###_ เนวิลล์ vs ฟาน ฮาล : เปิดใจนายใหญ่คนใหม่โรงละครแห่งความฝัน _###


แกรี่ เนวิลล์ ตำนานดาวเตะทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หนึ่งในบุคคลที่เป็นที่รักมากที่สุดของแฟนบอลปีศาจแดง เป็นตัวแทนจาก Telegraph สื่อชื่อดังแห่งประเทศอังกฤษ ได้รับเวลา 45 นาทีในการสัมภาษณ์หลุยส์ ฟาน ฮาลแบบจัดเต็ม โดยหลังจากได้พูดคุยจีเนฟ ยอมรับว่าผู้จัดการทีมรายนี้เป็น "ของจริง" เรามาดูกันว่าทั้งสองได้พูดคุยกันเรื่องอะไรบ้าง

ตลอดเวลา 45 นาทีในการพูดคุยของพวกเรา ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อหัวข้ออยู่ในเรื่องทีมอาหยักซ์ชุดปี 1995 อันยอดเยี่ยมของเขา ความเข้มงวดดูหลุดออกไปจากใบหน้าของผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดยามที่เขาชี้กระดานแท็คติกส์ และบรรยายถึงกลุ่มนักเตะคนหนุ่มที่คว้าแชมป์รายการแชมเปี้ยนส์ ลีกมาได้เมื่อ 19 ปีก่อน

เขาพูดถึงเอ็ดก้าร์ ดาวิดส์และคลอเรนซ์ เซดอร์ฟและสตาร์คนหนุ่มรายอื่นๆในยุคสมัยนั้น ผมได้นำพาเขากลับไปยังสวรรค์ของวงการฟุตบอล...นักเตะดาวรุ่ง...ผลิตผลที่มาจากหลักปรัชญาของเขาสามารถทำผลงานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

"ผมเคยส่งนักเตะอายุ 17 ปีลงเล่นในรอบชิงชนะเลิศของแชมเปี้ยนส์ ลีกมาแล้ว" ฟาน ฮาลบอกผม

"ฉะนั้นแล้วอย่าบอกผมว่าเหล่านักเตะดาวรุ่งไม่สามารถเล่นฟุตบอลกันได้ เมื่อคุณทำได้ตามหลักปรัชญา นั่นแปลว่าคุณสามารถทำหลายๆสิ่งหลายๆอย่างได้ และแน่นอนว่าเซดอร์ฟได้ลงเล่นรอบชิงในวัยเพียงแค่ 17 ปี เขาเป็นนักเตะที่มหัศจรรย์ แพทริค ไคลเวิร์ตอายุ 18 ปีและเขาก็ยิงประตูได้" ประตูดังกล่าวเป็นลูกที่ทำให้อาหยักซ์เอาชนะเอซี มิลานไป 1-0

การพูดคุยช่วง 20 นาทีแรกเปรียบเหมือนกับการให้โอวาทโดยผมตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูดอย่างดี ผมมีเป้าหมาย 5 อย่างสำหรับทริปการเดินทางครั้งแรกกลับไปสู่แคร์ริงตัน สนามฝึกซ้อมเก่าของผมในรอบ 2 ปี

1.เพื่อรับฟังโค้ชที่ยิ่งใหญ่
2.เพื่อสอบถามว่าเขาค้นพบอะไรเกี่ยวกับยูไนเต็ดบ้างหลังรับงานมาแล้ว 5 สัปดาห์
3.เพื่อดูว่าเขามีข้อความอะไรที่จะบอกกล่าวกับแฟนบอลผู้ซึ่งกำลังถวิลหานักเตะหน้าใหม่
4.เพื่อถกเถียงเรื่องการเปลี่ยนแปลงระบบการเล่นครั้งใหญ่มาเป็น 3-5-2
5.เพื่อเรียนรู้ว่าเขามีความทะเยอทะยานอะไรกับยูไนเต็ดในช่วงสัญญาระยะเวลา 3 ปีของเขา

