห้อ ป้า!” ได้แต่ถอนใจ
หลังกลับมาถึงบ้านป้ารีบทำงานบ้านสารพัดและพักผ่อนพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปจ่ายตลาดเตรียมของแต่เช้าตรู่ ปวดหลัง ปวดแข้ง ปวดขา แต่ก็ทน ๆ เอา
ณ ตลาดยามเช้าตรู่
ป้าวรรณเดินซื้อของพร้อมกับมือรับจ้างเข็นของในตลาดคำพูดคำจาของคนตลาดดูจะคุยกันเสียงดังจนชิน “เจ้น้อย! เอาหมู 10 โล เอ่อ วันนี้โลเท่าไหร่”
“120 ป้า”
“โห ขึ้นอีกแล้ว ลดให้ป้าหน่อยนะเจ้”
“ป้า! เนื้อหมูราคามันขึ้น ลดไม่ได้จริง ๆ”
“เห้ย ของขึ้นทุกวัน ข้าจะได้กำไรหรือเปล่าวะเนี่ย ดูมุกวันนี้มันขึ้นเงินเดือนไอ้พวกหมีตำแหน่ง ขึ้นเอา ๆ ของเลยขึ้นหมด คนหาเช้ากินค่ำอย่างพวกเราจะอยู่กันยังไงวะเนี่ย”
“มันกระทบกันไปทั่วแหละป้า ไม่ได้มีแต่ป้าหรอกที่เดือดร้อน”
“ก็ข้าไม่อยากขึ้นราคาขายอาหารนะสิ มันเปลี่ยนแปลงที่ของขึ้นตลอด ดูสงสัยวันนี้เงินไม่พอซื้อของแล้วละมั่ง”
“ว่าแต่เจ้ ! งั้นแถม มันหมูให้ป้าหน่อยก็แล้วกันนะ เจ้! คนกันเองเผื่อ ๆ ป้าเหอะนะ ๆ”
“ได้อยู่แล้วป้า”
ป้าเดินต่อไปในตลาด ดูกิตติศักดิ์ป้าจะโด่งดังเรื่องการต่อรองซื้อของเป็นอันดับหนึ่ง แม่ค้ารุ่นใหม่น่าจะรำคาญป้าบ้าง เพราะแกต่อแหลก เดินผ่านหลายร้านต่อของเขาไปทั่ว ต่อได้ก็ซื้อต่อไม่ได้ก็โวยบ้างเป็นธรรมดาของชีวิต
มาถึงแผลงขายพริกขี้หนู
ป้าวรรณถาม “พริกกิโลเท่าไหร่อีหนู”
แม่ค้าหน้าใหม่ตอบ “60 จ้าป้า”
“อะไรเมื่อวาน ยังซื้อกิโล 50 อยู่เลย ขึ้นมาอีก 10 บาทละ ทำไมแพงจังวะ”
“ช่วงนี้พริกมันขึ้นราคานะป้า”
เห็นแม่ค้าหน้าละอ่อนลองเจิมซื้อพริกมันสักหน่อยดีกว่า
“50 เหมือนเดิมแล้วกันอีหนู นะ! ลดให้ป้า ป้าซื้อไปขาย ขาประจำน่านะ” อันที่จริงแม่ค้าพึ่งมาขายใหม่วันแรก ป้าแกก็แถไถไปจนได้
“ไม่ได้จริงๆ ป้า ลดสุดๆ กิโลละ 55 บาท แล้วกันนะป้าน่า”
“เอาน่าอีหนู 52 พอนะ ไม่ต้องพูดมากอีกแล้ว ขี้เกียจต่อ”
“หนูรับมากิโล 52 บาทแล้วจ๊ะป้า หนูขอกำไรสักนิดเถอะนะป้า นะ”
ป้าถาม “ตกลงลดได้อีกเท่าไหร่”
แม่ค้าพริกตอบ “53 ก็ได้” เปิดร้านวันแรกเขาถือเคล็ดให้ขายไปก่อน ไม่งั้นมันจะขายของไม่ดี แม่ค้าหน้าใหม่จำเป็นต้องยอม ๆ ป้าไปก่อน นี่ขนาดแม่ค้าด้วยกันป้าแกยังต่อกันไม่ขาดปาก ความเก๋าของแม่ค้ารุ่นเดอะดูจะชำนิชำนาญเรื่องการต่อของเป็นอันดับต้น ๆ ซื้อของถูก คือความสุขของคนแก่อย่างป้า
