หัวข้อกระทู้ตีความได้ว่า
1 ภาษาอังกฤษไม่ยาก
2 ส่วนที่ยากของภาษาอังกฤษมันคืออะไร
ในช่วงเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมามีนักเขียนบางคนที่รวยเละไปแล้ว เพราะพวกเค้าประสบความสำเร็จในการเขียนหนังสือให้คนเชื่อว่า “ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว” ซึ่งในบรรดาคำแนะนำที่พวกเราคุ้นกันอยู่ก็คือ
1 ทำใจกล้าๆพูดๆไปเหอะ ไม่ต้องไปสนใจ grammar มัน (ก็เลยบางทีก็พูดรู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่ง แต่รับรองได้ว่าเวลาเขียนน่ะลงนรกแหงๆเลย...555+++...)
2 เอาเสียงฝรั่งพูดมาเปิดฟังตอนนอน (ก็เลยนอนไม่หลับกระสับกระส่ายไปทั้งคืน...555+++...)
3 เอาหนังฝรั่งมาดูเยอะๆ ดูรู้เรื่องไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร เดี๋ยวก็รู้เรื่องเอง (แต่ยิ่งดูก็ยิ่งมึน)
และอื่นๆอีกมากมาย
การโน้มน้าวให้ผู้อ่านเชื่อว่า “ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว” เป็น advertising gimmick (ลูกเล่นในการโฆษณา) ชั้นเยี่ยม ที่ทำให้หนังสือแนวนี้ sell like hotcakes ซึ่งตรงกับภาษาไทยที่ว่า “ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า” (ใช่เอาไปเททิ้งน้ำหมด...555+++...)
แต่หลังจากได้รับคำแนะนำอันน่าเลื่อมใสเหล่านั้นมากว่า 20 ปี คนไทยเป็นจำนวนมากก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการเรียนภาษาอังกฤษ
เราจึงคิดเล่นๆในมุมมองที่เป็น paradoxes
^
รู้สึกเค้าภาษาไทยเค้าจะเรียกว่า ปฏิทรรศน์ ไปดูข้อมูลได้ที่นี่
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B9%8C
ถ้าเราเขียนหนังสือบอกว่า “ภาษาอังกฤษมันยากตรงไหน” โดยบอกผู้อ่านว่าให้ระวังความยากใน topic นั้น หรือ topic นี้ และเรียนรู้หาวิธีพิชิตความยากของมัน แล้วเอาไปวางเทียบกับหนังสือที่เขียนบอกว่า “ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว” นักการตลาดของสำนักพิมพ์จะเลือกพิมพ์เล่มไหน...555+++...
....................................................................................................................................................................................
เอาหละ ตอนนี้เรามาดูกันว่า “ภาษาอังกฤษยากตรงไหน”
จากการเคยเห็นคนอื่นสอน และที่ตัวเองเคยถูกสอนมา มันก็มีวิธีการสอนหลายวิธี เราจะมาดูจุดอ่อนจุดแข็งของวิธีการสอนหลายๆวิธี
ลองจำลองสถานการณ์สิว่า เรากำลังจะสอนภาษาอังกฤษให้ใครสักคนที่ไม่กระดิกหูเลย จะเดินแต้มไหนดี
การสอนภาษาอังกฤษเป็นศาสตร์เฉพาะทาง ผู้บริหารการศึกษาไทยเข้าใจอะไรผิดๆคิดว่าใครจบครูมาหรือสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูมาก็เป็นครูสอนภาษาอังกฤษได้ การเรียนการสอนภาษาอังกฤษในเมืองไทยมันถึงเละมากๆ