แผนการที่ผมเตรียมการไปอย่างดีนั้นเหมือนถูกโยนทิ้งออกสู่หน้าต่าง นี่ไม่ใช่การพูดคุยกันระหว่างมิตรสหายเก่าแก่ ผมเข้าไปพร้อมกับสมุดโน้ตซึ่งเต็มไปด้วยคำถาม เดินผ่านโต๊ะยาวที่หลุยส์ ฟาน ฮาลนั่งอยู่ ลักษณะของเขาดูน่าเกรงขาม แสงไฟในห้องริบหรี่ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะเป็นควบคุมการสัมภาษณ์ครั้งนี้และคนๆนั้นไม่ใช่ตัวผม ชายผู้นี้ไม่มีวันจะต้องเป็นฝ่ายตั้งรับ

หลังจากการพูดคุยอย่างเป็นกันเองจบลง ผมสอบถามฟาน ฮาลว่าเราจะสามารถสนทนากันในแบบที่มีโครงร่าง เหมือนการพูดคุยกับนักข่าวได้หรือไม่

"พูดคุยเหรอ? ไม่ได้หรอกนะ เพราะว่าผมมีงานอื่นจะต้องทำเช่นกัน" ฟาน ฮาล กล่าว

ผมคิดว่าหูของผมฝาดไป แต่เขาก็ได้กล่าวสิ่งที่ทำให้ทุกๆอย่างผ่อนคลายมากขึ้น

"ผมไม่เคยมีความลับใดๆ คุณอยากจะถามอะไรก็ถามผมมาได้เลย"

ในขณะที่ผมกำลังจะออกจากห้องเขาบอกกับผมว่า "ปกติแล้ว 45 นาทีเป็นเวลาที่มากเกินไป"

ก่อนที่ผมจะเริ่มต้นตั้งคำถาม ฟาน ฮาล ก็ประเดิมก่อนแล้ว เขาวางฝ่ามือลงบนโต๊ะ

"ผมมีสมุดโน้ตให้กับคุณ" เขากล่าว

"มันคือสิ่งที่ผมแสดงให้นักเตะของผมดูอยู่เสมอ คุณสามารถสร้างระบบที่พวกเรากำลังเล่นกันอยู่ในตอนนี้ได้"

เขากำลังเชื้อเชิญผมให้พิสูจน์ให้เขาดูว่าผมเข้าใจว่ายูไนเต็ดจัดทัพนักเตะกันอย่างไร ผมตั้งหลักแทบไม่ทัน ดาบถูกเหวี่ยงลงมาแล้ว

"จะให้ผมลองดูเหรอ?" ผมถาม

"แน่นอนสิ คุณลองทำดูได้ใช่มั้ย?" ฟาน ฮาลตอบ

ตอนนี้ผมรู้สึกถึงความร้อนระอุเล็กๆ "ผมจะลองดูละกัน แต่คุณต้องบอกว่าผมผิดแน่ๆ" ผมตอบกลับ

ฟาน ฮาลส่งสายตามองผมทะลุลงไปก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า "คุณนี่...ค่อนข้างขี้อายใช่มั้ย?"

45 นาทีผ่านไป ผมออกจากออฟฟิศของเขาพร้อมความรู้สึกเหมือนโดนสูบพลังงาน นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีที่มีคนบอกว่าผม "ขี้อาย" แต่สิ่งที่ตามมานั้นเป็นละครซีรี่ย์ชุดยาวเกี่ยวความน่าหลงใหลของหลักปรัชญาฟุตบอลที่ฟาน ฮาลวางแผนเอาไว้สำหรับยูไนเต็ดซึ่งสิ่งดังกล่าวเน้นย้ำในเรื่องระบบเยาวชน มันต้องเป็นแผนการสำหรับช่วงเวลาระยะยาวเสมอและการชี้ทางให้กับนักเตะในเรื่องคอร์สเรียนระยะสั้น 3 เดือนที่เขาต้องการให้ผู้เล่นปฏิบัติตาม

