ในอดีตที่ผ่านมา "ลิขสิทธิ์" กับ "อาหาร" เปรียบเหมือนพ่อกับลูกเมียน้อยยังไงยังงั้น แม้อาหารจะเป็นงานสร้างสรรค์ตากสติปัญญาของมนุษย์แต่ก็เป็นหลุมบ่อในแง่ทรัพย์สินทางปัญญาโดยเฉพาะลิขสิทธิ์เสมอมา (อย่างไรก็ตามอาหารนั้นก็ไม่ใช่ว่าสิ้นไร้การคุ้มครองทีเดียว สูตรอาหารอาจะได้รับความคุ้มครองเรื่องสิทธิบัตร(ในแง่ของกรรมวิธีการผลิต) หรือ ความลับทางการค้าได้(ในแง่ของสูตร) ส่วนอาหารหรือขนมที่มีรูปลักษณ์พิเศษก็อาจได้รับความคุ้มครองในลักษณะเครือ่งหมายการค้าก็ได้) คนทั่ว ๆ ไป รวมถึงนักกฎหมายไม่ได้นึกถึงว่าลิขสิทธิ์และอาหารมันจะมาเกี่ยวข้องกันยังไง จน 3-4 ปีหลังมานี้ หลังจากวงการอาหารได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ร้านอาหารหรูหราระดับไฮเอนเกิดขึ้นมากมาย
การเสพอาหารบางครั้งไม่ใช่แค่กินเพื่ออิ่มท้องอย่างเดียว แต่อาหารเริ่มมีความเป็นศิลปะมากขึ้น อาหารคาาวหวานในภัตตาคารมีรูปทรงสีสันแปลกตาสวยงามเป็นงานศิลปะบนจานอาหาร รวมถึงการจัดลำดับเมนูคอร์สการกินอาหารแต่ละจานก่อนหลังที่เป็นพิธีรีตองมากขึ้น ประกอบกับในภายหลังที่เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและสร้างวัฒนธรรมแชะแล้วแชร์ขึ้นมาซึ่งในภายหลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา สุดท้ายกลายเป็นประเด็นขึ้นมาไม่ว่าในต่างประเทศหรือในเมืองไทย
ส่วนตัวได้ติดตามเคสพวกนี้อยู่เนือง ๆ ก็พบว่าความถี่ของเคสที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลิขสิทธิ์ในและวงการอาหารนี่ได้เพิ่มขึ้นพอสมควร ที่ต่างประเทศเชฟบางท่านก็เรียกร้องสิทธิในส่วนดังกล่าวโดยการไม่ยอมให้ลูกค้าถ่ายภาพอาหารของตน หรือ ที่เมืองไทยก็ได้พบเจอเคสมีทั้งที่ขึ้นสู่ชั้นศาล และ ไม่ได้ขึ้นสู่ชั้นศาลให้ได้ติดตามกัน
ทั้งที่ก็มีกฎหมายทางทรัพย์สินทางปัญญาบางตัวคุ้มครองอาหารอยู่แล้วจะเรียกหาลิขสิทธิ์ทำไม ? ข้อนี้คงอธิบายได้ว่ากฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาแต่ละตัวก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไป มีข้อดีข้อด้อย มีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไป อย่างสูตรอาหารที่จะคุ้มครองภายใต้สิทธิบัตรข้อหนึ่งที่ต้องปรากฎคือต้องเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมซึ่งอาหารทั่วไปคงไม่เป็นถึงเพียงนั้น กรณีความลับทางการค้ามันต้องลับจริงห้ามเผยแพร่ถ้าเผยแพร่มันก็ไม่ลับ และ ไม่ห้ามการทำวิศวกรรมย้อนกลับด้วย ดังนั้นจะไปคุ้มครองอาหารที่ขายในแง่รูปลักษณ์รูปทรงก็คงจะไม่เหมาะนัก ส่วนเครื่องหมายการค้าอันที่จริงแล้วในเครื่องหมายการค้านั้น คือ เครื่องหมายที่มีจุดประสงค์ให้คนแยกออกว่าสินค้านั้นเป็นของใครมาจากไหน จะเป็นเรื่องอาหารเสียทีเดียวก็คงไม่ถูกต้องนัก
