สมาธิขั้นมรรคผล(ในพระพุทธศาสนา) กับ ฌานสมาบัติ(แบบอัญญเดียรถีย์) และ กรณี สุกขวิปัสสก

เพียงเพราะผมกล่าวไปตามความจริง ในทำนองว่า ...........

มีพระอรหันต์ในบางกรณี ที่ไม่ฌานขั้นใดๆ เลย และนั่นย่อมหมายความว่า
ต้องมี โสดาบัน สกิทาคามี และ อนาคามี ที่ไม่มีฌานขั้นใดๆ เลยเช่นกัน
ด้วยเหตุดังนี้ การพยายาม "ฝืน" ข้อเท็จจริง แล้วกล่าวว่า อนาคามี ตายแล้ว ต้องไปเกิดในพรหมโลก
จึงเป็นคำกล่าวที่ไร้สาระ จนแม้แต่การอ้างว่า ก่อนตาย จะได้ฌานไปเองตามธรรมชาติ ก็ยิ่งไร้สาระ เข้าไปใหญ่

เท่านั้นแหละ เหล่าบรรดาพวกบ้าฌาน(นอกพระพุทธศาสนา) ก็ "รับไม่ได้" ออกอาการกันใหญ่
อย่าง กรณีนี้ ชื่อนายอะไรไม่ทันได้จำ เขียนมาเสียยืดยาว แต่ไร้สาระในความเป็น สัจจะ ดังนี้ว่า



กล่าวโดยสรุป ก็คือ นายคนนี้ เขากล่าวว่า

(๑) อรหันต์ปัญญาวิมุตติ หมายถึง ผู้ไม่ได้อรูปสมาบัติ
(๒) ผม(จ้าวนครเมฆขาว) จะต้องแยกแยะธรรมให้ชัด จะได้ไม่ไป "ปรามาส" อรหันต์ปัญญาวิมุตติ ว่าไม่ได้ฌาน
(๓) กรณี สมณะปุณฑริก ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ต้องตีความให้เข้ากับสูตรอื่นด้วย
(๔) การตีความเป็นอย่างอื่น เพื่อตัดรูปฌานออก จะทำให้ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ไม่มีโอกาสบรรลุธรรม

*************************************************************************************

เอาเป็นว่า ขอนุญาต อธิบายความแบบรวมประเด็น ก็แล้วกันนะครับ กระทู้จะได้ไม่ต้องยาวมาก
เริ่มต้นที่ พระสูตร อันเป็นที่มาของ ข้อขัดแย้ง กันเลยนะครับ พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ว่า ........

บุคคลเป็นสมณะปุณฑริก อย่างไร ?

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะไม่ได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่
แต่หาได้ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยนามกายไม่ ฯลฯ



ประเด็นที่พึงพิจารณาเป็นอันดับแรก ก็คือ วิโมกข์ ๘ คืออะไร ?
ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสถึง วิโมกข์ ๘ เอาไว้หลายแห่ง กล่าวโดยสรุป หมายถึง รูปฌาน อรูปฌาน และ สัญญาเวทยิตนิโรธ



จากหลักฐานทั้งหมดนี้ หมายความว่าอะไร ?

มันก็หมายความว่า หากใครก็ตาม กล่าวว่า เจโตวิมุติ จากกรณี สมณะปุณฑริก ต้องหมายถึง ผู้ได้รูปฌาน
นั่นย่อมเท่ากับ บุคคลผู้นั้น กำลังกล่าวว่า พระบาลีพุทธพจน์ในส่วนนี้ ตรัสขัดกันเอง ในทันที !

ก็ข้อความในส่วนหลัง ระบุชัดเจนว่า สมณะปุณฑริก ไม่ได้ฌานสมาบัติใดๆ ทั้งสิ้น
แล้วคุณจะมาแปลความว่า เจโตวิมุติ ในส่วนแรก ต้องหมายถึง ผู้ได้รูปฌาน ได้อย่างไรกัน ?

เพ้อเจ้อ !

