สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 25
เห็นกระทู้นี้แล้ว รีบเข้ามาตอบด้วยคน
เรากับเพื่อนต่างชาติ ไปเที่ยวที่หนานจิง (พวกเราพูดภาษาจีนได้) ตอนนั้นนั่งเมล์ไปแถว ๆอนุสรณ์สถานท่านซุน ยัด เซน ซึ่งไม่รู้ลงป้ายไหน เราเลยถามคุณลุงท่านหนึ่ง ท่านก็บอกลง ๆป้ายนี้แหละ พอลงปุ๊ป ไปไงต่อว้า..ไม่เห็นมีสัญลักษณ์อะไรบอกเลยว่าเป็นที่ท่องเที่ยว เลยวิ่งไปถามลุงต่อ ว่าไปทางไหน แกก็บอกเอ้า! ขึ้นรถ ปกติแท็กซี่จีนขึ้นได้สูงสุด4คน พวกเราไปกัน 4 +ลุงอีก1 เป็น 5 แกก็เจรจากับแท็กซี่ จนยอมให้ขึ้น ..ก็เลยคุยกันว่า เด๋วเราออกค่ารถกันเองดีกว่า เพราะเราเป็นส่วนใหญ่ และคุณลุงเค้ามีน้ำใจด้วย ไป ๆมา ลุงท่านจ่ายให้ครับ..พอลงเที่ยว แกก็ตามตลอดนะ กลัวเราไปไม่ถูก และบอกว่าวันนี้จะพาพวกเราไปเที่ยว ลุงแกก็อธิบายโน่นนี่นั่นใหญ่เลย พอไปสถานที่อื่น แกก็กุลีกุจอไปซื้อตั๋วรถให้พวกเรา พอพวกเราจะออก ก็ไม่ยอม จะออกค่าตั๋วให้ก็ไม่ยอม
มาถึงอีกที่ แกก็บอกพวกเราว่า ยืนรอตรงนี้นะ แล้วแกก็หายไป หายไปนานก็เข้าใจว่าลุงแกคงหนีไปแล้ว เอ้าว่ะ! งั้นเที่ยวกันเอง ปรากฎว่า ไปเจอลุงข้างใน ลุงบอกว่าทำไมไม่คอย กำลังไปหาทางลัดเข้า จะได้ไม่ต้องเสียค่าประตูกัน !!!
18.30น เราจะต้องรีบไปสถานีรถไฟ เพื่อกลับเซี้ยงไฮ้ ลุงแกก็จ่ายค่ารถเมล์ให้อีก ก่อนแยกย้าย พวกเราก็ขอบคุณแก ที่พามาเที่ยวทั้งวัน ไม่ได้เลี้ยงข้าวแกด้วย เพราะพวกเรากลัวว่าจะตกรถไฟกัน เชื่อมั้ย 18.30 แป๊ะ แกโทรเข้ามาถามว่า “ได้ขึ้นรถไฟยัง แกเป็นห่วงว่าพวกเราจะตกรถกัน” นาทีนั้นซาบซึ้งมาก ไม่รู้จะขอบคุณแกยังไง เมื่อถึงเซี้ยงไฮ้ก็เลยโทรว่า ถึงเซี้ยงไฮ้แล้วนะ ลุงไม่ต้องห่วง
การช่วยเหลือของลุง ครั้งนี้ ทำให้เรามองคนจีนในมุมที่ดีมาก เรารักคนจีน และซายซึ้งในน้ำใจ มันสะท้อนให้เราเห็นว่า ถ้าวันหนึ่ง มีคนมาเที่ยวในเมืองไทย เราจะช่วยเค้าให้ถึงที่สุด เท่าที่เราจะทำให้เค้าได้ เราเคยเป็นผู้รับในไมตรีที่คนอื่นให้แล้ว รู้สึกว่าดี อยากส่งมอบไมตรีนี้ให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติบ้าง ให้เค้ารู้สึกดี เหมือนที่เราเคยเป็น เราเชื่อว่าถ้าคนไทยทุกคนทำแบบนี้ ประเทศเราจะเป็นเมืองสยามที่ตราตรึงใจ ตราบนานเท่านาน (โดยเฉพาะแถววัดพระแก้วนี่ เรารับไม่ได้จริง ๆ เมื่อไหร่พวกมาเฟียจะหายนะ)
ปล.คิดถึงลุงจริงๆ
เรากับเพื่อนต่างชาติ ไปเที่ยวที่หนานจิง (พวกเราพูดภาษาจีนได้) ตอนนั้นนั่งเมล์ไปแถว ๆอนุสรณ์สถานท่านซุน ยัด เซน ซึ่งไม่รู้ลงป้ายไหน เราเลยถามคุณลุงท่านหนึ่ง ท่านก็บอกลง ๆป้ายนี้แหละ พอลงปุ๊ป ไปไงต่อว้า..ไม่เห็นมีสัญลักษณ์อะไรบอกเลยว่าเป็นที่ท่องเที่ยว เลยวิ่งไปถามลุงต่อ ว่าไปทางไหน แกก็บอกเอ้า! ขึ้นรถ ปกติแท็กซี่จีนขึ้นได้สูงสุด4คน พวกเราไปกัน 4 +ลุงอีก1 เป็น 5 แกก็เจรจากับแท็กซี่ จนยอมให้ขึ้น ..ก็เลยคุยกันว่า เด๋วเราออกค่ารถกันเองดีกว่า เพราะเราเป็นส่วนใหญ่ และคุณลุงเค้ามีน้ำใจด้วย ไป ๆมา ลุงท่านจ่ายให้ครับ..พอลงเที่ยว แกก็ตามตลอดนะ กลัวเราไปไม่ถูก และบอกว่าวันนี้จะพาพวกเราไปเที่ยว ลุงแกก็อธิบายโน่นนี่นั่นใหญ่เลย พอไปสถานที่อื่น แกก็กุลีกุจอไปซื้อตั๋วรถให้พวกเรา พอพวกเราจะออก ก็ไม่ยอม จะออกค่าตั๋วให้ก็ไม่ยอม
มาถึงอีกที่ แกก็บอกพวกเราว่า ยืนรอตรงนี้นะ แล้วแกก็หายไป หายไปนานก็เข้าใจว่าลุงแกคงหนีไปแล้ว เอ้าว่ะ! งั้นเที่ยวกันเอง ปรากฎว่า ไปเจอลุงข้างใน ลุงบอกว่าทำไมไม่คอย กำลังไปหาทางลัดเข้า จะได้ไม่ต้องเสียค่าประตูกัน !!!