จริงๆแล้วคนที่จะเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่ดีได้นั้น ก่อนอื่นตัวเค้าเองควรเก่งภาษาอังกฤษ (ไม่ใช่อ่อนภาษาอังกฤษแล้วไปเรียนครู แล้วอ้างว่าใครเก่งอังกฤษแต่ไม่เคยเรียนครูก็ถ่ายทอดวิชาไม่เป็น) และคุณสมบัติอื่นๆก็คือ เป็นนักคิดนักค้นคว้า แบบที่ใช้ precise logic + creative imaginations เราไม่ได้จบครูมาหรอก ตอนวัยเรียนเราหนีเรียนไปเล่นหมากรุกฝรั่ง พอกลับมาเมืองไทยเราตกงานต้องหาเงินด้วยการสอนภาษาอังกฤษให้คนไทย เราจึงต้องเรียนรู้ค้นคว้าหาวิธีสอนภาษาอังกฤษ ในขณะนั้นเรามีอาวุธในมือเป็นเพียงแค่ precise logic + creative imaginations ที่เราเรียนรู้จากการเล่นหมากรุกฝรั่ง
เราจะเขียนเล่าเรื่องงานค้นคว้าของเราว่ามันออกมาเป็นกระบวนความคิดอะไรบ้าง
1 สอน pronunciation
เราเคยเห็นครูบางคนพยายามสอนให้เด็กเทียบตัวหนังสือภาษาอังกฤษกับตัวหนังสือไทย เช่นบอกว่า g = ก, k= ค อะไรทำนองนี้ คุณว่ามันจะไช้การได้หรือเปล่า เราว่าสอนแบบนี้ ลงนรกแน่ๆ
เพราะอะไร
จะบอกให้ว่า กลุ่มพยัญชนะและสระในภาษาอังกฤษ เมื่ออยู่ในคำศัพท์แต่ละคำ หรือเมื่อย้ายตำแหน่ง (ไปอยู่หน้า กลาง หรือหลัง) จะออกเสียงต่างกันพลิกแพลงไปเรื่อยๆ ในขณะที่ กลุ่มพยัญชนะและสระในภาษาไทยมักจะออกเสียงคงที่
ไปอ่านเรื่องพวกนี้ได้ที่ คคห 1 กระทู้นี้
http://pantip.com/topic/30086149
การสอน pronunciation มีความสัมพันธ์กับการสอน listening ซึ่งจริงๆแล้วควรสอนควบคู่กันไป ซึ่งเนื้อหามันมีมากมายและซับซ้อน ซึ่งเราจะไม่เจาะลงลึก เพราะตอนนี้แค่ต้องการไล่ดูจุดต่างๆที่ยากในภาษาอังกฤษที่ทำให้ผู้เรียนพลาดท่า
2 สอน grammar
topic นี้มีแนวคิดหลากหลายมากๆจนน่าตกใจ
แต่ตอนนี้ขอแว่บไปพูดถึงกระทู้ดังอันหนึ่ง ซึ่งสร้างแรงดลใจให้เราคิดอะไรแปลกๆใหม่ๆขึ้นมา
ม้นคือกระทู้นี้ (ซึ่งปั่นจนยอดคนอ่านทะลุเป้าโดย สมาชิกชื่อ "ผมเป็นแฟนคุณหมอ")
“ตีแตก 10 สถาบันกวดวิชาภาษาอังกฤษ”
คืออันนี้
http://topicstock.pantip.com/klaibann/topicstock/2012/05/H12150063/H12150063.html
^
กระทู้นี้สะท้อนให้เห็นภาพลักษณ์อันชัดเจนของการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทย นั่นก็คือครูกับติวเตอร์แต่ละคนจะมี niche market (ส่วนหนึ่งของตลาดที่สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่แน่นอนได้) ของตัวเอง นั่นก็คือ สอน skills เฉพาะด้านอย่างใดอย่างหนึ่ง (ที่ผู้สอนถนัด) ทำให้นักเรียนแต่ละคนต้องไปหาที่เรียนหลายแห่ง
เช่นตัว ผมเป็นแฟนคุณหมอ เค้าบอกว่าเค้าเรียน grammar เข้มข้นที่หนึ่ง แล้วเค้าบอกว่า "อาจารย์สอนเก่งมากๆ แต่เค้าอ่อนเกินไป" เค้าเลยต้องไปเรียนที่อื่นที่สอนพื้นฐานมากกว่านั้น แล้วถึงกลับไปเรียน grammar ที่นั่นใหม่ แล้วเรียน vocab อีกแห่งหนึ่ง แล้วเรียน writing อีกแห่งหนึ่ง แล้วเรียน conversation อีกแห่ง หนึ่ง แล้วเค้าสรุปว่า ไม่ต้องไปเรียน conversation ที่ไหนหรอกเพราะเรียนยังไงก็พูดไม่ได้ (รอไปเรียน conversation ตอนไปเมืองนอกจะดีกว่า) แล้วก็สรุปว่าคนไทยสอน grammar เก่งกว่าฝรั่งซะอีก
^
จริงหรือไม่จริง...!!???...
