อดีตพยายามผลักลูกให้ไกลตัว จนวันนี้ต้องมานั่งเสียใจ ไม่น่าเลย

กระทู้สนทนา
เรื่องราวที่จะเล่าไม่ได้เกิดขึ้นกับเรานะค่ะ แต่เป็นผู้ปกครองของเด็กที่อยู่ เนิร์สฯ เดียวกับลูกเรา เวลาไปรับลูกก็เจอกันบ่อยๆ ทักทายกันบ้างนิดหน่อย

แต่มีวันนึงเราได้เจอกันที่ 7-11 หลังจากรับลูกเสร็จ เค้ามีเรื่องมาปรึกษาเรา เพราะรู้สึกว่าลูกมีปัญหาด้านการพูด การสื่อสาร

ลูกสาวเรา 2 ขวบครึ่ง ลูกสาวคุณแม่ท่านนี้ 2 ขวบ 11 เดือน รวมๆ ก็ห่างกันประมาณ 5 เดือน

คุณแม่ท่านนี้สังเกตุลูกเรามาสักพักนึงแล้ว เค้าแปลกใจว่าทำไมลูกเราสามารถจำชื่อเพื่อนได้ทุกคน จำได้ว่าคุณแม่หรือคุณพ่อท่านนี้เป็นผุ้ปกครองของเพื่อนคนไหน เป็นเด็กที่ถาม-ตอบได้รู้เรื่อง คุยได้ทุกอย่าง กล้าที่จะคุยกับคุณพ่อ-คุณแม่เพื่อน เหมือนเด็กโต

แต่

ลูกสาวเค้าที่เป็นพี่ลูกสาว 5 เดือนกลับไม่ยอมพูด เค้าถามเราว่าเลี้ยงดูแลกันแบบไหน ถึงพูดเก่ง รู้เรื่องเร็วขนาดนี้ ให้ไปเรียนเพิ่มที่ไหนหรือเปล่า

ซึ่งคำตอบของเราก็คือเลี้ยงปกติทั่วไป ไม่ได้ไปเรียนเพิ่มที่ไหน มีไป gymbery บ้าง(ถ้าได้บัตรฟรี) แต่ก็นานๆๆๆๆๆๆ ที ส่วนใหญ่จะอยู่กับแม่-พ่อและเนิร์สฯ แต่เราจะคุยกับลูกเยอะมาก คุยทุกวัน คุยทุกอย่าง แล้วฟังเค้าพูด กระตู้นให้เค้าพูด ซึ่งคุณแม่ท่านนั้นก็บอกวเราว่า เค้าก็ชวนคุย ชวนพูดนะ แต่น้องไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยสนใจ

เราเลยถามไปว่าตอนน้องเล็กๆ เลี้ยงน้องกับทีวี กับแทปเล็ตหรือเปล่าค่ะ คำตอบคือ "ใช่" แล้วปล่อยน้องอยู่ตรงนั้นคนเดียวใช่ไหมค่ะ คำตอบคือ "ใช่" เราเลยพอประมวลผลได้ว่า น้องน่าจะใช้เวลาอยู่กับตรงนั้นมากไป มันเป็นการสื่อสารทางเดียว ทำให้เด็กฟังอย่างเดียวไม่ตอบโต้ เราก็บอกเค้าไปว่า เราก็ให้ลูกดูทีวี ดูการ์ตูนนะ แต่ ไม่เราก็สามีต้องนั่งดูกับลูก แล้วชวนเค้าคุยว่านั้นอะไร เค้าอะไรกันอยู่

เลยเป็นโอกาสให้คุณแม่ได้ระบายสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาดไป

คือย้อนไปเมื่อสักตอนน้อง 1 ขวบ ท่าทางน้องก็ออกแนวช่างพูด สังเกตุจากการส่งเสียง อ้อแอ้ ชวนคุย แต่มันเป็นช่วงที่คุณแม่ทำงานพิเศษเพิ่ม เพื่อเพิ่มรายได้ หลังเลิกงาน พวกกาแฟ น้ำปั่น (เราไม่ได้ซักว่าขายที่ไหนยังไง) ซึ่งถ้าลูกติดแม่ แม่ก็จะทำอะไรไม่ได้เลย จึงให้ลูกดูทีวี ดูการ์ตูน เพื่อที่ตัวเองจะได้ขายน้ำ ทำเครื่องดื่มให้ลูกค้าได้ ซึ่งลูกก็อยู่กับตรงนั้นได้ดี พอผ่านไปสักระยะเวลานึง ลูกเริ่มพูดน้อยลง ฟังอย่างเดียว จนทุกวันนี้ลูกไม่ค่อยพูด ทำให้เค้าเสียใจว่า ไม่น่าทำแบบนั้นกับลูกเลย ถ้าใส่ใจยอมให้ลูกติดแม่ ลูกคนไม่เป็นแบบนี้

ยิ่งเห็นลูกเราพูดเยอะ พูดมาก ช่างจ้อเท่าไหร่ คุณแม่ยิ่งรู้สึกเสียใจมากเท่านั้น(ตอนนี้คุณแม่ไม่ได้ขายน้ำแล้ว ไม่รู้ทำไม ไม่ได้ถามอีกเหมือนกัน)

เราได้แต่ปลอบใจไปว่า ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ตอนนี้ยังทัน เรามาเริ่มกันตอนนี้แหละ พูดกับเค้าเยอะๆ ฟังที่เค้าจะพูด ให้โอกาสเค้าไดจินตนาการบ้าง อย่างเวลาเจออะไรที่มันน่าตื่นเต้น ก็ให้ถามเค้าว่า นั่นอะไร อย่าไปบอกเค้า นั่นคือ..... ให้เค้าได้คิด ได้ถามบ้าง

ถ้ามันถึงที่สุดและคิดว่าไม่ดีขึ้น คงต้องหาหมอด้านพัฒนาการ

แต่ก่อนเราเคยดูโฆษณานมเด็กที่บอกว่า อัจริยะสร้างได้ หรือ  1000 วันแรก เป็นวันที่สำคัญสำหรับลูก เราไม่เคยเชื่อ เว่อร์ไป๊ แต่พอมีลูกเอง ได้เลี้ยงเอง เราว่ามันจริง ยิ่งพอได้อ่าน ได้เจอจากประสบการณ์ของแม่ๆ หลายท่านจากหนังสือ อินเตอร์เน็ต หรือแม้แต่ในพันทิป แล้วเราลองมาปรับใช้กับการเลี้ยงลูกของเรา เราว่ามันจริงอ่ะ มันใช่เลย

เราอยากฝากถึงพ่อแม่ยุค 4G สักนิดนะค่ะ อย่าผลักลูกให้ไปอยู่กับเทคโนโลยีมากไปเลยค่ะ ของเล่นแพงๆ ลองหยุดซื้อ แล้วเอาตัวเองมาเล่นกับลูกแทน
อุปกรร์ IT ที่เรายัดใส่มือลูก มันอาจจะช่วยให้พ่อแม่ สบายได้พักผ่อน ได้กินข้าว ได้แชท ได้แชร์ แต่มันไม่ได้ดีกับลูกเรามากมายเลย ออกแนวข้อเสียเยอะกว่าข้อดีด้วยซ้ำ

แต่มันก็ไม่ได้มีแต่ข้อเสียเลยซะทีเดียว ขึ้นอยู่กับว่า เราจะเลือกใช้ เลือกอยู่กับมันยังไง

ถ้าไม่อยากต้องมานั่งเสียใจแบบคุณแม่ท่านนั้น ลองหยิบอุปกรณ์พวกนั้นออกจากมือลูก แล้วจับมือเค้าวิ่งเล่นแทน คุณจะรู้ว่าโลกนี้มีอะไรเยอะกว่าในโทรศัพท์ ทีวีค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่