18.30น เราจะต้องรีบไปสถานีรถไฟ เพื่อกลับเซี้ยงไฮ้ ลุงแกก็จ่ายค่ารถเมล์ให้อีก ก่อนแยกย้าย พวกเราก็ขอบคุณแก ที่พามาเที่ยวทั้งวัน ไม่ได้เลี้ยงข้าวแกด้วย เพราะพวกเรากลัวว่าจะตกรถไฟกัน เชื่อมั้ย 18.30 แป๊ะ แกโทรเข้ามาถามว่า “ได้ขึ้นรถไฟยัง แกเป็นห่วงว่าพวกเราจะตกรถกัน” นาทีนั้นซาบซึ้งมาก ไม่รู้จะขอบคุณแกยังไง เมื่อถึงเซี้ยงไฮ้ก็เลยโทรว่า ถึงเซี้ยงไฮ้แล้วนะ ลุงไม่ต้องห่วง
การช่วยเหลือของลุง ครั้งนี้ ทำให้เรามองคนจีนในมุมที่ดีมาก เรารักคนจีน และซายซึ้งในน้ำใจ มันสะท้อนให้เราเห็นว่า ถ้าวันหนึ่ง มีคนมาเที่ยวในเมืองไทย เราจะช่วยเค้าให้ถึงที่สุด เท่าที่เราจะทำให้เค้าได้ เราเคยเป็นผู้รับในไมตรีที่คนอื่นให้แล้ว รู้สึกว่าดี อยากส่งมอบไมตรีนี้ให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติบ้าง ให้เค้ารู้สึกดี เหมือนที่เราเคยเป็น เราเชื่อว่าถ้าคนไทยทุกคนทำแบบนี้ ประเทศเราจะเป็นเมืองสยามที่ตราตรึงใจ ตราบนานเท่านาน (โดยเฉพาะแถววัดพระแก้วนี่ เรารับไม่ได้จริง ๆ เมื่อไหร่พวกมาเฟียจะหายนะ)
ปล.คิดถึงลุงจริงๆ
ความคิดเห็นที่ 14
เราทำงานเป็นรีเซฟชั่นค่ะ แขกที่มาพักเป็นลูกทัวร์จีนทั้งนั้น เราเห็นมาทุกระดับชนชั้น ประเภทมีเงินมาเอง ประเภทมีเงินแต่มากับทัวร์ ประเภทมีเงินน้อยและอยากมาเที่ยว หรือประเภทที่หมดหน้าทำนา แล้วยกพวกมาทัวร์กัน เราเห็นมาทุกประเภทค่ะ แรกๆ ก็หงุดหงิดว่าทำไมประเทศนี้มารยาทแย่ พฤติกรรมเสื่อม เคยคิดเองว่าจะเสื่อมกันทั้งประเทศมั๊ยนะ (บวกกับที่ได้ดูข่าวในทีวี จินตนาการก็เลยยิ่งล้ำเลิศ) แต่โชคดีที่เรารักงานบริการก็เลยอดทนบวกกับ Service mind เลยทำให้สังเกตุคนประเทศนี้ไปเรื่อยๆ
จึงได้รู้ว่า พฤติกรรมที่เราคนไทยเห็นกันอยู่นี้ (ไม่มีมารยาท แซงคิว ถ่มน้ำลาย บลา บลาๆๆๆ )เป็นพฤติกรรมที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ สืบเนื่องมาจากการแก่งแย่งชิงดี หรือเอาตัวรอดกันในละแต่ยุคสมัย เลยกลายเป็นนิสัยส่วนบุคคลที่ไม่สามารถแก้ได้ เรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมเก่าแก่กลายๆ นั่นแหละ ซึ่งกลุ่มนี้จะมีอายุอยู่ที่ประมาณ 40 ขึ้นไป แม้กระทั่งผู้มีอันจะกิน แต่งตัวแบรนด์เนมทั้งตัว ก็มีพฤติกรรมแบบนี้ (โดยส่วนมากที่เห็นมานะคะ) ส่วนอีกกลุ่มที่อายุตั้งแต่ 40 - 30 ต้น ประเภทนี้จะแคร์สังคมและคนรอบข้างอยู่บ้าง แต่ยังคงมีความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง หากสามารถสื่อสารกันได้ อธิบายให้เขาฟังถึงมารยาท และวัฒนธรรมพื้นฐานในสังคม กลุ่มเหล่านี้มักจะรับได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องอธิบายกันยกใหญ่ค่ะ และกลุ่มสุดท้ายง่ายต่อการต่อกรที่สุด คือกลุ่มวัยรุ่น ถึงวัย20ปลายๆ กลุ่มนี้จะสามารถสื่อสารได้เข้าใจแต่พฤติกรรมเหมือนวัยรุ่นทั่วไป หากเขาทำพฤติกรรมแย่ กลุ่มนี้ถ้าได้รับการตำหนิจะรู้จึกอับอายค่ะ แต่ก็มีบางประเภทที่ช่างมั่นฉันไม่แคร์ (อันนี้เจอบ่อยเหมือนกันค่ะ ถ้าทำได้อยากเอาเวลคัมดริ้งค์สาดหน้าให้รู้สึก)
