สกลนคร เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานตอนบนค่ะ
เชื่อว่าหลายๆ คนคงยังไม่เคยไปเยือน และหลายคนอาจสังสัยว่าจังหวัดนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง
บอกได้เลยว่า จังหวัดนี้มีดีกว่าที่คิดจริงๆ ^^
ก่อนไปเพื่อนบอกว่าที่สกลหนาวนะ
ด้วยความที่พวกเราอยู่กรุงเทพ ร้อนตับแตก พากันคิดในใจว่า มันจะหนาวซักแค่ไหนกันเชียว... (รอดู)
ช่วงเวลาที่พวกเราไปไม่ได้เป็นช่วงหยุดยาว คนจึงไม่เยอะเท่าไรนัก
พวกเราออกเดินทางคืนวันที่ 15 มกราคม ด้วยรถ ปอ.1 กรุงเทพ-สกลนคร ราคา 504 บาท
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมง ผ่านภูพาน ถึงสกลประมาณตีห้าครึ่ง เรามาลงตรงศาลากลางค่ะ
เท่านั่นแหล่ะพอลงจากรถทัวร์ อากาศหนาวมากกกกก ประมาณ 10 องศาได้
พูดออกมาเป็นไอ ยืนสั่นกันเลยทีเดียว
เมืองสกลนครตอนนี้เงียบสงบมาก มีพระออกมาบิณฑบาตตอนเช้าด้วย
พักผ่อนตามอัธยาศัย กินอาหารเช้าที่ตลาดเช้าในตัวเมือง อาบน้ำ เตรียมตัว ประมาณ 10 โมง
พร้อมกันแล้ว ออกเดินทางได้...
ขอเกริ่นก่อนว่า สกลนครนี้เป็นจังหวัดที่มีชื่อเสียงทางด้านวัดในพระพุทธศาสนา
เพราะเป็นจังหวัดที่มีพระธาตุ ถึง 5 แห่ง คือ พระธาตุเชิงชุม พระธาตุดูม พระธาตุนารายณ์เจงเวง พระธาตุศรีมงคล และพระธาตุภูเพ็ก
และนี้ยังมีพระเกจิอาจารย์ดังที่เป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต, พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร และหลวงปู่หลุย จันทสาโร ค่ะ
ที่แรกที่พวกเราไปกันคือ วัดพระธาตุเชิงชุม เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดนี้เลย อยู่ในเขตเทศบาลสกลนคร
องค์พระธาตุเป็นสถาปัตกรรมแบบล้านช้าง เวลามีงานหรือพิธีสำคัญประจำจังหวัด ก็จะมาจัดกันที่นี่ค่ะ
เข้าไปไหว้พระพุทธรูปเพื่อสร้างความเป็นศิริมงคล
แล้วก็เดินชมวัดกันไป... เริ่มรู้สึกว่า ความหนาวเมื่อเช้ามืดนั้นหายไปไหนหมด กลายเป็นแดดแทนซะแล้ว
ที่ต่อไปคือประตูเมืองสกลนครค่ะ เป็นสัญลักษณ์ของเมืองเลยว่าเรามาถึงสกลนครแล้วนะ
ซึ่งด้านบนของประตูเมืองจะมีพระพุทธรูปของพระอาจารย์มั่นและพระอาจารย์ฝั้นอยู่ และตรงกลางคือหลวงพ่อองค์แสนค่ะ
เราก็ไปต่อที่ วัดป่าสุธาวาส อยู่ในเมืองเช่นเดียวกันค่ะ ตรงข้ามทางเข้าศูนย์ราชการจังหวัด
เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
