อยากเป็น “คนรวย” หรือ “คนชักหน้าไม่ถึงหลัง”
ความจริงที่ว่า คนเราทุกคนต้องการมีทรัพย์สินเงินทองให้มากพอระดับหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้น จากบทความในเดือนที่ผ่านไป ซึ่งพูดถึงข้อคิดหลายๆ เพียงครึ่งหนึ่งได้อย่างที่น่าสนใจในการสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเอง มาอ่านต่อกันในเดือนนี้ครับว่า “คนรวย” หรือ “คนชักหน้าไม่ถึงหลัง” ยังมีแนวคิดสำคัญอะไรกันอีกมากมาย
คนทั่วไปทนหาเงินในสิ่งที่ตนเองไม่ได้รัก แต่คนรวยหาเงินจากสิ่งที่ตัวเองรัก หากฟังดูอาจรู้สึกแปลกๆ แต่ก็เป็นความจริงที่ว่าคนรวยนั้นทำตามสิ่งที่รักแม้จะยากเย็นแค่ไหน แม้จะต้องใช้ความพยายามยากลำบากอย่างไร ซึ่งต่างจากคนทั่วไปที่มักจะทำตามสิ่งที่ตัวเองชอบก่อนมาก่อนสิ่งที่ตัวเองรัก และในที่สุด คือ ต้องการสิ่งนั้นโดยแท้จริง หากทำในสิ่งที่รัก จะเกิดการทำในสิ่งนั้นๆ อย่างสม่ำเสมอ ถัดมาคือ คนทั่วไปตั้งความหวังไว้อย่างไม่ท้าทาย แต่คนรวยกลับตั้งเป้าหมายอย่างท้าทาย แต่มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้สำเร็จ องค์กรที่ประสบความสำเร็จเต็มไปด้วยโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน มักจะไม่เลือกคนที่ตั้งเป้าหมายไว้ต่ำเกินไปเมื่อดูจากทั้งคุณวุฒิ วัยวุฒิ และประสบการณ์ที่มีมา เพราะหากทำไม่สำเร็จ นั่นแปลว่าองกรค์ไม่ได้รับคุณค่าอะไรจากคนๆ นั้นเลย ต่างจากคนที่ร่ำรวยซึ่งมักตั้งเป้าหมายให้ท้าทายเข้าไว้ อย่างน้อย เมื่อพลาดพลั้งก็ยังได้เรียนรู้ที่มากกว่า
คนทั่วไปมักคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างถึงจะมั่งมีเงินทองขึ้นมาได้ แต่คนรวยคิดเสนอว่า ต้องทำตัวเป็นอย่างไรถึงจะรวยได้
การสร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองมักจะเกี่ยวข้องกับการตั้งโจทย์ ตั้งเป้าหมาย ตั้งวัตถุประสงค์ให้ใหญ่และกว้างๆ ไว้เสมอเมื่อคนเราเปลี่ยนวิธีตั้งคำถามกับตัวเราเองแล้ว คนๆ นั้นจะมองเห็น เป้าหมายใหญ่มากขึ้นกว่าที่จะต้องก้มหน้าก้มตานึกถึงเป้าหมายเล็กๆ ต่อไป คือ คนทั่วไปคิดว่า ตัวเราเองคือคนที่ต้องหารายได้ แต่คนรวยกลับคิดว่าต้องให้คนอื่นๆ หาเงินมาให้เรา คงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “หาเงินไม่ได้ เพราะว่าไม่มีทุน” หรือ “ต้องการหาเงิน เพราะทุกวันนี้ไม่มีเงิน” เมื่ออ่านทั้ง 2 ประโยคนี้แล้ว ลองถามตัวเองว่า ประโยคไหนฟังดูดีกว่ากัน ในการหาเงินมานั้นมีหลากหลายวิธีขอเพียงแค่คุณมีทัศนคติที่ถูกต้องเท่านั้นเอง มาถึงวิธีคิดต่อไปนี้ที่อาจฟังดูแล้ว หลายคนคงรู้สึกแปลกๆ คำพูดที่ว่า คือ คนทั่วไปคิดว่าการตลาดเป็นเรื่องของหลักการ และการวางแผน แต่คนรวยกลับคิดว่าเป็นเรื่องของอารมณ์ และความโลภ แปลความได้ว่า หลักการของการตลาดนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆของการทำตลาดเท่านั้น หากมองเพียงแต่หลักการเพียงอย่างเดียว คนร่ำรวยจะไม่มีทาง มองเห็นภาพใหญ่ของทั้งตลาดได้เลย เพราะคนทั่วไปบนโลกนี้ใช้อารมณ์มากกว่าหลักการในการตัดสินใจเข้าลงทุนเพื่อให้เกิดความร่ำรวย เมื่อเทียบกับการตัดสินใจซื้อหาสินค้า และบริการที่ตอบสนองความต้องการอยากบริโภคกันในทุกวันนี้