โค้ชที่ยิ่งใหญ่ทุกๆคนแน่วแน่ในเรื่องหลักปรัชญาของพวกเขา ฟาน ฮาลก็เป็นเช่นนั้น มันจะต้องเป็นวิธีการของเขาหรือมิเช่นนั้นแล้วเขาก็จะไม่อยู่ในจุดนั้น ในฤดูกาลที่ผ่านมา ผมยอมรับว่าผมมีความเป็นกังวลหลังจากช่วงเวลาที่ย่ำแย่ ผมกังวลว่าสโมสรจะเดินทางไปในทิศทางไหนต่อ มีการพูดคุยกันทันทีหลังจากที่เดวิด มอยส์จากไปว่าผู้จัดการทีมต่างชาติอาจจะเข้ามา ผมได้เห็นในสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับสโมสรอื่นๆ หลักปรัชญาที่อยู่มา 60 ปีถูกฉีกทิ้งเพื่อเปิดทางให้กับวัฎจักรที่มีระยะเวลา 3 ปี โดยผู้จัดการทีมใหม่ๆพากันเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมครั้งแล้วครั้งเล่า ผมเดินทางออกจากแคร์ริงตัน พร้อมกับความรู้สึกที่ว่า จริงๆแล้วนั้นฟาน ฮาล เป็นบุคคลที่ตรงต่อประเพณีซึ่งถูกปูรากฐานมาโดยเซอร์แม็ธ บัสบี้และเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผมไม่ได้จะบอกว่าเขาจะคุมทีมต่อไปอีก 25 ปีนะแต่เขายึดมั่นในหลักการเดียวกันนั้น

เขาได้กล่าวย้ำรับประกัน

"ทีมของผมจะดีขึ้นไปเรื่อยๆในฤดูกาลนี้" เขากล่าว

"นั่นไม่ใช่คำถามนะ" สิ่งนั้นแปลว่าเขาไม่แคลงใจเลย

"นักเตะต้องทำได้ดีขึ้นแน่ๆ"

ทีมงานบอกกับผมว่าการสัมภาษณ์นั้นคุณควรจะเลือกห้องที่ต้องการ อ่ะนะ...ไม่ใช่ผมหรอก แต่เป็นฟาน ฮาลที่เป็นคนเลือก เขาลุกขึ้นเดินไปเปิดไฟและก็เป็นอีกครั้งที่ผมโดนผู้จัดการทีมคนใหม่รายนี้เล่นงาน

"อยากได้แสงเหรอ? โอ้ คุณรู้อยู่แล้วนี่ว่าสวิทช์ไฟอยู่ที่ไหน คุณเหมือนผู้จัดการทีมนี้แล้วด้วยซ้ำ..." ฟาน ฮาลยิงมุข



เราเริ่มพูดคุยกันจริงจัง แฟนบอลต้องการนักเตะหน้าใหม่ ผมถามเขาว่าเขาจะสามารถรับปากแฟนบอลเรื่องนี้ได้ไหม?

"ผมต้องหารือเรื่องนั้นกับบอร์ดบริหารนะ ไม่ใช่คุณ" ฟาน ฮาลสวนกลับ แต่ก็ได้เกริ่นต่อนิดหน่อย

"คุณต้องซื้อตัวนักเตะที่จะสามารถพัฒนาทีมของคุณได้ นั่นเป็นสาเหตุที่ผมเลือกจิ้มมาร์กอส โรโฮ เพราะเขาสามารถเล่นได้ในสองตำแหน่ง สำหรับพวกเราแล้ว เขาถือเป็นนักเตะที่ดีมากๆ บางทีเราอาจจะซื้อนักเตะเพิ่มอีกก็ได้ คุณไม่มีทางรู้หรอก"

"ผมไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ยุติธรรมสำหรับการที่ผมมาถึงที่นี่และก็ไล่นักเตะทุกคนออกไป ผมคิดว่าผมควรจะให้โอกาสพวกเขานะ"

ฟาน ฮาลอธิบายชัดเจนว่ากลุ่มนักเตะที่มีส่วนร่วมกับปรีซีซั่นในอเมริกาได้ถูกประเมินเรียบร้อยแล้ว ส่วนนักเตะคนอื่นๆที่ไม่ได้เดินทางไปก็กำลังถูกประเมินอยู่ ณ เวลานี้

"ถึงจุดนั้นเมื่อไหร่ ผมถึงจะสามารถพูดอะไรเพิ่มเติมได้"

ในการที่จะเข้าใจฟาน ฮาล คุณต้องรู้ก่อนว่างานแรกของเขาก็คือการถ่ายทอดความคิดของเขาสู่นักเตะ ในหัวมุมแห่งหนึ่งของแคร์ริงตันตอนบ่าย 3 ผมไปจ๊ะเอ๋เข้ากับไทเลอร์ แบล็คเก็ตต์ที่กำลังนั่งอยู่คนเดียว โดยมีโน็ตบุ๊คอยู่บนตัก รับชมคลิปผลงานการเล่นของเขาในเกมพ่ายคาบ้านต่อสวอนซี 2-1