ดังนั้น "อาหาร" จะได้รับความคุ้มครองตามหลักกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาตามที่กล่าวข้างต้นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ตามที่กฎหมายนั้นได้ระบุไว้ ดังนั้นคงไม่ใช่อาหารทุกชนิด ทุกกรณี ทุกประเภทจะได้รับความคุ้มครอง โดยเฉพาะอาหาร หรือ ขนม จานเดี่ยว ๆ ตกแต่งสวยงามไปทางศิลปะ คงไม่ใช่อยู่ในทางสิทธิบัตร ความลับทางการค้า หรือ เครื่องหมายการค้าเท่าใดนัก แต่ด้วยการลงทุนลงแรงความคิดสร้างสรรค์จากสติปัญญาของมนุษย์ และ วัฒนธรรมแชะแล้วแชร์ที่ปรากฎในทางปัจจุบันก็เป็นไปได้ว่าผู้สร้างสรรค์ผลงานเริ่มอยากจะได้รับความคุ้มครองกับเขาบ้าง ทางออกที่ตามมาก็คือหลุมบ่อ หรือ ลูกเมียน้อยที่ว่ามาตอนต้นนั่นแหละค่ะ "ลิขสิทธิ์" เพราะ ลิขสิทธิ์มุ่งเน้นการคุ้มครองผลงานการสร้างสรรค์งานของมนุษย์ที่มีลักษณะไปทาง Art ผิดกับสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าที่มุ่งเน้นเรื่องทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม ถ้าพิจารณาอาหารเป็น Art อย่างหนึ่งนั้นเป็นไปได้สูง แต่ก็ต้องคำนึงว่าไม่ใช่อาหารทุกชนิดหรอกที่จะถึงขนาดได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ เพราะ มันก็มีกฎเกณฑ์ของมันอยู่
หลักการที่จะทำให้ "ผลงาน" อันเกิดจากการสร้างสรรค์ของมนุษย์ ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์มีดังต่อไปนี้
1. เป็นงานที่สร้างสรรค์ หมายความว่า เป็นงานที่ก่อให้เกิดขึ้นด้วยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของบุคคล ซึ่งความคิดริเริ่ม (Originality) คือ ความความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างความคิด (idea) และ การแสดงออก (expression) ของผู้สร้างสรรค์ผ่านฝีมือและความอุตสาหะให้ออกมาเป็นชิ้นงาน ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับความใหม่ (novelty) ในเรื่องสิทธิบัตร ความใหม่ คือ ไม่มีใครคิด หรือ ทำออกมาก่อน ไม่เคยปรากฎมาก่อน แต่ความคิดริเริ่ม หรือ ความเป็น original มีพื้นฐานมากจากการใช้ทักษะ ประสบการณ์ ความคิดสร้างสรรค์ แรงงาน เงินทุน แล้วกลั่นออกมาเป็นผลงาน
เช่น ช่างภาพ 5 คน ไปงาน event เพื่อถ่ายภาพดารา A ทุกคนถ่ายภาพดารา A เหมือนกันหมด กรณีนี้ช่างภาพแต่ละคนถ่ายภาพดารา A โดยใช้ทักษะส่วนตัว วิธีการใช้อุปกรณ์ เทคนิคการกำหนดแสง และ มุมกล้อง ตามประสบการณ์ของช่างภาพแต่ละคน แม้ภาพที่ออกมาจะเป็นภาพของดารา A เหมือนกัน หากแต่ละภาพเกิดจากความคิดริเริ่มสวนบุคคลของช่างภาพจึงได้ออกมาเป็นผลงานที่ต่างกัน ภาพแต่ละภาพของดารา A จึงมีโอกาสได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์แยกจากกัน
การพิจารณาในเรื่องความคิดริเริ่มในงานสร้างสรรค์เป็นเรื่องสำคัญ และ มีข้อพิจารณาที่ละเอียดอ่อน ยิ่งความคิดริเริ่มมีระดับที่น้อยลงเท่าใด โอกาสที่จะได้รับความคุ้มครองก็ยิ่งน้อยลงไปด้วย เช่น หากใช้ทักษะ ความสามารถ เงินทุน ประกอบกันแล้วเป็นเพียงการลอกเลียนงานเดิม ก็ไม่ถือว่ามีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในงาน แต่ถ้าเป็นการดัดแปลงงในส่วนที่สำคัญถือเป็นความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้เช่นกัน
2. มีรูปร่างปรากฎ หมายความว่า งานสร้างสรรค์จะต้องมีรูปแบบการปรากฎออกมาเป็นรูปธรรม มีความแน่นอน เช่น เป็นเสียงพูด เป็นตัวหนังสือ เป็นรูปทรง รูปร่าง เป็นเสียง หรือ ภาพ ตามแต่ลักษณะของชนิดงานนั้น ๆ แต่จะต้องมีการบันทึก (fixation) หรือไม่ ก็แล้วแต่กฎหมายภายในแต่ละประเทศ
3. เป็นงานตามที่กฎหมายกำหนด หมายความว่า เป็นงานชนิดใดชนิดหนึ่งตามที่ปรากฎตามม.6 พรบ.ลิขสิทธิ์ 2537 (วรรณกรรม ศิลปกรรม นาฎกรรม ดนตรีกรรม ภาพยนตร์ ภาพถ่าย งานศิลปะประยุกต์)