หลังจากที่ต้องเจอแบบนี้ทุกวันๆ ก็เริ่มชินชา บวกกับโลกสวยคิดเอาง่ายๆ เออก็ประเทศตรู อะไรๆ ก็ดีไปหมด เลยมีคนมาเที่ยวเยอะ ช่างมัน... จนวันหนึ่งมีสาวหมวยนางหนึ่งเดินเข้ามาคุยด้วยและถามว่า "เธอเคยไปเที่ยวบ้านฉันมั๊ย..หมายถึงจีน" เราก็บอกว่าไม่ไปหรอก..เออ..คือเราขอโทษนะ แต่วัฒนธรรมบ้านเธอกับฉันมันต่างกันจริงๆ บ้างครั้งเราก็กลัวว่าจะรับไม่ได้ กับวัฒนธรรมบางอย่าง (อันนี้เราตอบความจริงได้ เพราะจากที่คุยกันสาวหมวยคนนี้เธอเป็นสาวยุคใหม่และยอมรับอยู่กลายๆ ว่าคนบ้านเธอพฤติกรรมแปลก) "เธอก็ตอบกลับมาว่า ไม่ลองไม่รู้นะทุกที่มีคนแปลก แต่ทุกที่ก็มีคนดี" เออมันก็จริงๆ นะ หลังจากเธอกลับประเทศเธอไป เราก็เริ่มค้นคว้าเกี่ยวประเทศจีน และก็ตัดสินใจจองตั๋วไปเที่ยวที่นั้น ทั้งที่ภาษาไม่ได้ เงินเก็บก็มีนิดเดียว เพื่อนเดินทางก็ไม่มี
ไอ้ที่สาธยายมาซะยาว ก็อยากจะบอกว่าจริงอย่างที่เธอพูดค่ะ "ไม่ลองไม่รู้นะทุกที่มีคนแปลก แต่ทุกที่ก็มีคนดี" เราเดินทางคนเดียว แบบประหยัดๆไม่ขึ้นแท๊กซี่ นั่งรถเมล์ตลอด พูดภาษาจีนไม่ได้ มีแค่หนังสือนำเที่ยว และไกด์บุ๊คที่ทำเอง แต่หลงทางและเหนื่อยน้อยมาก นั่นเพราะมีคนจีนที่คอยช่วยเหลือตลอดการเดินทาง ...อย่างเช่นต้องออกไปเที่ยวนอกเมืองกว่างโจว แต่ไม่รู้ขึ้นรถสายไหน อาแปะแก่ๆ นั่งกินข้าวอยู่ มือนึงถือตะเกียบ อีกมือกวักมือเรียกเราไปอู่รถเมล์ ฝากฝังเราจนกระทั่งรถออก แกถึงจะเดินกลับไปนั่งกินข้าวบนซาเล้งอีกฝากถนนเหมือนเดิม , อีกเหตุการณ์ออกจากอุทยานอู่หลิงหยวน จะไปจางเจียเจี้ย บอกคนขับซะดิบดี จางเจียเจี้ย แต่คนขับดันลืมบอกเราว่าลงตรงไหน เขาก็วกรถกลับมาส่งเราที่ท่ารถจะไป จางเจียเจี้ย ทั้งที่ขับรถเลยไปแล้ว.. และที่ซึ้งใจที่สุด ที่อู่ฮั่น แบกกระเป๋าข้ามสะพานลอย คนที่เคยไปจีนจะรู้ว่าสะพานลอยที่นั่นอลังการมาก ขนาดมีมอเตอร์ไซค์ขึ้นไปวิ่งอยู่บนนั้นได้ คิดดูว่าต้องแบกกระเป๋าขนาด 18 โล ขึ้นสะพาน มันทรมานแค่ไหน มีอาม่าคนหนึ่งอายุประมาณ 70 เดินตามหลังเรา แกช่วยเรายกกระเป๋าเฉย ลักษณะเรายกหัว แกหามท้าย ทั้งที่คุยกันไม่รู้เรื่อง ..ส่วนอีกที่ ฉางซา มีน้องๆ อายุประมาณ 16-17 พูดภาษาอังกฤษนิดหน่อยจริงๆ เดินไปส่งเราที่สถานีรถโดยสาร ทั้งๆ ที่เขากำลังจะขึ้นรถเมล์