จะอย่างไรก็ตามกระทู้ดังในห้องไกลบ้านอันนี้สร้างแรงดลใจให้เราไป "ทำการบ้านหนักมา 2 ปี (เค้าเขียนกระทู้ปี 2012 เราคิดเรื่องนี้มาจนถึงปี 2014)" และสรุปได้ว่า
“มันต้องเป็นไปได้ที่จะมี one-stop school of English นั่นก็คือไปเรียนที่เดียวแล้วสมหวังครบหมดทุกทักษะ ทั้ง
Listening, speaking, reading, writing and grammar (ไม่ต้องไปเรียนตั้งเป็นสิบๆที่แบบ คุณ ผมเป็นแฟนคุณหมอ)”
ภาษาอังกฤษยากตรงไหน: ชวนคุยกันเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ (1)
1 ภาษาอังกฤษไม่ยาก
2 ส่วนที่ยากของภาษาอังกฤษมันคืออะไร
ในช่วงเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมามีนักเขียนบางคนที่รวยเละไปแล้ว เพราะพวกเค้าประสบความสำเร็จในการเขียนหนังสือให้คนเชื่อว่า “ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว” ซึ่งในบรรดาคำแนะนำที่พวกเราคุ้นกันอยู่ก็คือ
1 ทำใจกล้าๆพูดๆไปเหอะ ไม่ต้องไปสนใจ grammar มัน (ก็เลยบางทีก็พูดรู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่ง แต่รับรองได้ว่าเวลาเขียนน่ะลงนรกแหงๆเลย...555+++...)
2 เอาเสียงฝรั่งพูดมาเปิดฟังตอนนอน (ก็เลยนอนไม่หลับกระสับกระส่ายไปทั้งคืน...555+++...)
3 เอาหนังฝรั่งมาดูเยอะๆ ดูรู้เรื่องไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร เดี๋ยวก็รู้เรื่องเอง (แต่ยิ่งดูก็ยิ่งมึน)
และอื่นๆอีกมากมาย
การโน้มน้าวให้ผู้อ่านเชื่อว่า “ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว” เป็น advertising gimmick (ลูกเล่นในการโฆษณา) ชั้นเยี่ยม ที่ทำให้หนังสือแนวนี้ sell like hotcakes ซึ่งตรงกับภาษาไทยที่ว่า “ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า” (ใช่เอาไปเททิ้งน้ำหมด...555+++...)
แต่หลังจากได้รับคำแนะนำอันน่าเลื่อมใสเหล่านั้นมากว่า 20 ปี คนไทยเป็นจำนวนมากก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการเรียนภาษาอังกฤษ
เราจึงคิดเล่นๆในมุมมองที่เป็น paradoxes
^
รู้สึกเค้าภาษาไทยเค้าจะเรียกว่า ปฏิทรรศน์ ไปดูข้อมูลได้ที่นี่
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B9%8C
ถ้าเราเขียนหนังสือบอกว่า “ภาษาอังกฤษมันยากตรงไหน” โดยบอกผู้อ่านว่าให้ระวังความยากใน topic นั้น หรือ topic นี้ และเรียนรู้หาวิธีพิชิตความยากของมัน แล้วเอาไปวางเทียบกับหนังสือที่เขียนบอกว่า “ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว” นักการตลาดของสำนักพิมพ์จะเลือกพิมพ์เล่มไหน...555+++...
....................................................................................................................................................................................
เอาหละ ตอนนี้เรามาดูกันว่า “ภาษาอังกฤษยากตรงไหน”
จากการเคยเห็นคนอื่นสอน และที่ตัวเองเคยถูกสอนมา มันก็มีวิธีการสอนหลายวิธี เราจะมาดูจุดอ่อนจุดแข็งของวิธีการสอนหลายๆวิธี
ลองจำลองสถานการณ์สิว่า เรากำลังจะสอนภาษาอังกฤษให้ใครสักคนที่ไม่กระดิกหูเลย จะเดินแต้มไหนดี
การสอนภาษาอังกฤษเป็นศาสตร์เฉพาะทาง ผู้บริหารการศึกษาไทยเข้าใจอะไรผิดๆคิดว่าใครจบครูมาหรือสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูมาก็เป็นครูสอนภาษาอังกฤษได้ การเรียนการสอนภาษาอังกฤษในเมืองไทยมันถึงเละมากๆ