4. ไม่ข้ดต่อความสงบเรียบร้อย หรือ ศีลธรรมอันดีของประชาชน (หลักตามคำพิพากษาฎีกา) ข้อนี้ไม่แน่ใจว่าเดี๋ยวนี้กลับหลักไปหรือยัง เนื่องจากมันนานมากแล้ว ฎีกานั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิดีโอที่มีภาพลามกบางส่วนประกอบอยู่ ศาลจึงมีการขยายหลักเกณฑ์งานที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ให้มีหลักความสงบเรียบร้อยออกมาด้วย
การได้มาซึ่งความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์มีดังต่อไปนี้
1. การได้มาโดยการสร้างสรรค์ กล่าวง่าย ๆ คือ การทำชิ้นงานขึ้นมาด้วยตนเอง ไม่ได้ลอกเลียนแบบจากผู้อื่นผู้ใด เอาไอเดียมาใช้ได้ แต่ไม่ใช่ expression of idea
2. การได้มาโดยการดัดแปลง คือ การทำซ้ำโดยเปลี่ยนรูปแบบใหม่ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม หรือ จำลองงานต้นฉบับในส่วนที่เป็นสาระสำคัญโดยไม่มีลักษณะจัดทำงานขึ้นใหม่ทั้งนี้ไม่ว่าทั้งหมด หรือ บางส่วน ... ในส่วนที่เกี่ยวกับศิลปกรรม ให้หมายความรวมถึง เปลี่ยนงานรูป 2 มิติ เป็น 3 มิติ หรือ ปรับงาน 3 มิติเป็น 2 มิติ
** การดัดแปลงงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่นหากได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์แล้ว ผู้ดัดแปลงนั้นย่อมได้ลิขสิทธิ์ในงานที่ดัดแปลงขึ้น แต่ถ้าดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ดัดแปลงจะไม่ได้เป็นเจ้าของลิขิทธิ์งานดัดแปลงนั้น และ ถือว่าละเมิดลิขสิทธิ์เจ้าของงานที่ตนดัดแปลงด้วย
3. การได้มาโดยการรวบรวมงานหรือประกอบเข้ากัน หมายถึง การรวบรวม หรือ ประกอบเข้ากันซึ่งงานอันมีลิขสิทธิ์โดยได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ เช่น การจัดทำแผ่น CD เพลงโดยเอาเพลงต่าง ๆ มารวมเข้ากัน (ผู้รวบรวมหรือผู้ประกอบเจ้ากันไม่มีสิทธิในตัวเพลง แต่มีสิทธิในฐานะที่เป็นผู้รวบรวมจัดลำดับ หรือ คัดเลือก เพลงนั้น ๆ )
4. การได้มาโดยการเป็นลูกจ้างตามสัญญาจ้างทำของ
5. การได้มาโดยการเป็นผู้ว่าจ้างตามสัญญาจ้างทำของ
6. การได้มาโดยการจ้างหรือตามคำสั่งของกระทรวง ทบวง กรม
7. การได้มาโดยการโอนทางนิติกรรม หรือ การรับมรดก
สิทธิของผู้สร้างสรรค์แบ่งเป็น 2 ประเภท
1. สิทธิตามมาตรา 15 เป็นสิทธิทางเศรษฐกิจ เอาไว้หาประโยชน์ สิทธิที่ว่าเช่น การดัดแปลง ทำซ้ำ เผยแพร่ต่อสาธารณะ เป็นต้น สิทธิเหล่านี้โอนได้ โดยมีค่าตอบแทนหรือไม่มีค่าตอบแทนก็แล้วแต่ จะโอนไปให้คนอื่นที่ไม่ใช่ผู้สร้างสรรค์งานทั้งหมดก็ได้แล้วแต่ตกลงกัน
2. สิทธิตามมาตรา 18 เป็นธรรมสิทธิ์ คือ สิทธิที่ผู้สร้างสรรค์ใช้กล่าวอ้างว่าตนเป็นผู้สร้างงานอันมีลิขสิทธิ์ขึ้นมา (เช่น บอกว่านิยายเรื่องคู่กรรม วรินทร์รตา เป็นผู้แต่ง ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเป็นงานวรรณกรรมของทมยันตี แบบนี้ไม่ได้) และ สิทธิหวงห้ามไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงหรือดัดแปลงให้เป็นที่เสื่อมเสียเกียรติคุณของผู้สร้างสรรค์ (เช่น ดัดแปลงคู่กรรมให้เป็นละครตลก ทั้งที่เป็นละครโศกนาฏกรรม คนละคู่กรรมในลักษณะบทประพันธ์) ซึ่งเป็นสิทธิส่วนตัวโอนแก่ใครไม่ได้ และ เป็นสิทธิที่เป็นอิสระจากสิทธิทางเศรษฐกิจ (สังเกตว่าเป็นสิทธิ ดังนั้นจะใช้หรือไม่ใช่แล้วแต่ผู้สร้างสรรค์ หรือ เจ้าของลิขสิทธิ์)