นี่เป็นแค่เหตุการณ์โดยคร่าวๆ นะคะ จะบอกว่ามีอะไรในจีนที่ทำให้เราซาบซึ้ง อีกเยอะแยะค่ะ กับทริปจีน ยอมรับค่ะก็ยังคงไม่ปลื้มกับพฤติกรรมแย่ของคนประเทศนี้ แต่ก็ยังคงมีออีกส่วนที่ทำให้เรารู้สึกดีและอิ่มเอม ทริปปีหน้าก็จีนค่ะ และตอนนี้ก็เลยตัดสินใจได้ว่าจะเที่ยวจีนให้ครบทุกภาคและทุกมณฑลไม่ว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ก็ตาม แต่ก็ตั้งรับสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดเหมือนกันนะคะ เพราะพฤติกรรมเลวร้ายของเขาก็มีค่ะ แต่เราก็ควรที่จะระวังในทุกวินาทีที่เราเดินทางใช่มั๊ยคะ
จึงได้รู้ว่า พฤติกรรมที่เราคนไทยเห็นกันอยู่นี้ (ไม่มีมารยาท แซงคิว ถ่มน้ำลาย บลา บลาๆๆๆ )เป็นพฤติกรรมที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ สืบเนื่องมาจากการแก่งแย่งชิงดี หรือเอาตัวรอดกันในละแต่ยุคสมัย เลยกลายเป็นนิสัยส่วนบุคคลที่ไม่สามารถแก้ได้ เรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมเก่าแก่กลายๆ นั่นแหละ ซึ่งกลุ่มนี้จะมีอายุอยู่ที่ประมาณ 40 ขึ้นไป แม้กระทั่งผู้มีอันจะกิน แต่งตัวแบรนด์เนมทั้งตัว ก็มีพฤติกรรมแบบนี้ (โดยส่วนมากที่เห็นมานะคะ) ส่วนอีกกลุ่มที่อายุตั้งแต่ 40 - 30 ต้น ประเภทนี้จะแคร์สังคมและคนรอบข้างอยู่บ้าง แต่ยังคงมีความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง หากสามารถสื่อสารกันได้ อธิบายให้เขาฟังถึงมารยาท และวัฒนธรรมพื้นฐานในสังคม กลุ่มเหล่านี้มักจะรับได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องอธิบายกันยกใหญ่ค่ะ และกลุ่มสุดท้ายง่ายต่อการต่อกรที่สุด คือกลุ่มวัยรุ่น ถึงวัย20ปลายๆ กลุ่มนี้จะสามารถสื่อสารได้เข้าใจแต่พฤติกรรมเหมือนวัยรุ่นทั่วไป หากเขาทำพฤติกรรมแย่ กลุ่มนี้ถ้าได้รับการตำหนิจะรู้จึกอับอายค่ะ แต่ก็มีบางประเภทที่ช่างมั่นฉันไม่แคร์ (อันนี้เจอบ่อยเหมือนกันค่ะ ถ้าทำได้อยากเอาเวลคัมดริ้งค์สาดหน้าให้รู้สึก)
หลังจากที่ต้องเจอแบบนี้ทุกวันๆ ก็เริ่มชินชา บวกกับโลกสวยคิดเอาง่ายๆ เออก็ประเทศตรู อะไรๆ ก็ดีไปหมด เลยมีคนมาเที่ยวเยอะ ช่างมัน... จนวันหนึ่งมีสาวหมวยนางหนึ่งเดินเข้ามาคุยด้วยและถามว่า "เธอเคยไปเที่ยวบ้านฉันมั๊ย..หมายถึงจีน" เราก็บอกว่าไม่ไปหรอก..เออ..คือเราขอโทษนะ แต่วัฒนธรรมบ้านเธอกับฉันมันต่างกันจริงๆ บ้างครั้งเราก็กลัวว่าจะรับไม่ได้ กับวัฒนธรรมบางอย่าง (อันนี้เราตอบความจริงได้ เพราะจากที่คุยกันสาวหมวยคนนี้เธอเป็นสาวยุคใหม่และยอมรับอยู่กลายๆ ว่าคนบ้านเธอพฤติกรรมแปลก) "เธอก็ตอบกลับมาว่า ไม่ลองไม่รู้นะทุกที่มีคนแปลก แต่ทุกที่ก็มีคนดี" เออมันก็จริงๆ นะ หลังจากเธอกลับประเทศเธอไป เราก็เริ่มค้นคว้าเกี่ยวประเทศจีน และก็ตัดสินใจจองตั๋วไปเที่ยวที่นั้น ทั้งที่ภาษาไม่ได้ เงินเก็บก็มีนิดเดียว เพื่อนเดินทางก็ไม่มี