“ป้านึกไปก็อดสงสารนางเด็กขายพริกไม่ได้ เพราะนิสัยชอบต่อ ของป้าเป็นติดตัวแล้ว เขาขายป้าก็ซื้อ”
หลังจ่ายของในตลาดเสร็จป้าเดินทางต่อไป ให้เด็กเข็นของเข็นไปส่งที่รถรับจ้างเตรียมเอาของไปไว้ที่ร้าน หลังจากเอาของไปเก็บที่ร้าน เช้านี้มีป้าวรรณมีนัดกับคุณหมอที่โรงพยาบาล
ขึ้นรถต่อไปที่โรงพยาบาล
ป้าแกอ่านหนังสือไม่ค่อยออก และทำจนชิน ทางขึ้นลงให้ชิดขวา ป้าแกก็เดินซ้ายบ้างขวาบ้างแล้วแต่อารมณ์
พลเมืองผู้มองเห็นความไม่เป็นระเบียบในสังคมอดใจไม่ไหว เพราะเธอถูกสอนให้ผดุงความถูกต้อง “ป้าค่ะ เขาเดินขึ้นลงชิดขวา ป้าทำไมเดินไม่เป็นระเบียบแบบนี้”
“อะไร?” ป้างง
นิยาย เรื่อง คุณป้า! ตอนที่ 1 ป้า by กฤษกร
เปลือกกายภายนอก กะเทาะออกด้วยใจอยากค้นหา ให้ได้มาซึ่งแก่นแท้ความเป็นคน
ว่ากันว่าคนเรามีมุมมองชีวิตที่ต่างกัน ทั้งบริบททางสังคม สิ่งแวดล้อม และทัศนคติ
อรวรรณ หรือป้าวรรณ แม่ค้าขายข้าวราดแกงข้างถนน ร้านของแกเป็นร้านเล็ก ๆ แบบเพิงหมาแหงนมุงด้วยสังกะสี ภายนอกร้านจะเก่าไปนิด แต่การจัดเก็บสิ่งของดูระเบียบเรียบร้อย แก้วน้ำดื่มพร้อมถังกระติกสีน้ำเงินใบใหญ่เตรียมไว้สำหรับบริการลูกค้าดื่มฟรีตรงมุมร้าน หลอดดูดน้ำเสียบในขวดแก้วดูสะอาดตา โต๊ะที่จัดสำหรับแขกเป็นโต๊ะไม้รองด้วยแผ่นพลาสติกสีลายผลไม้ ป้าวรรณเป็นคนออกจากน้ำเสียงห้วน ๆ พูดจากระโชกโฮกฮาก เสียงดังจนติดเป็นนิสัย คงเป็นเพราะหน้าตาเหมือนกับนักแสดงตัวประกอบบทคนใช้ยุคเก่า สมุนนางร้าย ไว้ผมยาวรวบผมไปข้างหลัง บางวันก็เกล้าผมเหน็บดอกไม้ ด้วยใบหน้าอันดุดัน นาน ๆ ทีจะเห็นยิ้มออกมาสักครั้ง ทำให้คนเดินผ่านไปผ่านมาบางคนดูป้าไม่น่าพิสมัยสักเท่าไหร่ แต่ก็แปลกร้านขายอาหารของป้าแกมีลูกค้าไม่เคยขาดทั้งลูกค้าขาประจำและขาจรแวะเวียนมาซื้ออาหารตลอดทั้งวัน บางวันลูกค้ายืนรอต่อคิวยาวนานเป็นชั่วโมง
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ร้านอาหาร ข้าวราดแกงมีคนต่อคิวยาวเป็นแถว
เสียงตะโกน “ป้า! ข้าวราดแกงที่หนึ่ง! ตักข้าวเยอะๆ” ลูกค้าขาประจำดูจะมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าลูกค้าโดยทั่วไป ป้ากำลังง้วนตักแกงใส่ถุงให้ลูกค้าที่กำลังยืนรอ
“ไอ้แก้ว! เอ็งก็ลุกมาตักเองเลย! มือข้าไม่ว่าง”
แก้วลูกค้าประจำของป้า ลุกขึ้นมาตักกับและข้าวเอง มือหยิบจิ้งหรีดทอดที่ป้าทอดไว้ในถาดใส่ปาก เสียงตบหลังมือดัง “เปี๊ยะ!”