ในฐานะที่ผมเป็นโค้ชทีมชาติอังกฤษ ผมเห็นได้ชัดเลยว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะเป็นสถานที่ซึ่งเหมาะสมสำหรับดาวรุ่งชาวผู้ดีที่จะพัฒนา

"ผมคิดว่าไทเลอร์โชว์ผลงานที่ดีที่สุดออกมาในการเตรียมทีมรับมือการแข่งขันกับสวอนซี แต่ด้วยความไร้ซึ่งประสบการ์ของเขาทำให้เขาจ่ายบอลคืนกลับหลังเร็วเกินไป" ฟาน ฮาลซึ่งดูจะชื่นชอบแบล็คเก็ตต์เอามากๆกล่าว

"นั่นไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่ว่าเขาจะไม่ทำผิดพลาดแบบนั้นอีกแล้วเพราะผลกระทบของสิ่งที่เกิดขึ้นถือว่ารุนแรงมาก"

ว่าแต่นี่เป็นอีกครั้งรึเปล่าที่นักเตะต้องเจอกับช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลง ครั้งนี้กับในยุคของเดวิด มอยส์...?

"ในฐานะโค้ช เราต้องมอบข้อมูลจำนวนมากให้กับนักเตะ ผมคิดว่าบางทีอาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำ ก็ลองเปรียบเทียบดูกับเวลาที่คุณไปที่สนามบินเป็นครั้งแรก หากว่าผมไปที่สนามบินแมนเชสเตอร์ ผมจะต้องไปที่เทอร์มินัลไหน? ไฟลท์บินของผมอยู่จุดใด? ผมต้องจอดรถเอาไว้จตรงไหน? ที่เคาเตอร์เช็คอินคิวยาวมากเพียงใด? คุณ (เขาหมายถึงผม) รู้เรื่องนั้นดี คุณรู้จักสถานที่ รู้ข้อมูลทุกๆอย่าง คุณต้องเป็นคนบอกให้ผมรับทราบ ผมเพิ่งจะมาใหม่และรู้อะไรไม่กี่อย่าง นั่นก็เปรียบเหมือนกันในการดูแลนักเตะ ตอนนี้ผมต้องขับรถอีกด้านเมื่อย้ายมาอยู่ในสหราชอาณาจักร ตอนนี้ผมต้องระมัดระวังดูถนนให้ดี นั่นคือกระบวนการที่นักเตะของผมกำลังเผชิญอยู่และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายเลย"

กระบวนการการเรียนรู้นั้นเกี่ยวข้องกับวีดีโออยู่เสมอ



"บางครั้งผมก็จะพูดคุยกับพวกเขาในการสื่อสารกันเพราะคุณอยากจะรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ ผมถามคำถามจากนั้นพวกเขาก็โต้ตอบ ไม่ใช่เพียงแค่ผมนะแต่ไรอัน กิ๊กส์, อัลเบิร์ต สตีเฟนเบิร์กและฟรานส์ โฮคก็ด้วย ยกตัวอย่างก็คือไรอันจะเป็นมอบบทวิเคราะห์ของทีมคู่แข่ง อัลเบิร์ตจะเป็นคนประเมินส่วนผมจะวางหมากก่อนเกมการแข่งขัน ผมมักจะเป็นคนนำเสนอและก็ขัดคอผู้ช่วยของผมเสมอ"

หลังเกมการแข่งขันกับสวอนซี ฟาน ฮาลได้กล่าวว่าความมั่นใจของทีมถูกทำลายลง ในตอนที่ผมได้ยินสิ่งนั้น ผมสงสัยว่าเขาจะหมายความว่าทีมกำลังประสบปัญหาหยุดยั้งจากความก้าวหน้า แต่เขาเลือกใช้คำที่ฟังดูรุนแรงกว่า ซึ่งอาจจะมาจากข้อผิดพลาดสำหรับคนต่างชาติหรือไม่

ตอนนี้เขาได้อธิบายให้ผมฟังว่าความมั่นใจของนักเตะนั้นลดลงก่อนเกมการแข่งขันพรีเมียร์ ลีกเกมแรก