ไอ้ที่สาธยายมาซะยาว ก็อยากจะบอกว่าจริงอย่างที่เธอพูดค่ะ "ไม่ลองไม่รู้นะทุกที่มีคนแปลก แต่ทุกที่ก็มีคนดี" เราเดินทางคนเดียว แบบประหยัดๆไม่ขึ้นแท๊กซี่ นั่งรถเมล์ตลอด พูดภาษาจีนไม่ได้ มีแค่หนังสือนำเที่ยว และไกด์บุ๊คที่ทำเอง แต่หลงทางและเหนื่อยน้อยมาก นั่นเพราะมีคนจีนที่คอยช่วยเหลือตลอดการเดินทาง ...อย่างเช่นต้องออกไปเที่ยวนอกเมืองกว่างโจว แต่ไม่รู้ขึ้นรถสายไหน อาแปะแก่ๆ นั่งกินข้าวอยู่ มือนึงถือตะเกียบ อีกมือกวักมือเรียกเราไปอู่รถเมล์ ฝากฝังเราจนกระทั่งรถออก แกถึงจะเดินกลับไปนั่งกินข้าวบนซาเล้งอีกฝากถนนเหมือนเดิม , อีกเหตุการณ์ออกจากอุทยานอู่หลิงหยวน จะไปจางเจียเจี้ย บอกคนขับซะดิบดี จางเจียเจี้ย แต่คนขับดันลืมบอกเราว่าลงตรงไหน เขาก็วกรถกลับมาส่งเราที่ท่ารถจะไป จางเจียเจี้ย ทั้งที่ขับรถเลยไปแล้ว.. และที่ซึ้งใจที่สุด ที่อู่ฮั่น แบกกระเป๋าข้ามสะพานลอย คนที่เคยไปจีนจะรู้ว่าสะพานลอยที่นั่นอลังการมาก ขนาดมีมอเตอร์ไซค์ขึ้นไปวิ่งอยู่บนนั้นได้ คิดดูว่าต้องแบกกระเป๋าขนาด 18 โล ขึ้นสะพาน มันทรมานแค่ไหน มีอาม่าคนหนึ่งอายุประมาณ 70 เดินตามหลังเรา แกช่วยเรายกกระเป๋าเฉย ลักษณะเรายกหัว แกหามท้าย ทั้งที่คุยกันไม่รู้เรื่อง ..ส่วนอีกที่ ฉางซา มีน้องๆ อายุประมาณ 16-17 พูดภาษาอังกฤษนิดหน่อยจริงๆ เดินไปส่งเราที่สถานีรถโดยสาร ทั้งๆ ที่เขากำลังจะขึ้นรถเมล์
นี่เป็นแค่เหตุการณ์โดยคร่าวๆ นะคะ จะบอกว่ามีอะไรในจีนที่ทำให้เราซาบซึ้ง อีกเยอะแยะค่ะ กับทริปจีน ยอมรับค่ะก็ยังคงไม่ปลื้มกับพฤติกรรมแย่ของคนประเทศนี้ แต่ก็ยังคงมีออีกส่วนที่ทำให้เรารู้สึกดีและอิ่มเอม ทริปปีหน้าก็จีนค่ะ และตอนนี้ก็เลยตัดสินใจได้ว่าจะเที่ยวจีนให้ครบทุกภาคและทุกมณฑลไม่ว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ก็ตาม แต่ก็ตั้งรับสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดเหมือนกันนะคะ เพราะพฤติกรรมเลวร้ายของเขาก็มีค่ะ แต่เราก็ควรที่จะระวังในทุกวินาทีที่เราเดินทางใช่มั๊ยคะ
ความคิดเห็นที่ 1
เราชอบจีน มนต์เสน่ห์ของพระราชวังต้องห้าม พระราชวังฤดูร้อน ยังทำให้เราอยากไปซ้ำอีก
คนจีนผู้เสียดังโววาย ยื้อแย่ง แต่เราต้องเข้าใจอย่างนึงว่า คนเค้าเยอะ การต่อสู้เอาตัวรอดจึงทำให้มีพฤติกรรม
ที่ไม่น่ารักไปบ้าง เราไปดูกายกรรมปักกิ่ง ตามที่ทัวร์ระบุ เป็นกรงทรงกลม แล้วเอามอเตอร์ไซด์หลาย ๆ คัน ขี่วน ๆ
เราตื่นตาตื่นใจมาก แต่ในขณะนั้นเราก็รับรู้ได้ถึงความอันตราย ถ้าพลาดผู้แสดงตายสถานเดียว
อาชีพที่ต้องเสี่ยงอันตรายแบบนั้น ทำให้รู้ว่า พวกเค้าต้องปากกัดตีนถีบมาก การแย่งชิงจึงฝังอยู่ในตัวซะส่วนมาก
ถ้าเรามองข้ามสิ่งเหล่านี้ได้ คุณจะหลงรักจีนทีเดียว จางเจี่ยเจี้ย จิ่วไจ้โกว ธรรมชาติรังสรรค์
การล่องเรือเขื่อนสามผา แสดงถึงความสามารถของมนุษย์ ที่พยายามเอาชนะธรรมชาติ
อาหารถึงแม้ว่า อาหารจีนแท้ (ปักกิ่ง) จะอร่อยสู้อาหารจีนในไทยไม่ได้ เป็ดปักกิ่งที่อร่อยสู้เป็ด four season ไม่ได้