“อะไรป้า ตีผมทำไม”
“ข้าบอกเอ็งว่าอย่าหยิบของสุ่มสี่สุ่มห้า ไปล้างมือก่อน แล้วเช็ดมือตรงมุมโน้น” สาเหตุที่ป้าบ่นเพราะป้าเป็นคนรักสะอาด
ด้วยร้านเก่าแห่งนี้มีป้าเป็นแรงงานเพียงคนเดียวทำงานเองสารพัดอย่างทั้งต้ม ผัด แกง ทอด หุงข้าว หั่นผัก หั่นเนื้อ ล้างผัก ล้างจาน เตรียมของ จึงมีลูกค้าผู้เสียสละและอาสาสมัครประจำร้านช่วยป้าตักอาหารในช่วงยุ่ง ๆ หลายคน คือ
พี่พร สาวร่างยักษ์ นักชิม อาชีพประจำคือ แม่บ้าน จึงว่างมากถึงมากที่สุดเพราะสามีแกไปทำงานต่างประเทศส่งเงินมาให้ สบายตัวก็ตรงเรื่องเงิน ไม่ต้องห่วง ส่งลูกไปโรงเรียน ทำงานบ้านรีดผ้า กวาดบ้านเสร็จเป็นอันว่าว่างจัด จึงมานั่งเม้าส์มอยที่ร้านป้าเป็นประจำ
ป้าออ ขานี้คอหวยเพื่อนนักเสี่ยงโชคคนสนิทของป้า มาประจำทุก ๆ วันหวยใกล้ออก ทั้งเต็ง ทั้งโต๊ด สองตัว สามตัว ป้ามีเลขเด็ดมาฝากเสมอ ๆ
น้าแก้ว อาชีพซ่อมร้องเท้า เปิดร้านใกล้ ๆ ร้านขายอาหารของป้า อุดหนุนกันเป็นประจำทุกมื้อ ตั้งแต่เช้ากลางวันเย็น แกเหมาหมด เพราะป้าห่อให้กับบ้านทุกครั้งไป
ลุงสมนึก คนขับรถคุณนาย บ้านข้างในซอยนี้ มีเวลาก็ออกมายืดเส้นยืดสาย นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ คุยกันกับเรื่องราวสารพัด ขาประจำ คนนี้คอก๋วยเตี๋ยวของป้า เมนูง่าย ๆ กินมันทุกวัน
ลุงสมคิด อาชีพคนขี่รถจักรยานวินมอเตอร์ไซต์หน้าร้าน
ธีรนัย หรือนัย ชายหนุ่มที่หล่อที่สุดของร้าน มาประจำการทุกวัน เสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดพิเศษ เพราะอาชีพเขาคือ ครูสอนเด็กอนุบาล
ส่วนใหญ่ป้าวรรณแกทำคนเดียวทั้งหมด ไม่มีลูกจ้างเป็นตัวเป็นตน เพราะลูกจ้างหายากหรือว่าปาขี้เหนียวก็ไม่รู้ ถึงไม่อยากจ้างคนมาช่วยงาน ลูกค้าบางคนจึงอาสาช่วยงานบางเวลาที่คนเยอะ และในบางเวลาที่ว่าง ๆ
กิจวัตรประจำวันที่ป้าเจอ ทั้งเหนื่อยทั้งรำคาญ ทั้งมีความสุข และทุกข์ เพราะมันเจอคนหลายแบบเหลือเกิน บางครั้งก็เหนื่อยสุด ๆ และคิดอยากจะเลิกขายเหมือนกัน แต่ทำไงได้ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ไม่ทำก็ไม่มีกิน
เปิดร้านเช้านี้
คนเข้าแถวรอซื้ออาหาร ลูกค้ารายต่อมากำลังต่อคิวซื้อกันยาว ป้าตักอาหารทั้งแบบใส่ถุง แบบใส่จาน จะกินที่นี้ก็มี กินที่อื่นก็ได้ ขายมาถึงลูกค้าวัยรุ่น ป้าก็เริ่มมีอาการเมื่อยมือและเมื่อยหู เพราะไอ้ร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ ข้าง ๆ มันเบิ้นรถเสียงดังหูแถบแตก
“ไอ้วิทย์ จะเบิ้นรถหา ....อะไรนักหนา หูข้าจะหนวกอยู่แล้ว” ป้าตะโกนออกไปด้วยอารมณ์ฉุน ด่าไปสักพักป้าพันกับมาถามลูกค้าต่อ “เอาอะไรอีหนู!”