จริงๆแล้วคนที่จะเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่ดีได้นั้น ก่อนอื่นตัวเค้าเองควรเก่งภาษาอังกฤษ (ไม่ใช่อ่อนภาษาอังกฤษแล้วไปเรียนครู แล้วอ้างว่าใครเก่งอังกฤษแต่ไม่เคยเรียนครูก็ถ่ายทอดวิชาไม่เป็น) และคุณสมบัติอื่นๆก็คือ เป็นนักคิดนักค้นคว้า แบบที่ใช้ precise logic + creative imaginations เราไม่ได้จบครูมาหรอก ตอนวัยเรียนเราหนีเรียนไปเล่นหมากรุกฝรั่ง พอกลับมาเมืองไทยเราตกงานต้องหาเงินด้วยการสอนภาษาอังกฤษให้คนไทย เราจึงต้องเรียนรู้ค้นคว้าหาวิธีสอนภาษาอังกฤษ ในขณะนั้นเรามีอาวุธในมือเป็นเพียงแค่ precise logic + creative imaginations ที่เราเรียนรู้จากการเล่นหมากรุกฝรั่ง
เราจะเขียนเล่าเรื่องงานค้นคว้าของเราว่ามันออกมาเป็นกระบวนความคิดอะไรบ้าง
1 สอน pronunciation
เราเคยเห็นครูบางคนพยายามสอนให้เด็กเทียบตัวหนังสือภาษาอังกฤษกับตัวหนังสือไทย เช่นบอกว่า g = ก, k= ค อะไรทำนองนี้ คุณว่ามันจะไช้การได้หรือเปล่า เราว่าสอนแบบนี้ ลงนรกแน่ๆ
เพราะอะไร
จะบอกให้ว่า กลุ่มพยัญชนะและสระในภาษาอังกฤษ เมื่ออยู่ในคำศัพท์แต่ละคำ หรือเมื่อย้ายตำแหน่ง (ไปอยู่หน้า กลาง หรือหลัง) จะออกเสียงต่างกันพลิกแพลงไปเรื่อยๆ ในขณะที่ กลุ่มพยัญชนะและสระในภาษาไทยมักจะออกเสียงคงที่
ไปอ่านเรื่องพวกนี้ได้ที่ คคห 1 กระทู้นี้
http://pantip.com/topic/30086149
การสอน pronunciation มีความสัมพันธ์กับการสอน listening ซึ่งจริงๆแล้วควรสอนควบคู่กันไป ซึ่งเนื้อหามันมีมากมายและซับซ้อน ซึ่งเราจะไม่เจาะลงลึก เพราะตอนนี้แค่ต้องการไล่ดูจุดต่างๆที่ยากในภาษาอังกฤษที่ทำให้ผู้เรียนพลาดท่า
2 สอน grammar
topic นี้มีแนวคิดหลากหลายมากๆจนน่าตกใจ
แต่ตอนนี้ขอแว่บไปพูดถึงกระทู้ดังอันหนึ่ง ซึ่งสร้างแรงดลใจให้เราคิดอะไรแปลกๆใหม่ๆขึ้นมา
ม้นคือกระทู้นี้ (ซึ่งปั่นจนยอดคนอ่านทะลุเป้าโดย สมาชิกชื่อ "ผมเป็นแฟนคุณหมอ")
“ตีแตก 10 สถาบันกวดวิชาภาษาอังกฤษ”
คืออันนี้
http://topicstock.pantip.com/klaibann/topicstock/2012/05/H12150063/H12150063.html
^
กระทู้นี้สะท้อนให้เห็นภาพลักษณ์อันชัดเจนของการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทย นั่นก็คือครูกับติวเตอร์แต่ละคนจะมี niche market (ส่วนหนึ่งของตลาดที่สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่แน่นอนได้) ของตัวเอง นั่นก็คือ สอน skills เฉพาะด้านอย่างใดอย่างหนึ่ง (ที่ผู้สอนถนัด) ทำให้นักเรียนแต่ละคนต้องไปหาที่เรียนหลายแห่ง
เช่นตัว ผมเป็นแฟนคุณหมอ เค้าบอกว่าเค้าเรียน grammar เข้มข้นที่หนึ่ง แล้วเค้าบอกว่า "อาจารย์สอนเก่งมากๆ แต่เค้าอ่อนเกินไป" เค้าเลยต้องไปเรียนที่อื่นที่สอนพื้นฐานมากกว่านั้น แล้วถึงกลับไปเรียน grammar ที่นั่นใหม่ แล้วเรียน vocab อีกแห่งหนึ่ง แล้วเรียน writing อีกแห่งหนึ่ง แล้วเรียน conversation อีกแห่ง หนึ่ง แล้วเค้าสรุปว่า ไม่ต้องไปเรียน conversation ที่ไหนหรอกเพราะเรียนยังไงก็พูดไม่ได้ (รอไปเรียน conversation ตอนไปเมืองนอกจะดีกว่า) แล้วก็สรุปว่าคนไทยสอน grammar เก่งกว่าฝรั่งซะอีก
^
จริงหรือไม่จริง...!!???...
จะอย่างไรก็ตามกระทู้ดังในห้องไกลบ้านอันนี้สร้างแรงดลใจให้เราไป "ทำการบ้านหนักมา 2 ปี (เค้าเขียนกระทู้ปี 2012 เราคิดเรื่องนี้มาจนถึงปี 2014)" และสรุปได้ว่า
“มันต้องเป็นไปได้ที่จะมี one-stop school of English นั่นก็คือไปเรียนที่เดียวแล้วสมหวังครบหมดทุกทักษะ ทั้ง
Listening, speaking, reading, writing and grammar (ไม่ต้องไปเรียนตั้งเป็นสิบๆที่แบบ คุณ ผมเป็นแฟนคุณหมอ)”