ไม่เป็นไร เรามองข้ามซะ เราออกไปเที่ยวจีนกัน
ปล. เราไม่ได้โลกสวย เพราะยังเกลียดห้องน้ำ และการขาก
ของคนจีนอยู่มากกกกก
คนจีนผู้เสียดังโววาย ยื้อแย่ง แต่เราต้องเข้าใจอย่างนึงว่า คนเค้าเยอะ การต่อสู้เอาตัวรอดจึงทำให้มีพฤติกรรม
ที่ไม่น่ารักไปบ้าง เราไปดูกายกรรมปักกิ่ง ตามที่ทัวร์ระบุ เป็นกรงทรงกลม แล้วเอามอเตอร์ไซด์หลาย ๆ คัน ขี่วน ๆ
เราตื่นตาตื่นใจมาก แต่ในขณะนั้นเราก็รับรู้ได้ถึงความอันตราย ถ้าพลาดผู้แสดงตายสถานเดียว
อาชีพที่ต้องเสี่ยงอันตรายแบบนั้น ทำให้รู้ว่า พวกเค้าต้องปากกัดตีนถีบมาก การแย่งชิงจึงฝังอยู่ในตัวซะส่วนมาก
ถ้าเรามองข้ามสิ่งเหล่านี้ได้ คุณจะหลงรักจีนทีเดียว จางเจี่ยเจี้ย จิ่วไจ้โกว ธรรมชาติรังสรรค์
การล่องเรือเขื่อนสามผา แสดงถึงความสามารถของมนุษย์ ที่พยายามเอาชนะธรรมชาติ
อาหารถึงแม้ว่า อาหารจีนแท้ (ปักกิ่ง) จะอร่อยสู้อาหารจีนในไทยไม่ได้ เป็ดปักกิ่งที่อร่อยสู้เป็ด four season ไม่ได้
ไม่เป็นไร เรามองข้ามซะ เราออกไปเที่ยวจีนกัน
ปล. เราไม่ได้โลกสวย เพราะยังเกลียดห้องน้ำ และการขาก

ความคิดเห็นที่ 8
บ่อยครั้งที่เราไปเมืองจีน แล้วเจอคนน่ารัก ไม่ว่าจะเป็นสาว อาม่า อาเจ็ก ทั้งหลาย ไม่เคยให้ผิดหวังเลยตั้งแต่เที่ยวเมืองจีน
เนื่องจากเราพูดภาษาจีนไม่ได้เลยสักคำ ..แต่ชอบไปเที่ยวจีนมาก ของกินถูก มีสถานที่สวยงามให้ชม
ล่าสุดเลย..คือ ไปเซี่ยงไฮ้ เป็นที่รู้กันว่าส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นสถานีรถไฟ ป้ายรถเมล์ สถานที่ต่าง ๆ ในเมืองจีน ติดภาษาอังกฤษน้อยมาก
เราต้องนั่งรถไฟ จากเซี่ยงไฮ้ ไปหังโจว ด้วยรถด่วน เอาล่ะซิ หาข้อมูลแล้วแหละ แต่มืดแปดด้าน พอไปถึงสถานี เลยเล็ง ๆ คนจีนอายุน้อย ๆ อาจพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง แล้วก็เจอเธอผู้น่ารักคนนี้ค่ะ เขาพูดภาษาอังกฤษได้ไม่มาก ใช้ภาษามือกันเยอะ พาเราไปซื้อตั๋ว จนกระทั่งพามาส่งถึงทางเข้ารถไฟ
ประทับใจสุด ๆ เธอน่ารัก...จนเราให้อภัยคนจีนหลาย ๆ คนที่แซงคิว เราหน้าตาเฉย ขากเสลดใส่ขากางเกงเรา เราก็ให้อภัย นึกถึงความดีของคนนี้ชดเชยกัน
ขอให้เธอรู้ว่า..เรายังระลึกถึงเธอเสมอ

เนื่องจากเราพูดภาษาจีนไม่ได้เลยสักคำ ..แต่ชอบไปเที่ยวจีนมาก ของกินถูก มีสถานที่สวยงามให้ชม
ล่าสุดเลย..คือ ไปเซี่ยงไฮ้ เป็นที่รู้กันว่าส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นสถานีรถไฟ ป้ายรถเมล์ สถานที่ต่าง ๆ ในเมืองจีน ติดภาษาอังกฤษน้อยมาก
เราต้องนั่งรถไฟ จากเซี่ยงไฮ้ ไปหังโจว ด้วยรถด่วน เอาล่ะซิ หาข้อมูลแล้วแหละ แต่มืดแปดด้าน พอไปถึงสถานี เลยเล็ง ๆ คนจีนอายุน้อย ๆ อาจพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง แล้วก็เจอเธอผู้น่ารักคนนี้ค่ะ เขาพูดภาษาอังกฤษได้ไม่มาก ใช้ภาษามือกันเยอะ พาเราไปซื้อตั๋ว จนกระทั่งพามาส่งถึงทางเข้ารถไฟ