"มันเกิดขึ้นหลังเกมการแข่งขันกับบาเลนเซียเพราะว่าในเกมนั้นมันถือเป็นจุดเสื่อมถอยอย่างมากของพวกเรา เราอาจจะคว้าชัยชนะได้แต่ว่าบาเลนเซียเป็นทีมที่ดีกว่า พวกเขาไหลลื่น ครองบอลได้ดีกว่า"

"พวกเราพ่ายแพ้ในเกมกับสวอนซี ในวงการฟุตบอลเรามองกันที่ผลการแข่งขัน แต่ผมรู้ว่ามันไม่ใช่แค่นั้น ทุกๆอย่างขึ้นอยู่กับเรื่องของกระบวนการ โดยสุดท้ายแล้วด้วยข้อมูลที่เรามีอยู่ เราจะสามารถพัฒนาขึ้น แต่ว่าตอนนี้มันถือเป็นเรื่องยาก" แม้กระทั่งคนที่มั่นใจอย่างฟาน ฮาล ผู้ซึ่งเต็มไปด้วยความกระปรี้กระเปร่าหลังศึกฟุตบอลโลก ก็เจอกับบททดสอบความจริง

วิธีการจะไม่เปลี่ยนไป นักเตะจะได้ยินแต่คำที่เขากล่าว

"ให้ยึดแต่เนื้อหาของหลักปรัชญาของผมเท่านั้น ผมเป็นคนประเมินเกมการเล่นของนักเตะทุกๆคน ผมทำแบบนั้นมาเสมอ ผมได้เลือกให้กองกลางและกองหลังฝึกซ้อมพิเศษหลังความพ่ายแพ้ต่อสวอนซี แต่นั่นก็เพื่อเนื้อหาของหลักปรัชญาของผม ฆวน มาต้าจะต้องเล่นยังไง หรือว่ากองหลังจะต้องทำอะไรแบบไหนและสื่อสารกันยังไงในการปิดพื้นที่ นั่นคือหนทางเดียวที่จะทำให้พวกเราพัฒนาได้"

แล้วมันจะได้ผลหรือเปล่าล่ะ?

"เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับระดับของนักเตะ ผมไม่ใช่ผู้วิเศษ มันขึ้นอยู่กับตัวนักเตะเอง เมื่อ 3 ปีสิ้นสุดลงเราน่าจะได้นักเตะแบบนั้น ผมจะเป็นคนคัดเลือกพวกเขาเอง ผมบอกกับนักเตะของผมแบบนั้น" ฟาน ฮาลกล่าวอย่างมั่นใจเกี่ยวกับเรื่องที่นักเตะจะซึมซับไอเดียที่แน่วแน่ของเขาไปได้

นอกเหนือจากสิ่งนี้แล้ว ผมอยากเข้าใจถึงแก่นแท้สำหรับความเชื่อมั่นที่เขามีให้กับนักเตะเยาวชน

"มันไม่ใช่ความเชื่อมั่นนะ มันคือการเฝ้าดูและคอยสังเกต" ฟาน ฮาลแก้คำพูดให้ผม

"เมื่อคุณมองเห็นว่านักเตะดาวรุ่งมีพรสวรรค์ และเขาเหมาะสมกับตำแหน่ง ซึ่งจากนั้นเขาจะสามารถทำหน้าที่ได้ บางทีสายตาของผมอาจจะดีมากๆ เพราะผมผมมักจะมองเห็นว่าใครทำได้ ผมไม่ได้เชื่อมั่นแต่ในตัวของนักเตะที่มีประสบการณ์ เพราะคุณจำเป็นจะต้องมีองค์ประกอบที่ครบถ้วนสำหรับระบบการเล่น ผมไม่ได้มาที่นี่เพราะว่าผมเป็นคนดีเด่น แต่ผมมาที่นี่เพราะหลักปรัชญาของผม"

"ผมต้องการให้นักเตะแสดงปรัชญาดังกล่าวนั้นออกมา ผมรู้ดีว่านักเตะคนไหนเหมาะสมเข้ากับสิ่งที่ผมพยายามถ่ายทอด เมื่อไหร่ก็ตามที่นักเตะคนนั้นเป็นดาวรุ่ง มันก็ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก มันเป็นสิ่งที่ดีกว่าหากว่าคุณมีนักเตะอายุ 21 ปีที่ทำตามสิ่งที่คุณต้องการไม่ใช่นักเตะที่มีอายุ 26 หรือ 27 ปี"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่