เชื่อมั้ยครับว่า หัวใจของการเป็นคนร่ำรวยอยู่ตรงนี้ครับ คนทั่วไปใช้ชีวิตเกินตัว แต่คนรวยใช้ชีวิตพอเพียง คนทั่วๆ ไปมักใช้เงินเพื่อให้ตัวเองดูดีจนเกินตัว เช่น โทรศัพท์ เสื้อผ้า หน้าผม ของใช้หรูหราเพื่อรักษาหน้าตามากกว่าคุณค่าของความเป็นตัวเอง คนเหล่านี้แทนที่จะนำเงินทุกบาททุกสตางค์ที่มีอยู่ไปลงทุนให้เงินงอกเงย เกิดดอกออกผล หรือให้เงินทำงานแทนที่เรามักจะทำงานเพื่อเงิน จุดนี้เองที่ผิดกับคนรวย เค้าจ่ายให้ตัวเองก่อนในสิ่งที่จะเป็นเงินเป็นทองก่อน ที่เหลือจึงค่อยใช้จ่ายออกไป ที่สำคัญคนร่ำรวยมักจะรู้อยู่เสมอว่า การให้เงินทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องหวือหวา ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องโอ้อวด มักจะเข้าถึงการลงทุนแบบพอเพียงที่ยั่งยืน มากกว่าคนทั่วไปที่มักทำในสิ่งตรงกันข้ามกับทั้งหมด
คำถามสำหรับบรรทัดสุดท้าย คือ อยากเป็นคนรวย หรือ คนชักหน้าไม่ถึงหลัง กันครับ ?????
http://www.thairath.co.th/content/445412
อยากเป็น “คนรวย” หรือ “คนชักหน้าไม่ถึงหลัง”
ความจริงที่ว่า คนเราทุกคนต้องการมีทรัพย์สินเงินทองให้มากพอระดับหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้น จากบทความในเดือนที่ผ่านไป ซึ่งพูดถึงข้อคิดหลายๆ เพียงครึ่งหนึ่งได้อย่างที่น่าสนใจในการสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเอง มาอ่านต่อกันในเดือนนี้ครับว่า “คนรวย” หรือ “คนชักหน้าไม่ถึงหลัง” ยังมีแนวคิดสำคัญอะไรกันอีกมากมาย
คนทั่วไปทนหาเงินในสิ่งที่ตนเองไม่ได้รัก แต่คนรวยหาเงินจากสิ่งที่ตัวเองรัก หากฟังดูอาจรู้สึกแปลกๆ แต่ก็เป็นความจริงที่ว่าคนรวยนั้นทำตามสิ่งที่รักแม้จะยากเย็นแค่ไหน แม้จะต้องใช้ความพยายามยากลำบากอย่างไร ซึ่งต่างจากคนทั่วไปที่มักจะทำตามสิ่งที่ตัวเองชอบก่อนมาก่อนสิ่งที่ตัวเองรัก และในที่สุด คือ ต้องการสิ่งนั้นโดยแท้จริง หากทำในสิ่งที่รัก จะเกิดการทำในสิ่งนั้นๆ อย่างสม่ำเสมอ ถัดมาคือ คนทั่วไปตั้งความหวังไว้อย่างไม่ท้าทาย แต่คนรวยกลับตั้งเป้าหมายอย่างท้าทาย แต่มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้สำเร็จ องค์กรที่ประสบความสำเร็จเต็มไปด้วยโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน มักจะไม่เลือกคนที่ตั้งเป้าหมายไว้ต่ำเกินไปเมื่อดูจากทั้งคุณวุฒิ วัยวุฒิ และประสบการณ์ที่มีมา เพราะหากทำไม่สำเร็จ นั่นแปลว่าองกรค์ไม่ได้รับคุณค่าอะไรจากคนๆ นั้นเลย ต่างจากคนที่ร่ำรวยซึ่งมักตั้งเป้าหมายให้ท้าทายเข้าไว้ อย่างน้อย เมื่อพลาดพลั้งก็ยังได้เรียนรู้ที่มากกว่า