ระยะเวลาการคุ้มครองสิทธิ
ตลอดชีวิต+50ปี (งานทั่วไป อย่างไรก็ตามในงานอื่น ๆ อาจมีอายุการคุ้มครองน้อยกว่านี้ เช่น งานภาพถ่ายมีอายุการคุ้มครอง 50 ปีนับแต่วันที่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้นมา) ประเด็นคือ งานเมื่อหมดความคุ้มครองแล้วจะกลายเป็น public domain ไม่มีลิขสิทธิ์คุ้มครองอีกต่อไป
สิ่งที่ไม่ได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายลิขสิทธิ์
ทรัพย์สินทางปัญญาคุ้มครองงานที่เกิดจากสติปัญญามนุษย์ ดังนั้นอะไรที่เกิดโดยธรรมชาติ เช่น รูปคน วิวทิวทัศน์ ผลไม้ ดอกไม้ ต่าง ๆ ไม่ได้อยู่ในขอบขายของงานที่ได้รับความคุ้มครอง รวมทั้งกรรมวิธี หลักการ การค้นพบ แนวคิด ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ หรือ คณิตศาสตร์ด้วย
ป.ล. 1. แต่กรรมวิธี สูตร อะไรต่าง ๆ นี้ด้วยตัวมันเองอาจได้รับความคุ้มครองในลักษณะสิทธิบัตรได้แต่ไม่ใช่ลิขสิทธิ์
2. กรณีถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ ภาพคน ภาพดอกไม้ ใบหญ้า ก็จะกลายเป็นงานภาพถ่ายซึ่งสามารถได้รับความคุ้มครองทางลิขสิทธิ์ได้ แต่ตัววิว ตัวผลไม้ ดอกไม้ดอกไร่ หรือ ตัวคน ไม่มีลิขสิทธิ์ (ในส่วนของคนหากไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายรูป คนผู้นั้นห้ามไม่ให้ใช้ภาพได้ แต่ไม่ได้หมายความว่างานไม่มีลิขสิทธิ์)
3. งานบางประเภทอาจเข้าหลักเกณฑ์ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาได้หลายตัว แต่เท่าที่ทราบต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง เช่น ถ้าเลือกจะเป็นออกแบบผลิตภัณฑ์ตามกฎหมายสิทธิบัตร ก็ต้องสละความคุ้มครองตามแบบกฎหมายอื่นไป (มีผลเรื่องการละเมิด เพราะ เงื่อนไขการละเมิดของกฎหมายแต่ละตัวไม่เหมือนกัน)
สิ่งที่ไม่ถือว่าเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์
1. ข่าวสารประจำวัน (แต่ถ้าเป็นบทความ การวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ บทบรรณาธิการ ถือเป็นวรรณกรรม)
2. กฎหมาย
3. ระเบียบ ข้อบังคับ
4 คำพิพากษา
4. คำแปลงาน 1-4
5. งานอันมีลิขสิทธิ์ที่เจ้าจองลิขสิทธิ์สละความเป็นเจ้าของแล้ว
6. public domain
7. งานขัดต่อศีลธรรม (ฎ. 3705/2530)
การละเมิดลิขสิทธิ์
มีกรณีทางตรงกับทางอ้อม ว่าด้วยทางตรงเรื่องเดียวก่อน คือ การใช้สิทธิตามมาตรา 15 และ 18 โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ และ ผู้สร้างสรรค์ตามลำดับนั่นเอง
ความแตกต่างระหว่างสิทธิตามกฎหมายลิขสิทธิ์และกรรมสิทธิ์
กรรมสิทธิ์ กับ สิทธิตามกฎหมายลิขสิทธิ์ไม่เหมือนกัน กรณีการมีกรรมสิทธิ์ จะเป็นสิทธิที่คงทนถาวรมากทำให้ผู้มีกรรมสิทธิ์สามารถจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สิน รื้อถอน ทำลาย ติดตามเอาคืนทรัพย์สิน และ ไม่สิ้นสุดไปโดยกาลเวลา กรรมสิทธิ์สิ้นสุดไปเมื่อตัวทรัพย์นั้นบุบสลายไป ทรัพย์สินชิ้นหนึ่งมีหลายมิติคือมีมิติด้านความเป็นเจ้าของในลักษณะกรรมสิทธิ์ และ อาจมีมิติด้านทรัพย์สินทางปัญญาอีกด้วย เช่น ซื้อหนังสือมาหนึ่งเล่ม เราผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สามารถจำหน่ายจ่ายโอนหนังสือได้ จะเผาทำลายก็ได้ ใครมายื้อแย่งไปก็ติดตามเอาคืนได้ เป็นแดนกรรมสิทธิ์ของเรา แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถ copy หนังสือแล้วขาย หรือ สแกนแล้วเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตได้ เป็นต้น