ประทับใจสุด ๆ เธอน่ารัก...จนเราให้อภัยคนจีนหลาย ๆ คนที่แซงคิว เราหน้าตาเฉย ขากเสลดใส่ขากางเกงเรา เราก็ให้อภัย นึกถึงความดีของคนนี้ชดเชยกัน
ขอให้เธอรู้ว่า..เรายังระลึกถึงเธอเสมอ


ความคิดเห็นที่ 21
เราชอบประเทศจีนมาก ไปเที่ยวมาหลายรอบแม้คนนิสัยแย่จะมีมากมาย
แต่ทำไมไม่รู้เราไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ อาจจะเพราะอยู่ไม่นาน แล้วก็เจอจนชิน
สองประเทศที่เราชอบมากๆคือจีนกับญี่ปุ่น ตอนนี้เลือกมาเรียนอยู่ที่ญปแล้ว เพราะพูดญปได้ตั้งแต่ต้น ถ้าไปเรียนจีนต้องเริ่มเรียนใหม่
แต่ถ้าเราพูดญปไม่ได้ แล้วทั้งสองภาษาเราเป็นความรู้เป็นศูนย์ เราจะเลือกไปจีน
เราชอบบรรยากาศประเทศจีนมากๆ มันช้งเช้ง แต่มันก็สนุกดี มันแบบว่า lively สดใสกว่า
ญปเป็นประเทศที่อึมครึมมากๆ คนไม่เป็นมิตร แม้จะไม่แสดงกิริยาหยาบคายออกมาตรงๆแบบคนจีน แต่ในใจไม่ได้คิดต่างกันหรอก
ในแง่นี้เราว่าจีนดีกว่าด้วยซ้ำ จริงใจดี คนญปน่ารำคาญ แสดงความรู้สึกอะไรก็ไม่ได้ ตามกฏทางสังคมเค้า
เราว่าอยู่ที่ญปนี่เรายิ่งรู้สึกดีกับคนจีนมากขึ้น
เพื่อนเราเป็นจีนหมดเลย (ไม่มีเพื่อนคนไทยเลยพอดีเรานิสัยประหลาด ไม่ชอบเข้ากลุ่ม สันโดดมาก คนไทยเลยไม่ค่อยยุ่งกับเรา)
นิสัยดี ร่าเริง ชวนคุยตลอด ไม่เคยทำตัวไร้มารยาทกับเราซักครั้ง มีอะไรก็ช่วยเหลือ
ดีกว่าต่างชาติประเทศอื่นในห้องเรียนเราเยอะมากอย่างไม่น่าเชื่อ
เราสนิทกับเพื่อนคนจีนได้เร็วกว่าคนญี่ปุ่นมาก เพราะเค้าใจกว้างกว่า เค้าอยากเป็นเพื่อนด้วยมากกว่า (แค่บางคนนะ จีนใจดำนี่ก็เยอะ)
คนญี่ปุ่นจะจับกลุ่มอยู่ด้วยกัน ไม่สนใจจะเป็นเพื่อนกับต่างชาติ
และที่สำคัญ เราว่าวัฒนธรรมของญี่ปุ่นทำให้เป็นเพื่อนกันได้ยากมาก
เอาแต่เกรงใจกันอยู่ได้ ไม่เป็นไร ให้เธอเลือกร้าน ไม่เป็นไรๆๆ อื่นๆอีกมากมาย
จะถามเรื่องส่วนตัวก็ไม่ได้กลัวจะละลาบละล้วง แล้วเรื่องภาษาอีก คือไม่รู้ต้องสนิทกับเลเวลไหน
ถึงจะเรียกชื่อจริงได้ หรือเมื่อไหร่จะเลิกใช้ภาษาสุภาพได้ สรุปเจอกันไปเกิน 5 รอบแล้วยังเรียก คุณ ทานากะ อยู่เลย แบบนี้
เราบอกตรงๆว่าเราเข้าไม่ถึง เราเป็นเพื่อนกับคนจีนใช้สองชั่วโมงก็เรียก ลี่ลี่จัง ได้แล้วมั้ง
เวลาไปเที่ยวที่จีน เจอคนแซงคิวก็เยอะ แต่เจอคนช่วยก็เยอะเหมือนกัน เวลาไปถามทาง
วัยรุ่นจีนที่หัวสมัยใหม่หน่อยหลายๆคนใจดีกว่าที่คิด
ปล.เห็นด้วยกับจขกท บางคนอวยญี่ปุ่นจนเราเอียนจะอ้วกแล้ว
บางทีไม่อยากจะเข้าห้องไกลบ้านเพราะรำคาญกระทู้บูชาญปกันทั้งวี่วัน
บางคนไม่ได้ไปอยู่เองไม่รู้หรอก ข้อเสียมันมากมายขนาดไหน
แต่ทำไมไม่รู้เราไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ อาจจะเพราะอยู่ไม่นาน แล้วก็เจอจนชิน