“เอา...?” น้ำเสียงลูกค้าออกจากปากเบา ๆ
“หา! พูดดัง ๆ ไม่ได้ยิน” หูคนแก่ยิ่งนานวันยิ่งตึง ดันไปดึงไอ้ส่วนที่ไม่อยากให้ดึง ส่วนไอ้ที่อยากให้ตึงดันยาน มันน่าโมโหจริง ๆ สังขารคนเรา
“เอา...” ลูกค้าบอกกับป้าด้วยเสียงเบาอีกครั้ง
ป้าวรรณย้ำคำถามเดิมด้วยอารมณ์ที่เริ่มหงุดหงิดสมทบเข้ามาอีก คำพูดที่พูดช้า ๆ ย้ำคำหนักแน่น “เอาอะไร! ข้าบอกให้เอ็งพูดดัง ๆ”
ลูกค้ารายนี้พูดขึ้นดังมาอีกนิดแต่ใช้มือที่ประกอบดูจะไม่เป็นทิศเป็นทางสักเท่าไหร่ “อ่อ เอาอันนี้ อันนั้น”
ป้าถามต่อไป “แล้วมันอันไหนของเอ็งวะ!” ดูเหมือนวัยรุ่นสมัยนี้มันจะพูดเบาและสื่อสารกับคนแก่อย่างป้าวรรณไม่ค่อยเข้าใจกัน
“ตกลงเอ็งจะเอาอันไหน” แต่ที่จริงแล้วสาววัยรุ่นกำลังเล่นโทรศัพท์มือถือด้วยหูทั้งสองข้างเสียบสายหูฟังพูดกับเพื่อนจึงสื่อสารไม่ค่อยรู้เรื่อง ป้าก็ถามย้ำไปอีกครั้ง
“เอาหูฟังออกก่อนได้มั้ยอีหนู!” ป้าพูดตะคอก
เอ๊ะคนแกนี้พูดอีไม่น่าฟังเลย ขณะที่สาววัยรุ่นก็เริ่มจะอารมณ์เสียขึ้นมาบ้าง ไม่เฉพาะแค่ป้าจะอารมณ์เสียได้คนเดียวนะป้านะ ถอดหูฟังออกแล้วตะคอกกลับใส่ป้า “ก็บอกว่าเอาหมูทอด ข้าวเหนียว 2 ห้อ ก็แค่เนี่ย หูตึงหรือไงป้า!”
ป้าเสียวเบาลง “เอ้า! ถอดหูฟังออกก็พูดรู้เรื่องนี่เอ็ง” แต่ก็บ่นต่อหน้าให้เธอได้ยิน “อีเด็กพวกนี้มันเสียมารยาท ไม่รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ พูดจาไม่เข้าหูเว้ย!”
ส่วนเด็กสาววัยรุ่นก็ใช่ย่อยซะที่ไหน หลังซื้อของเสร็จทำหน้าเฉยเสียบสายหูฟังคุยกับเพื่อนต่อ แล้วเดินออกจากร้าน นินทาใหเป้าได้ยินเต็มสองรูหู “อีป้า...นี่ ! ปากหมาซะมัด! ก็ฉันพูดกับแกเมื่อตะกี้นี้ แต่อีป้า...มันไม่ได้ยินตะคอกใส่ฉัน มีหรือฉันจะยอมตะคอกกลับมันบ้างจะได้รู้สึก ให้รู้ซะบ้างว่าไผเป็นไผ.. ยายมนุษย์ป้า! รอบหน้าไม่มาซื้อแล้วร้านนี้ เดี๋ยวกลับที่หอจะเล่าให้แกฟัง...”