พิพิธภัณฑ์นี้เก็บกระดูกที่เป็นแก้วของพระอาจารย์มั่นไว้ค่ะ ถ้าไม่มาชมนี่พลาดจริงๆ
เด็กๆ มาทัศนศึกษากันเต็มเลย
และถ้าเดินเข้าไปด้านในวัดจะมีเจดีย์อัฐิหลวงปู่หลุยอยู่ด้านในด้วย
บรรยากาศดีมากๆ
ถึงเวลาใกล้เที่ยง พวกเราจึงไปกินข้าวกันที่ "สหกรณ์โคขุนโพนยางคำค่ะ ซึ่งอยู่นอกตัวเมืองออกมาประมาณ 10 กว่ากิโลได้
ซึ่งจริงๆ ถ้าเราไม่อยากออกมาไกล เราก็สามารถไปกินที่ร้านสหกรณ์ในเมืองได้เหมือนกัน
บรรยากาศร้าน
โคขุนโพนยางคำนี่เป็นของขึ้นชื่อของเมืองสกลเลยก็ว่าได้ มาถึงที่แล้วก็ต้องพิสูจน์ความอร่อยกันหน่อย
มื้อนี้มีสเต็กเนื้อโพนยางคำ และซุปหางวัวค่ะ ราคาไม่แพงมาก แต่รสชาติก็อร่อยมาก สมคำร่ำลือจริงๆ
ช่วงบ่าย เราได้เริ่มกันที่ "พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์" ตั้งอยู่บนเทือกเขาภูพาน ในอุทยานแห่งชาติภูพานค่ะ
อยู่บนทางหลวงสกล-กาฬสินธุ์ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 15 กิโลได้ แล้วก็เลี้ยวขวาเข้าไป
เห็นป้ายบอกเด่นชัด
ช่วงแรกเริ่มของการเดินชมพระตำหนักภูพาน ต้องลงทะเบียนที่ประตูแรก และแลกบัตรประจำตัวด้วย
ต้องจอดรถไว้นอกประตู แล้วเดินเข้ามา แล้วเราก็เดินไปตามทางซึ่งเป็นเขามีทางลาดชันตลอดทาง
ภายในพระตำหนักบรรยากาศร่มรื่นมาก
เมื่อเดินเข้ามาก็จะเจอสวนหย่อมจำนวนมากตลอดแนวทางเดิน แต่ถ้ามาช่วงบ่ายอากาศจะเริ่มร้อนนิดนึง
เมื่อถึงทางแยกพวกเราก็เดินเลี้ยวขวาเพื่อไปชมพระตำหนัก จะผ่านสะพานใหญ่ๆ ตรงนี้ค่ะ
เดินเข้าไปข้างในสุดจะเป็นพระตำหนักที่ประทับค่ะ
ต่อมาพวกเราก็ไปกันที่ "โค้งปิ้งงู" อยู่บนเทือกเขาภูพาน ถ้ามาจากตัวเมืองสกลนครหรือมาจากพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์
จะเห็นมีป้ายบอกทางนี้อยู่ซ้ายมือ
เป็นถนนสายหนึ่งที่มีโค้งคดเคี้ยวเหมือนการเอางูมาปิ้ง ถ้าจะดูโค้งปิ้งงูให้เห็นชัดๆ คงต้องมองจากมุมสูงเท่านั้นค่ะ
ต่อที่ "ถ้ำเสรีไทย" เป็นถ้ำสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ฝ่ายเสรีไทยได้ใช้เป็นแหล่งสะสมอาวุธกับเสบียง
ถ้ำนี้ยังคงอยู่บนเทือกเขาภูพาน เลยพระตำหนักภูพานไปอีก จะอยู่ทางด้านซ้ายมือ
เข้าไปจนถึงลานจอดรถ จะเห็นอนุสาวรีย์ขุนพลภูพาน
แต่ถ้าจะชมถ้ำก็ต้องเดินต่อเข้าไปอีกประมาณ 800 ม.
ถ้าเดินขึ้นเขาต่อไปก็จะไปถึงจุดชมวิวบนภูพานค่ะ อีกประมาณ 1 กิโลได้ เดินกันต่อไป..