(วิเคราะห์อีกซักที) : ภาพถ่าย อาหาร และ งานอันมีลิขสิทธิ์ (คำเตือน : เนื้อหากระทู้ยาว)
การเสพอาหารบางครั้งไม่ใช่แค่กินเพื่ออิ่มท้องอย่างเดียว แต่อาหารเริ่มมีความเป็นศิลปะมากขึ้น อาหารคาาวหวานในภัตตาคารมีรูปทรงสีสันแปลกตาสวยงามเป็นงานศิลปะบนจานอาหาร รวมถึงการจัดลำดับเมนูคอร์สการกินอาหารแต่ละจานก่อนหลังที่เป็นพิธีรีตองมากขึ้น ประกอบกับในภายหลังที่เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและสร้างวัฒนธรรมแชะแล้วแชร์ขึ้นมาซึ่งในภายหลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา สุดท้ายกลายเป็นประเด็นขึ้นมาไม่ว่าในต่างประเทศหรือในเมืองไทย
ส่วนตัวได้ติดตามเคสพวกนี้อยู่เนือง ๆ ก็พบว่าความถี่ของเคสที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลิขสิทธิ์ในและวงการอาหารนี่ได้เพิ่มขึ้นพอสมควร ที่ต่างประเทศเชฟบางท่านก็เรียกร้องสิทธิในส่วนดังกล่าวโดยการไม่ยอมให้ลูกค้าถ่ายภาพอาหารของตน หรือ ที่เมืองไทยก็ได้พบเจอเคสมีทั้งที่ขึ้นสู่ชั้นศาล และ ไม่ได้ขึ้นสู่ชั้นศาลให้ได้ติดตามกัน
ทั้งที่ก็มีกฎหมายทางทรัพย์สินทางปัญญาบางตัวคุ้มครองอาหารอยู่แล้วจะเรียกหาลิขสิทธิ์ทำไม ? ข้อนี้คงอธิบายได้ว่ากฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาแต่ละตัวก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไป มีข้อดีข้อด้อย มีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไป อย่างสูตรอาหารที่จะคุ้มครองภายใต้สิทธิบัตรข้อหนึ่งที่ต้องปรากฎคือต้องเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมซึ่งอาหารทั่วไปคงไม่เป็นถึงเพียงนั้น กรณีความลับทางการค้ามันต้องลับจริงห้ามเผยแพร่ถ้าเผยแพร่มันก็ไม่ลับ และ ไม่ห้ามการทำวิศวกรรมย้อนกลับด้วย ดังนั้นจะไปคุ้มครองอาหารที่ขายในแง่รูปลักษณ์รูปทรงก็คงจะไม่เหมาะนัก ส่วนเครื่องหมายการค้าอันที่จริงแล้วในเครื่องหมายการค้านั้น คือ เครื่องหมายที่มีจุดประสงค์ให้คนแยกออกว่าสินค้านั้นเป็นของใครมาจากไหน จะเป็นเรื่องอาหารเสียทีเดียวก็คงไม่ถูกต้องนัก
ดังนั้น "อาหาร" จะได้รับความคุ้มครองตามหลักกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาตามที่กล่าวข้างต้นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ตามที่กฎหมายนั้นได้ระบุไว้ ดังนั้นคงไม่ใช่อาหารทุกชนิด ทุกกรณี ทุกประเภทจะได้รับความคุ้มครอง โดยเฉพาะอาหาร หรือ ขนม จานเดี่ยว ๆ ตกแต่งสวยงามไปทางศิลปะ คงไม่ใช่อยู่ในทางสิทธิบัตร ความลับทางการค้า หรือ เครื่องหมายการค้าเท่าใดนัก แต่ด้วยการลงทุนลงแรงความคิดสร้างสรรค์จากสติปัญญาของมนุษย์ และ วัฒนธรรมแชะแล้วแชร์ที่ปรากฎในทางปัจจุบันก็เป็นไปได้ว่าผู้สร้างสรรค์ผลงานเริ่มอยากจะได้รับความคุ้มครองกับเขาบ้าง ทางออกที่ตามมาก็คือหลุมบ่อ หรือ ลูกเมียน้อยที่ว่ามาตอนต้นนั่นแหละค่ะ "ลิขสิทธิ์" เพราะ ลิขสิทธิ์มุ่งเน้นการคุ้มครองผลงานการสร้างสรรค์งานของมนุษย์ที่มีลักษณะไปทาง Art ผิดกับสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าที่มุ่งเน้นเรื่องทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม ถ้าพิจารณาอาหารเป็น Art อย่างหนึ่งนั้นเป็นไปได้สูง แต่ก็ต้องคำนึงว่าไม่ใช่อาหารทุกชนิดหรอกที่จะถึงขนาดได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ เพราะ มันก็มีกฎเกณฑ์ของมันอยู่