หลายชีวิตของผู้คนในสังคมเมืองใหญ่ดูจะวันวุ่นวายทั้งวัน หลังจากขายของเสร็จป้าวรรณเก็บของใส่ลังล็อคร้าน ทุกเย็นเวลา 4 โมงเย็น ป้าต้องรีบกลับบ้านเป็นประจำไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ดูทำตัวลุกลี้ลุกล้น ด้านหน้าร้านเป็นวินมอเตอร์ไซค์ ป้าบอกให้คนขี่รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง คือ ลุงสมคิด “คิด! ป้าฝากดูร้านด้วยนะวะ จะกลับแล้ว” ฝากลุงสมคิดให้ช่วยดูร้านด้วยในช่วงที่ป้าแกกลับ
“ได้ครับป้า ไม่ต้องห่วง!”
ณ รถประจำทาง
บนรถประจำทางมีป้า ๆ บางคนหลับแบบสบายที่นั่งด้านข้างวางของเต็มไปหมด ป้าวรรณเป็นอีกคนที่นอนหลับบนรถประจำทางเป็นประจำ ในมือถือของวางไว้ข้างกายหลับจนถึงที่หมาย ภาพกล้องที่ซูบมาตรงที่นั่ง ป้าอีกคนกำลังหลับแบบเอาจริงเอาจัง ที่นั่งด้านข้างวางของถูกโพสลงในเน็ต สักพักคำวิจารณ์อย่างสนุกสนานต่อภาพที่เห็นผ่านหน้าจอก็แพร่สะพัด “มนุษย์ป้าตัวจริง!” “อีป้า!” “แก่แล้ว...” “ไม่มีน้ำใจ” “ไร้จิตสำนึก” “จิตสาธารณะนะมีไหม!” “แก่กะโหลกกะลา” “แถวไหนวะ” “มันน่านัก...” “ถึงจะแก่ก็เหอะ..แม่จะด่าให้เข็ด” และข้อความต่อ ๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดูพฤติกรรมต่าง ๆ ของเหล่าป้า ๆ ดูจะเลวร้ายมาก ความขาดระเบียบวินัย เห็นแกตัว ดูจะน่ารำคาญจริง ๆ ถ้าใครกล้าลองไปเตือนแบบตรง ๆ คงต้องมาวิวาทะกันบ้าง
หลังจากป้าลงรถเสร็จ ต่อวินมอเตอร์ไซค์เข้าไปในซอยที่บ้าน ลงรถถึงหน้าบ้าน ป้าวรรณแกต่อรองราคาค่ารถกับพี่วินฯ “เฮ้ยไอ้หนุ่มเข้ามาแค่เนี่ย คิดว่า 8 บาทพอนะ”
“ไม่ได้ป้า ผมขอเถอะ 10 บาท นะป้า น้ำมันมันแพง ป้าอย่าต่อผมเลยนะ ๆ ป้า”
“เอาน่า นะ วันนี้ป้ามีเงินเหลือแค่นี้จริง ๆ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่นะๆ” ดูนิสัยชอบต่อรองเล็ก ๆ น้อย ๆ นิด ๆ หน่อยๆ ก็เอา แค่ได้ต่อรองป้าก็มีความสุขกับการประหยัดเงินไปบาท 2 บาท
“เห้อ ป้า!” ได้แต่ถอนใจ
หลังกลับมาถึงบ้านป้ารีบทำงานบ้านสารพัดและพักผ่อนพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปจ่ายตลาดเตรียมของแต่เช้าตรู่ ปวดหลัง ปวดแข้ง ปวดขา แต่ก็ทน ๆ เอา
ณ ตลาดยามเช้าตรู่
ป้าวรรณเดินซื้อของพร้อมกับมือรับจ้างเข็นของในตลาดคำพูดคำจาของคนตลาดดูจะคุยกันเสียงดังจนชิน “เจ้น้อย! เอาหมู 10 โล เอ่อ วันนี้โลเท่าไหร่”
“120 ป้า”
“โห ขึ้นอีกแล้ว ลดให้ป้าหน่อยนะเจ้”
“ป้า! เนื้อหมูราคามันขึ้น ลดไม่ได้จริง ๆ”