ชมวิวกันซักพัก ก็ใกล้จะห้าโมงแล้ว จึงพากันกลับเข้าเมือง
ระหว่างทางกลับเข้าตัวเมืองสกลเราผ่าน ร้าน นม กม.๘ อยู่บนเส้นสกล-กาฬสินธุ์ค่ะ อยู่ติดถนนเลย
เป็นร้านนมเล็กๆ ร้านจัดได้น่ารักมากๆ
นมทอด พร้อมฮันนี่โทสต์ อร่อยมาก
เมื่อกินของว่างเสร็จ ก็ถึงเวลาอาหารเย็น
อาหารเย็นนี้เป็นแจ่วฮ้อนค่ะ อาหารพื้นเมืองของที่นี่เลย คล้ายๆ จิ้มจุ่มแต่รสชาติจะแซบกว่าค่ะ
ตกกลางคืนไม่ต้องพูดถึง อากาศหนาวกลับมาแล้ว ถึงเวลาใกล้ๆ เที่ยงคืน ก็ได้เวลาพักผ่อนตามอัธยาศัย
ผ่านไป 1 วัน... เดี๋ยวมาต่อวันที่ 2 ค่ะ
[CR] หนาวนี้ที่... "เมืองสกลนคร" ( 3 วัน 2 คืน )
เชื่อว่าหลายๆ คนคงยังไม่เคยไปเยือน และหลายคนอาจสังสัยว่าจังหวัดนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง
บอกได้เลยว่า จังหวัดนี้มีดีกว่าที่คิดจริงๆ ^^
ก่อนไปเพื่อนบอกว่าที่สกลหนาวนะ
ด้วยความที่พวกเราอยู่กรุงเทพ ร้อนตับแตก พากันคิดในใจว่า มันจะหนาวซักแค่ไหนกันเชียว... (รอดู)
ช่วงเวลาที่พวกเราไปไม่ได้เป็นช่วงหยุดยาว คนจึงไม่เยอะเท่าไรนัก
พวกเราออกเดินทางคืนวันที่ 15 มกราคม ด้วยรถ ปอ.1 กรุงเทพ-สกลนคร ราคา 504 บาท
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมง ผ่านภูพาน ถึงสกลประมาณตีห้าครึ่ง เรามาลงตรงศาลากลางค่ะ
เท่านั่นแหล่ะพอลงจากรถทัวร์ อากาศหนาวมากกกกก ประมาณ 10 องศาได้
พูดออกมาเป็นไอ ยืนสั่นกันเลยทีเดียว
เมืองสกลนครตอนนี้เงียบสงบมาก มีพระออกมาบิณฑบาตตอนเช้าด้วย
พักผ่อนตามอัธยาศัย กินอาหารเช้าที่ตลาดเช้าในตัวเมือง อาบน้ำ เตรียมตัว ประมาณ 10 โมง
พร้อมกันแล้ว ออกเดินทางได้...
ขอเกริ่นก่อนว่า สกลนครนี้เป็นจังหวัดที่มีชื่อเสียงทางด้านวัดในพระพุทธศาสนา
เพราะเป็นจังหวัดที่มีพระธาตุ ถึง 5 แห่ง คือ พระธาตุเชิงชุม พระธาตุดูม พระธาตุนารายณ์เจงเวง พระธาตุศรีมงคล และพระธาตุภูเพ็ก
และนี้ยังมีพระเกจิอาจารย์ดังที่เป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต, พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร และหลวงปู่หลุย จันทสาโร ค่ะ
ที่แรกที่พวกเราไปกันคือ วัดพระธาตุเชิงชุม เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดนี้เลย อยู่ในเขตเทศบาลสกลนคร
องค์พระธาตุเป็นสถาปัตกรรมแบบล้านช้าง เวลามีงานหรือพิธีสำคัญประจำจังหวัด ก็จะมาจัดกันที่นี่ค่ะ
เข้าไปไหว้พระพุทธรูปเพื่อสร้างความเป็นศิริมงคล
แล้วก็เดินชมวัดกันไป... เริ่มรู้สึกว่า ความหนาวเมื่อเช้ามืดนั้นหายไปไหนหมด กลายเป็นแดดแทนซะแล้ว
ที่ต่อไปคือประตูเมืองสกลนครค่ะ เป็นสัญลักษณ์ของเมืองเลยว่าเรามาถึงสกลนครแล้วนะ
ซึ่งด้านบนของประตูเมืองจะมีพระพุทธรูปของพระอาจารย์มั่นและพระอาจารย์ฝั้นอยู่ และตรงกลางคือหลวงพ่อองค์แสนค่ะ
เราก็ไปต่อที่ วัดป่าสุธาวาส อยู่ในเมืองเช่นเดียวกันค่ะ ตรงข้ามทางเข้าศูนย์ราชการจังหวัด
เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