หลักการที่จะทำให้ "ผลงาน" อันเกิดจากการสร้างสรรค์ของมนุษย์ ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์มีดังต่อไปนี้
1. เป็นงานที่สร้างสรรค์ หมายความว่า เป็นงานที่ก่อให้เกิดขึ้นด้วยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของบุคคล ซึ่งความคิดริเริ่ม (Originality) คือ ความความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างความคิด (idea) และ การแสดงออก (expression) ของผู้สร้างสรรค์ผ่านฝีมือและความอุตสาหะให้ออกมาเป็นชิ้นงาน ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับความใหม่ (novelty) ในเรื่องสิทธิบัตร ความใหม่ คือ ไม่มีใครคิด หรือ ทำออกมาก่อน ไม่เคยปรากฎมาก่อน แต่ความคิดริเริ่ม หรือ ความเป็น original มีพื้นฐานมากจากการใช้ทักษะ ประสบการณ์ ความคิดสร้างสรรค์ แรงงาน เงินทุน แล้วกลั่นออกมาเป็นผลงาน
เช่น ช่างภาพ 5 คน ไปงาน event เพื่อถ่ายภาพดารา A ทุกคนถ่ายภาพดารา A เหมือนกันหมด กรณีนี้ช่างภาพแต่ละคนถ่ายภาพดารา A โดยใช้ทักษะส่วนตัว วิธีการใช้อุปกรณ์ เทคนิคการกำหนดแสง และ มุมกล้อง ตามประสบการณ์ของช่างภาพแต่ละคน แม้ภาพที่ออกมาจะเป็นภาพของดารา A เหมือนกัน หากแต่ละภาพเกิดจากความคิดริเริ่มสวนบุคคลของช่างภาพจึงได้ออกมาเป็นผลงานที่ต่างกัน ภาพแต่ละภาพของดารา A จึงมีโอกาสได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์แยกจากกัน
การพิจารณาในเรื่องความคิดริเริ่มในงานสร้างสรรค์เป็นเรื่องสำคัญ และ มีข้อพิจารณาที่ละเอียดอ่อน ยิ่งความคิดริเริ่มมีระดับที่น้อยลงเท่าใด โอกาสที่จะได้รับความคุ้มครองก็ยิ่งน้อยลงไปด้วย เช่น หากใช้ทักษะ ความสามารถ เงินทุน ประกอบกันแล้วเป็นเพียงการลอกเลียนงานเดิม ก็ไม่ถือว่ามีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในงาน แต่ถ้าเป็นการดัดแปลงงในส่วนที่สำคัญถือเป็นความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้เช่นกัน
2. มีรูปร่างปรากฎ หมายความว่า งานสร้างสรรค์จะต้องมีรูปแบบการปรากฎออกมาเป็นรูปธรรม มีความแน่นอน เช่น เป็นเสียงพูด เป็นตัวหนังสือ เป็นรูปทรง รูปร่าง เป็นเสียง หรือ ภาพ ตามแต่ลักษณะของชนิดงานนั้น ๆ แต่จะต้องมีการบันทึก (fixation) หรือไม่ ก็แล้วแต่กฎหมายภายในแต่ละประเทศ
3. เป็นงานตามที่กฎหมายกำหนด หมายความว่า เป็นงานชนิดใดชนิดหนึ่งตามที่ปรากฎตามม.6 พรบ.ลิขสิทธิ์ 2537 (วรรณกรรม ศิลปกรรม นาฎกรรม ดนตรีกรรม ภาพยนตร์ ภาพถ่าย งานศิลปะประยุกต์)
4. ไม่ข้ดต่อความสงบเรียบร้อย หรือ ศีลธรรมอันดีของประชาชน (หลักตามคำพิพากษาฎีกา) ข้อนี้ไม่แน่ใจว่าเดี๋ยวนี้กลับหลักไปหรือยัง เนื่องจากมันนานมากแล้ว ฎีกานั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิดีโอที่มีภาพลามกบางส่วนประกอบอยู่ ศาลจึงมีการขยายหลักเกณฑ์งานที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ให้มีหลักความสงบเรียบร้อยออกมาด้วย