*************************************************************************************

เกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณไม่ต้องมาฟังผม แต่ให้พิจารณาจากคำอธิบายของท่านปยุตโต น่าจะเป็นการสะดวก
และง่ายดาย อย่างที่สุด ทั้งสำหรับ ท่านทั้งหลาย และ ผม ในฐานะเจ้าของกระทู้ ดังนี้



ประการแรก ที่ชาวพุทธผู้บ้าฌาน(นอกศาสนา)ทั้งหลาย พึงทำความเข้าใจให้ดีๆ ก็คือ
เจโตวิมุติ หมายถึง ความหลุดพ้นทางจิต เนื่องจาก สำรอกราคะเสียได้โดยเด็ดขาด
ซึ่งพระอรหันต์ทุกรูป ย่อมได้ทั้ง เจโตวิมุติ และ ปัญญาวิมุติ อยู่แล้ว

แต่สิ่งที่พวกบ้าฌาน(ทั้งๆ ที่ไม่เคยได้ฌาน) พึงทำความเข้าใจให้ดี ก็คือ ความหลุดพ้นทางใจ ในพระพุทธศาสนา
อาศัย สัมมาสมาธิ ซึ่งอาจเป็นฌาน หรือไม่ใช่ ก็ได้  ขออนุญาต กล่าวย้ำ อีกครั้งหนึ่ง ดังนี้ว่า

สัมมาสมาธิ ในพระพุทธศาสนา อาจเป็นฌาน หรือไม่ ก็ได้ !



จนแม้แต่คำว่า สมถะ(ความสงบระงับ) ในพระพุทธศาสนา อาจหมายถึง ฌาน หรือไม่ก็ได้เช่นเดียวกัน
เพราะ สัมมาสมาธิ ในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ มรรคมีองค์ ๘ นี้
หากมีองค์ฌานเป็นส่วนประกอบ ก็เรียกว่า ฌาน แต่ถ้าไม่มี ก็เรียก สมาธิ คือความตั้งมั่นของจิต

การที่ ชาวพุทธบางพวก เข้าใจผิดไปเองว่า สมถะ ต้องแปลว่า ฌาน หรือ สมาธิ = ฌาน
เหล่านี้ ล้วนเป็นการฉกฉวยเอา คำสอนนอกพระพุทธศาสนา เข้ามาปลอมปน ทั้งสิ้น !

สมถะ ก็ดี ฌาน ก็ดี ล้วนเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ก่อนพระพุทธศาสนา
การที่ สมถะ และ ฌาน จะเป็น สัมมาสมาธิ ในพระพุทธศาสนาได้นั้น
สมถะ และ ฌาน ดังกล่าว ย่อมต้องได้รับการอบรมด้วยปัญญาอันชอบเสียก่อน

ส่วนการยก พุทธพจน์เรื่อง อุภโตภาควิมุตบุคคล และ ปัญญาวิมุบุคคล มาอ้างนั้น
ถือว่าเป็นการอ้างแบบผิดฝาผิดตัว เพราะเรื่องนี้ มีคู่เทียบอยู่ ๒ คู่ ซึ่งชาวพุทธมักสับสนอยู่เสมอ คือ

(๑) เจโตวิมุตติ กับ ปัญญาวิมุตติ
(๒) อุภโตภาควิมุตบุคคล กับ ปัญญาวิมุตบุคคล

ข้อแรกนั้น เป็นการกล่าวถึง ภาวะ หรือ อาการบรรลุธรรม ส่วนข้อ ๒ เป็นการกล่าวถึงตัวบุคคล



กรุณา อ่านอีกครั้งหนึ่ง



ก็เอาเป็นว่า ผมมิได้ปรามาสพระอรหันต์ ที่ไหนเลย นะครับ
เนื่องจาก การกล่าวว่า พระสุกขวิปัสสก ไม่เคยได้ฌานใดๆ มาก่อน นี่เป็นความจริง มิใช่ความเท็จ

และผม ก็ไม่ได้ตัด รูปฌาน ออกจาก อริยมรรค เพราะองค์ของมรรค คือ สัมมาสมาธิ มิใช่ สัมมาฌาน หรือ สัมมาสมถะ
โดยที่ สัมมาสมาธิในพระพุทธศาสนา ไม่จำเป็นต้องหมายถึง ฌานสมาบัติ เสมอไป ......... อาจใช่ หรือไม่ใช่ ก็ได้

ทั้งหมดนี้ เป็นคำสอนเฉพาะในพระพุทธศาสนา เท่านั้น ส่วนที่นอกเหนือไปจากนี้ ผมคงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง !

สวัสดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่