พิพิธภัณฑ์นี้เก็บกระดูกที่เป็นแก้วของพระอาจารย์มั่นไว้ค่ะ ถ้าไม่มาชมนี่พลาดจริงๆ
เด็กๆ มาทัศนศึกษากันเต็มเลย
และถ้าเดินเข้าไปด้านในวัดจะมีเจดีย์อัฐิหลวงปู่หลุยอยู่ด้านในด้วย
บรรยากาศดีมากๆ
ถึงเวลาใกล้เที่ยง พวกเราจึงไปกินข้าวกันที่ "สหกรณ์โคขุนโพนยางคำค่ะ ซึ่งอยู่นอกตัวเมืองออกมาประมาณ 10 กว่ากิโลได้
ซึ่งจริงๆ ถ้าเราไม่อยากออกมาไกล เราก็สามารถไปกินที่ร้านสหกรณ์ในเมืองได้เหมือนกัน
บรรยากาศร้าน
โคขุนโพนยางคำนี่เป็นของขึ้นชื่อของเมืองสกลเลยก็ว่าได้ มาถึงที่แล้วก็ต้องพิสูจน์ความอร่อยกันหน่อย
มื้อนี้มีสเต็กเนื้อโพนยางคำ และซุปหางวัวค่ะ ราคาไม่แพงมาก แต่รสชาติก็อร่อยมาก สมคำร่ำลือจริงๆ
ช่วงบ่าย เราได้เริ่มกันที่ "พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์" ตั้งอยู่บนเทือกเขาภูพาน ในอุทยานแห่งชาติภูพานค่ะ
อยู่บนทางหลวงสกล-กาฬสินธุ์ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 15 กิโลได้ แล้วก็เลี้ยวขวาเข้าไป
เห็นป้ายบอกเด่นชัด
ช่วงแรกเริ่มของการเดินชมพระตำหนักภูพาน ต้องลงทะเบียนที่ประตูแรก และแลกบัตรประจำตัวด้วย
ต้องจอดรถไว้นอกประตู แล้วเดินเข้ามา แล้วเราก็เดินไปตามทางซึ่งเป็นเขามีทางลาดชันตลอดทาง
ภายในพระตำหนักบรรยากาศร่มรื่นมาก
เมื่อเดินเข้ามาก็จะเจอสวนหย่อมจำนวนมากตลอดแนวทางเดิน แต่ถ้ามาช่วงบ่ายอากาศจะเริ่มร้อนนิดนึง
เมื่อถึงทางแยกพวกเราก็เดินเลี้ยวขวาเพื่อไปชมพระตำหนัก จะผ่านสะพานใหญ่ๆ ตรงนี้ค่ะ
เดินเข้าไปข้างในสุดจะเป็นพระตำหนักที่ประทับค่ะ
ต่อมาพวกเราก็ไปกันที่ "โค้งปิ้งงู" อยู่บนเทือกเขาภูพาน ถ้ามาจากตัวเมืองสกลนครหรือมาจากพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์
จะเห็นมีป้ายบอกทางนี้อยู่ซ้ายมือ
เป็นถนนสายหนึ่งที่มีโค้งคดเคี้ยวเหมือนการเอางูมาปิ้ง ถ้าจะดูโค้งปิ้งงูให้เห็นชัดๆ คงต้องมองจากมุมสูงเท่านั้นค่ะ
ต่อที่ "ถ้ำเสรีไทย" เป็นถ้ำสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ฝ่ายเสรีไทยได้ใช้เป็นแหล่งสะสมอาวุธกับเสบียง
ถ้ำนี้ยังคงอยู่บนเทือกเขาภูพาน เลยพระตำหนักภูพานไปอีก จะอยู่ทางด้านซ้ายมือ
เข้าไปจนถึงลานจอดรถ จะเห็นอนุสาวรีย์ขุนพลภูพาน
แต่ถ้าจะชมถ้ำก็ต้องเดินต่อเข้าไปอีกประมาณ 800 ม.
ถ้าเดินขึ้นเขาต่อไปก็จะไปถึงจุดชมวิวบนภูพานค่ะ อีกประมาณ 1 กิโลได้ เดินกันต่อไป..
ชมวิวกันซักพัก ก็ใกล้จะห้าโมงแล้ว จึงพากันกลับเข้าเมือง
ระหว่างทางกลับเข้าตัวเมืองสกลเราผ่าน ร้าน นม กม.๘ อยู่บนเส้นสกล-กาฬสินธุ์ค่ะ อยู่ติดถนนเลย
เป็นร้านนมเล็กๆ ร้านจัดได้น่ารักมากๆ
นมทอด พร้อมฮันนี่โทสต์ อร่อยมาก
เมื่อกินของว่างเสร็จ ก็ถึงเวลาอาหารเย็น
อาหารเย็นนี้เป็นแจ่วฮ้อนค่ะ อาหารพื้นเมืองของที่นี่เลย คล้ายๆ จิ้มจุ่มแต่รสชาติจะแซบกว่าค่ะ
ตกกลางคืนไม่ต้องพูดถึง อากาศหนาวกลับมาแล้ว ถึงเวลาใกล้ๆ เที่ยงคืน ก็ได้เวลาพักผ่อนตามอัธยาศัย
ผ่านไป 1 วัน... เดี๋ยวมาต่อวันที่ 2 ค่ะ