การได้มาซึ่งความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์มีดังต่อไปนี้
1. การได้มาโดยการสร้างสรรค์ กล่าวง่าย ๆ คือ การทำชิ้นงานขึ้นมาด้วยตนเอง ไม่ได้ลอกเลียนแบบจากผู้อื่นผู้ใด เอาไอเดียมาใช้ได้ แต่ไม่ใช่ expression of idea
2. การได้มาโดยการดัดแปลง คือ การทำซ้ำโดยเปลี่ยนรูปแบบใหม่ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม หรือ จำลองงานต้นฉบับในส่วนที่เป็นสาระสำคัญโดยไม่มีลักษณะจัดทำงานขึ้นใหม่ทั้งนี้ไม่ว่าทั้งหมด หรือ บางส่วน ... ในส่วนที่เกี่ยวกับศิลปกรรม ให้หมายความรวมถึง เปลี่ยนงานรูป 2 มิติ เป็น 3 มิติ หรือ ปรับงาน 3 มิติเป็น 2 มิติ
** การดัดแปลงงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่นหากได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์แล้ว ผู้ดัดแปลงนั้นย่อมได้ลิขสิทธิ์ในงานที่ดัดแปลงขึ้น แต่ถ้าดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ดัดแปลงจะไม่ได้เป็นเจ้าของลิขิทธิ์งานดัดแปลงนั้น และ ถือว่าละเมิดลิขสิทธิ์เจ้าของงานที่ตนดัดแปลงด้วย
3. การได้มาโดยการรวบรวมงานหรือประกอบเข้ากัน หมายถึง การรวบรวม หรือ ประกอบเข้ากันซึ่งงานอันมีลิขสิทธิ์โดยได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ เช่น การจัดทำแผ่น CD เพลงโดยเอาเพลงต่าง ๆ มารวมเข้ากัน (ผู้รวบรวมหรือผู้ประกอบเจ้ากันไม่มีสิทธิในตัวเพลง แต่มีสิทธิในฐานะที่เป็นผู้รวบรวมจัดลำดับ หรือ คัดเลือก เพลงนั้น ๆ )
4. การได้มาโดยการเป็นลูกจ้างตามสัญญาจ้างทำของ
5. การได้มาโดยการเป็นผู้ว่าจ้างตามสัญญาจ้างทำของ
6. การได้มาโดยการจ้างหรือตามคำสั่งของกระทรวง ทบวง กรม
7. การได้มาโดยการโอนทางนิติกรรม หรือ การรับมรดก
สิทธิของผู้สร้างสรรค์แบ่งเป็น 2 ประเภท
1. สิทธิตามมาตรา 15 เป็นสิทธิทางเศรษฐกิจ เอาไว้หาประโยชน์ สิทธิที่ว่าเช่น การดัดแปลง ทำซ้ำ เผยแพร่ต่อสาธารณะ เป็นต้น สิทธิเหล่านี้โอนได้ โดยมีค่าตอบแทนหรือไม่มีค่าตอบแทนก็แล้วแต่ จะโอนไปให้คนอื่นที่ไม่ใช่ผู้สร้างสรรค์งานทั้งหมดก็ได้แล้วแต่ตกลงกัน
2. สิทธิตามมาตรา 18 เป็นธรรมสิทธิ์ คือ สิทธิที่ผู้สร้างสรรค์ใช้กล่าวอ้างว่าตนเป็นผู้สร้างงานอันมีลิขสิทธิ์ขึ้นมา (เช่น บอกว่านิยายเรื่องคู่กรรม วรินทร์รตา เป็นผู้แต่ง ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเป็นงานวรรณกรรมของทมยันตี แบบนี้ไม่ได้) และ สิทธิหวงห้ามไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงหรือดัดแปลงให้เป็นที่เสื่อมเสียเกียรติคุณของผู้สร้างสรรค์ (เช่น ดัดแปลงคู่กรรมให้เป็นละครตลก ทั้งที่เป็นละครโศกนาฏกรรม คนละคู่กรรมในลักษณะบทประพันธ์) ซึ่งเป็นสิทธิส่วนตัวโอนแก่ใครไม่ได้ และ เป็นสิทธิที่เป็นอิสระจากสิทธิทางเศรษฐกิจ (สังเกตว่าเป็นสิทธิ ดังนั้นจะใช้หรือไม่ใช่แล้วแต่ผู้สร้างสรรค์ หรือ เจ้าของลิขสิทธิ์)
ระยะเวลาการคุ้มครองสิทธิ