คนทั่วไปมักคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างถึงจะมั่งมีเงินทองขึ้นมาได้ แต่คนรวยคิดเสนอว่า ต้องทำตัวเป็นอย่างไรถึงจะรวยได้
การสร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองมักจะเกี่ยวข้องกับการตั้งโจทย์ ตั้งเป้าหมาย ตั้งวัตถุประสงค์ให้ใหญ่และกว้างๆ ไว้เสมอเมื่อคนเราเปลี่ยนวิธีตั้งคำถามกับตัวเราเองแล้ว คนๆ นั้นจะมองเห็น เป้าหมายใหญ่มากขึ้นกว่าที่จะต้องก้มหน้าก้มตานึกถึงเป้าหมายเล็กๆ ต่อไป คือ คนทั่วไปคิดว่า ตัวเราเองคือคนที่ต้องหารายได้ แต่คนรวยกลับคิดว่าต้องให้คนอื่นๆ หาเงินมาให้เรา คงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “หาเงินไม่ได้ เพราะว่าไม่มีทุน” หรือ “ต้องการหาเงิน เพราะทุกวันนี้ไม่มีเงิน” เมื่ออ่านทั้ง 2 ประโยคนี้แล้ว ลองถามตัวเองว่า ประโยคไหนฟังดูดีกว่ากัน ในการหาเงินมานั้นมีหลากหลายวิธีขอเพียงแค่คุณมีทัศนคติที่ถูกต้องเท่านั้นเอง มาถึงวิธีคิดต่อไปนี้ที่อาจฟังดูแล้ว หลายคนคงรู้สึกแปลกๆ คำพูดที่ว่า คือ คนทั่วไปคิดว่าการตลาดเป็นเรื่องของหลักการ และการวางแผน แต่คนรวยกลับคิดว่าเป็นเรื่องของอารมณ์ และความโลภ แปลความได้ว่า หลักการของการตลาดนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆของการทำตลาดเท่านั้น หากมองเพียงแต่หลักการเพียงอย่างเดียว คนร่ำรวยจะไม่มีทาง มองเห็นภาพใหญ่ของทั้งตลาดได้เลย เพราะคนทั่วไปบนโลกนี้ใช้อารมณ์มากกว่าหลักการในการตัดสินใจเข้าลงทุนเพื่อให้เกิดความร่ำรวย เมื่อเทียบกับการตัดสินใจซื้อหาสินค้า และบริการที่ตอบสนองความต้องการอยากบริโภคกันในทุกวันนี้
เชื่อมั้ยครับว่า หัวใจของการเป็นคนร่ำรวยอยู่ตรงนี้ครับ คนทั่วไปใช้ชีวิตเกินตัว แต่คนรวยใช้ชีวิตพอเพียง คนทั่วๆ ไปมักใช้เงินเพื่อให้ตัวเองดูดีจนเกินตัว เช่น โทรศัพท์ เสื้อผ้า หน้าผม ของใช้หรูหราเพื่อรักษาหน้าตามากกว่าคุณค่าของความเป็นตัวเอง คนเหล่านี้แทนที่จะนำเงินทุกบาททุกสตางค์ที่มีอยู่ไปลงทุนให้เงินงอกเงย เกิดดอกออกผล หรือให้เงินทำงานแทนที่เรามักจะทำงานเพื่อเงิน จุดนี้เองที่ผิดกับคนรวย เค้าจ่ายให้ตัวเองก่อนในสิ่งที่จะเป็นเงินเป็นทองก่อน ที่เหลือจึงค่อยใช้จ่ายออกไป ที่สำคัญคนร่ำรวยมักจะรู้อยู่เสมอว่า การให้เงินทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องหวือหวา ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องโอ้อวด มักจะเข้าถึงการลงทุนแบบพอเพียงที่ยั่งยืน มากกว่าคนทั่วไปที่มักทำในสิ่งตรงกันข้ามกับทั้งหมด
คำถามสำหรับบรรทัดสุดท้าย คือ อยากเป็นคนรวย หรือ คนชักหน้าไม่ถึงหลัง กันครับ ?????
http://www.thairath.co.th/content/445412