สองประเทศที่เราชอบมากๆคือจีนกับญี่ปุ่น ตอนนี้เลือกมาเรียนอยู่ที่ญปแล้ว เพราะพูดญปได้ตั้งแต่ต้น ถ้าไปเรียนจีนต้องเริ่มเรียนใหม่
แต่ถ้าเราพูดญปไม่ได้ แล้วทั้งสองภาษาเราเป็นความรู้เป็นศูนย์ เราจะเลือกไปจีน
เราชอบบรรยากาศประเทศจีนมากๆ มันช้งเช้ง แต่มันก็สนุกดี มันแบบว่า lively สดใสกว่า
ญปเป็นประเทศที่อึมครึมมากๆ คนไม่เป็นมิตร แม้จะไม่แสดงกิริยาหยาบคายออกมาตรงๆแบบคนจีน แต่ในใจไม่ได้คิดต่างกันหรอก
ในแง่นี้เราว่าจีนดีกว่าด้วยซ้ำ จริงใจดี คนญปน่ารำคาญ แสดงความรู้สึกอะไรก็ไม่ได้ ตามกฏทางสังคมเค้า
เราว่าอยู่ที่ญปนี่เรายิ่งรู้สึกดีกับคนจีนมากขึ้น
เพื่อนเราเป็นจีนหมดเลย (ไม่มีเพื่อนคนไทยเลยพอดีเรานิสัยประหลาด ไม่ชอบเข้ากลุ่ม สันโดดมาก คนไทยเลยไม่ค่อยยุ่งกับเรา)
นิสัยดี ร่าเริง ชวนคุยตลอด ไม่เคยทำตัวไร้มารยาทกับเราซักครั้ง มีอะไรก็ช่วยเหลือ
ดีกว่าต่างชาติประเทศอื่นในห้องเรียนเราเยอะมากอย่างไม่น่าเชื่อ
เราสนิทกับเพื่อนคนจีนได้เร็วกว่าคนญี่ปุ่นมาก เพราะเค้าใจกว้างกว่า เค้าอยากเป็นเพื่อนด้วยมากกว่า (แค่บางคนนะ จีนใจดำนี่ก็เยอะ)
คนญี่ปุ่นจะจับกลุ่มอยู่ด้วยกัน ไม่สนใจจะเป็นเพื่อนกับต่างชาติ
และที่สำคัญ เราว่าวัฒนธรรมของญี่ปุ่นทำให้เป็นเพื่อนกันได้ยากมาก
เอาแต่เกรงใจกันอยู่ได้ ไม่เป็นไร ให้เธอเลือกร้าน ไม่เป็นไรๆๆ อื่นๆอีกมากมาย
จะถามเรื่องส่วนตัวก็ไม่ได้กลัวจะละลาบละล้วง แล้วเรื่องภาษาอีก คือไม่รู้ต้องสนิทกับเลเวลไหน
ถึงจะเรียกชื่อจริงได้ หรือเมื่อไหร่จะเลิกใช้ภาษาสุภาพได้ สรุปเจอกันไปเกิน 5 รอบแล้วยังเรียก คุณ ทานากะ อยู่เลย แบบนี้
เราบอกตรงๆว่าเราเข้าไม่ถึง เราเป็นเพื่อนกับคนจีนใช้สองชั่วโมงก็เรียก ลี่ลี่จัง ได้แล้วมั้ง
เวลาไปเที่ยวที่จีน เจอคนแซงคิวก็เยอะ แต่เจอคนช่วยก็เยอะเหมือนกัน เวลาไปถามทาง
วัยรุ่นจีนที่หัวสมัยใหม่หน่อยหลายๆคนใจดีกว่าที่คิด
ปล.เห็นด้วยกับจขกท บางคนอวยญี่ปุ่นจนเราเอียนจะอ้วกแล้ว
บางทีไม่อยากจะเข้าห้องไกลบ้านเพราะรำคาญกระทู้บูชาญปกันทั้งวี่วัน
บางคนไม่ได้ไปอยู่เองไม่รู้หรอก ข้อเสียมันมากมายขนาดไหน
ความคิดเห็นจาก Expert Account
ความคิดเห็นที่ 74
เคยตั้งกระทู้ที่ต้องไปถ่าย pre wedding ให้คนจีนอยู่นะครับ ตอนนั้นคนดูก็ชอบอยู่นะ ผมก็แฮปปี้ อ่านดูได้ครับ
มีเล่าถึงล่ามคนจีนที่ต้องมาทำงานกับผมด้วย น่ารักมากๆ นึกทีไรฮาทุกที
แชร์ประสบการณ์ถ่ายภาพก่อนแต่งงาน(pre-wedding)กับว่าที่บ่าวสาวชาวจีนแผ่นดินใหญ่
http://pantip.com/topic/31080542
มีเล่าถึงล่ามคนจีนที่ต้องมาทำงานกับผมด้วย น่ารักมากๆ นึกทีไรฮาทุกที
แชร์ประสบการณ์ถ่ายภาพก่อนแต่งงาน(pre-wedding)กับว่าที่บ่าวสาวชาวจีนแผ่นดินใหญ่
http://pantip.com/topic/31080542
แสดงความคิดเห็น
ใครเคยมีประสบการณ์ดีๆกับประเทศจีนหรือคนจีนลองมาแชร์ให้ฟังกันหน่อย