“เห้ย ของขึ้นทุกวัน ข้าจะได้กำไรหรือเปล่าวะเนี่ย ดูมุกวันนี้มันขึ้นเงินเดือนไอ้พวกหมีตำแหน่ง ขึ้นเอา ๆ ของเลยขึ้นหมด คนหาเช้ากินค่ำอย่างพวกเราจะอยู่กันยังไงวะเนี่ย”
“มันกระทบกันไปทั่วแหละป้า ไม่ได้มีแต่ป้าหรอกที่เดือดร้อน”
“ก็ข้าไม่อยากขึ้นราคาขายอาหารนะสิ มันเปลี่ยนแปลงที่ของขึ้นตลอด ดูสงสัยวันนี้เงินไม่พอซื้อของแล้วละมั่ง”
“ว่าแต่เจ้ ! งั้นแถม มันหมูให้ป้าหน่อยก็แล้วกันนะ เจ้! คนกันเองเผื่อ ๆ ป้าเหอะนะ ๆ”
“ได้อยู่แล้วป้า”
ป้าเดินต่อไปในตลาด ดูกิตติศักดิ์ป้าจะโด่งดังเรื่องการต่อรองซื้อของเป็นอันดับหนึ่ง แม่ค้ารุ่นใหม่น่าจะรำคาญป้าบ้าง เพราะแกต่อแหลก เดินผ่านหลายร้านต่อของเขาไปทั่ว ต่อได้ก็ซื้อต่อไม่ได้ก็โวยบ้างเป็นธรรมดาของชีวิต
มาถึงแผลงขายพริกขี้หนู
ป้าวรรณถาม “พริกกิโลเท่าไหร่อีหนู”
แม่ค้าหน้าใหม่ตอบ “60 จ้าป้า”
“อะไรเมื่อวาน ยังซื้อกิโล 50 อยู่เลย ขึ้นมาอีก 10 บาทละ ทำไมแพงจังวะ”
“ช่วงนี้พริกมันขึ้นราคานะป้า”
เห็นแม่ค้าหน้าละอ่อนลองเจิมซื้อพริกมันสักหน่อยดีกว่า
“50 เหมือนเดิมแล้วกันอีหนู นะ! ลดให้ป้า ป้าซื้อไปขาย ขาประจำน่านะ” อันที่จริงแม่ค้าพึ่งมาขายใหม่วันแรก ป้าแกก็แถไถไปจนได้
“ไม่ได้จริงๆ ป้า ลดสุดๆ กิโลละ 55 บาท แล้วกันนะป้าน่า”
“เอาน่าอีหนู 52 พอนะ ไม่ต้องพูดมากอีกแล้ว ขี้เกียจต่อ”
“หนูรับมากิโล 52 บาทแล้วจ๊ะป้า หนูขอกำไรสักนิดเถอะนะป้า นะ”
ป้าถาม “ตกลงลดได้อีกเท่าไหร่”
แม่ค้าพริกตอบ “53 ก็ได้” เปิดร้านวันแรกเขาถือเคล็ดให้ขายไปก่อน ไม่งั้นมันจะขายของไม่ดี แม่ค้าหน้าใหม่จำเป็นต้องยอม ๆ ป้าไปก่อน นี่ขนาดแม่ค้าด้วยกันป้าแกยังต่อกันไม่ขาดปาก ความเก๋าของแม่ค้ารุ่นเดอะดูจะชำนิชำนาญเรื่องการต่อของเป็นอันดับต้น ๆ ซื้อของถูก คือความสุขของคนแก่อย่างป้า
“ป้านึกไปก็อดสงสารนางเด็กขายพริกไม่ได้ เพราะนิสัยชอบต่อ ของป้าเป็นติดตัวแล้ว เขาขายป้าก็ซื้อ”
หลังจ่ายของในตลาดเสร็จป้าเดินทางต่อไป ให้เด็กเข็นของเข็นไปส่งที่รถรับจ้างเตรียมเอาของไปไว้ที่ร้าน หลังจากเอาของไปเก็บที่ร้าน เช้านี้มีป้าวรรณมีนัดกับคุณหมอที่โรงพยาบาล
ขึ้นรถต่อไปที่โรงพยาบาล
ป้าแกอ่านหนังสือไม่ค่อยออก และทำจนชิน ทางขึ้นลงให้ชิดขวา ป้าแกก็เดินซ้ายบ้างขวาบ้างแล้วแต่อารมณ์
พลเมืองผู้มองเห็นความไม่เป็นระเบียบในสังคมอดใจไม่ไหว เพราะเธอถูกสอนให้ผดุงความถูกต้อง “ป้าค่ะ เขาเดินขึ้นลงชิดขวา ป้าทำไมเดินไม่เป็นระเบียบแบบนี้”
“อะไร?” ป้างง