ตลอดชีวิต+50ปี (งานทั่วไป อย่างไรก็ตามในงานอื่น ๆ อาจมีอายุการคุ้มครองน้อยกว่านี้ เช่น งานภาพถ่ายมีอายุการคุ้มครอง 50 ปีนับแต่วันที่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้นมา) ประเด็นคือ งานเมื่อหมดความคุ้มครองแล้วจะกลายเป็น public domain ไม่มีลิขสิทธิ์คุ้มครองอีกต่อไป
สิ่งที่ไม่ได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายลิขสิทธิ์
ทรัพย์สินทางปัญญาคุ้มครองงานที่เกิดจากสติปัญญามนุษย์ ดังนั้นอะไรที่เกิดโดยธรรมชาติ เช่น รูปคน วิวทิวทัศน์ ผลไม้ ดอกไม้ ต่าง ๆ ไม่ได้อยู่ในขอบขายของงานที่ได้รับความคุ้มครอง รวมทั้งกรรมวิธี หลักการ การค้นพบ แนวคิด ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ หรือ คณิตศาสตร์ด้วย
ป.ล. 1. แต่กรรมวิธี สูตร อะไรต่าง ๆ นี้ด้วยตัวมันเองอาจได้รับความคุ้มครองในลักษณะสิทธิบัตรได้แต่ไม่ใช่ลิขสิทธิ์
2. กรณีถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ ภาพคน ภาพดอกไม้ ใบหญ้า ก็จะกลายเป็นงานภาพถ่ายซึ่งสามารถได้รับความคุ้มครองทางลิขสิทธิ์ได้ แต่ตัววิว ตัวผลไม้ ดอกไม้ดอกไร่ หรือ ตัวคน ไม่มีลิขสิทธิ์ (ในส่วนของคนหากไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายรูป คนผู้นั้นห้ามไม่ให้ใช้ภาพได้ แต่ไม่ได้หมายความว่างานไม่มีลิขสิทธิ์)
3. งานบางประเภทอาจเข้าหลักเกณฑ์ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาได้หลายตัว แต่เท่าที่ทราบต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง เช่น ถ้าเลือกจะเป็นออกแบบผลิตภัณฑ์ตามกฎหมายสิทธิบัตร ก็ต้องสละความคุ้มครองตามแบบกฎหมายอื่นไป (มีผลเรื่องการละเมิด เพราะ เงื่อนไขการละเมิดของกฎหมายแต่ละตัวไม่เหมือนกัน)
สิ่งที่ไม่ถือว่าเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์
1. ข่าวสารประจำวัน (แต่ถ้าเป็นบทความ การวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ บทบรรณาธิการ ถือเป็นวรรณกรรม)
2. กฎหมาย
3. ระเบียบ ข้อบังคับ
4 คำพิพากษา
4. คำแปลงาน 1-4
5. งานอันมีลิขสิทธิ์ที่เจ้าจองลิขสิทธิ์สละความเป็นเจ้าของแล้ว
6. public domain
7. งานขัดต่อศีลธรรม (ฎ. 3705/2530)
การละเมิดลิขสิทธิ์
มีกรณีทางตรงกับทางอ้อม ว่าด้วยทางตรงเรื่องเดียวก่อน คือ การใช้สิทธิตามมาตรา 15 และ 18 โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ และ ผู้สร้างสรรค์ตามลำดับนั่นเอง
ความแตกต่างระหว่างสิทธิตามกฎหมายลิขสิทธิ์และกรรมสิทธิ์
กรรมสิทธิ์ กับ สิทธิตามกฎหมายลิขสิทธิ์ไม่เหมือนกัน กรณีการมีกรรมสิทธิ์ จะเป็นสิทธิที่คงทนถาวรมากทำให้ผู้มีกรรมสิทธิ์สามารถจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สิน รื้อถอน ทำลาย ติดตามเอาคืนทรัพย์สิน และ ไม่สิ้นสุดไปโดยกาลเวลา กรรมสิทธิ์สิ้นสุดไปเมื่อตัวทรัพย์นั้นบุบสลายไป ทรัพย์สินชิ้นหนึ่งมีหลายมิติคือมีมิติด้านความเป็นเจ้าของในลักษณะกรรมสิทธิ์ และ อาจมีมิติด้านทรัพย์สินทางปัญญาอีกด้วย เช่น ซื้อหนังสือมาหนึ่งเล่ม เราผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สามารถจำหน่ายจ่ายโอนหนังสือได้ จะเผาทำลายก็ได้ ใครมายื้อแย่งไปก็ติดตามเอาคืนได้ เป็นแดนกรรมสิทธิ์ของเรา แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถ copy หนังสือแล้วขาย หรือ สแกนแล้วเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตได้ เป็นต้น