[REVIEW] Linkin Park - The Hunting Party (2014)

เป็นเวลากว่า 14ปีแล้ว นับจากที่วงได้ออก Hybrid Theory และช่วงระวะเวลาดังกล่าวที่พวกเค้าได้ผ่านร้อนผ้านหนาว
เก็บเกี่ยวประสบการณ์และกาลเวลาช่วยสั่งสมให้วงแข็งแกร่งขึ้นไปทุกวัน

ช่วงเวลาที่ห่างหายไปจากอัลบัม Living Things ทางวงได้ปล่อยอัลบัม Recharged ซึ่งเป็นอัลบัมรวมเพลงจาก Living Things มาRemixและได้ Steve Okiมาร่วมด้วย

ส่วนChester Benington ได้ไปร่วมทำ EP อัลบัม และทัวร์กับStone Temple Pilots ทำให้รู้สึกว่าพวกเค้าไม่ได้ห่างหายไปไหน และกำลังจะเตรียมการปล่อยของออกมาไม่เกินรอแน่นอน

The Hunting Party คืออัลบัมเต็มชุดที่6 ที่ออกได้ตรงเวลา2ปีเป้ะๆตามวาจาที่เชสเตอร์ได้กล่าวไว้ว่าจะทำ อัลบัมออกมาทุกๆ 18เดือน
เนื่องจาก Linkin Parkเป็นวงที่ผู้เขียนรู้สึกผูกพันธ์และเติบโตมาด้วยกัน จึงอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้เวลาที่ Linkin Parkได้เข็นผลงานออกมาในรูปแบบไหนก็ตาม

อัลบัมนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งของวง โดยวงเลือกที่จะกลับไปทำเพลงแนวยุค90s (ช่วงระยะเวลาปี90sคือช่วงที่MikeและBradได้พบกันตอนช่วงสมัยเรียน)
โดยมีส่วนผสมของดนตรี Rap rock,Grunge,Metal,Hardcore,Punk โดยรวมๆแล้วยังคงเป็น Alternative rock แบบที่วงถนัดอยู่

และอัลบัมนี้ ทางวงได้เลือกใช้การบันทึกเสียงแบบ "อนาลอค" แทนที่การอัดแบบดิจิตัลเช่นที่วงเคยทำ
ทำให้รู้สึกถึงความดิบ หยาบกร้าน แต่สดใหม่ในเนื้อในของเพลงได้อย่างเห็นได้ชัด

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอีกอย่างหนึ่งคืออัลบัมนี้ไม่ได้ใช้บริการพ่อโปรดิวเซอร์เครางาม Rick Rubinแต่ กลายเป็น Brad Delson และ Mike Shinoda ที่เป็นแกนนำหลักของวงมาโปรดิวซ์งานกันเอง (แถมทิ้งท้ายด้วย Rob CavalloและEmile Haynie สองโปรดิวเซอร์ชื่อดังมาร่วมโปรดิวซ์ในบางเพลง)
และเป็นอัลบัมเต็มครั้งแรกที่ได้แขกรับเชิญผู้คร่ำหวอดในวงการเพลงอย่างเช่น Page Hamilton (Helmet),Daron Malakian (System of a Down,)Tom Morello ( Rage Against the Machine.) และRakim มาFeaturing แค่เห็นชื่อหลายคนอาจจะตื่นเต้นและอดใจไม่ไหวที่จะได้ลิ้มลองฟัง

หรืออาจจะเป็นผลจากการที่มือกีตาร์เพื่อนรักสองคนอย่างBradและMike ทำให้พาร์ทกีตาร์ในอัลบัมนี้ดูเด่น
ขึ้นมาก ทั้งคู่เลือกใช้กีตาร์7สายในบางเพลง ใช้เอฟเฟกซ์กีตาร์ที่หลากหลาย และมีพาร์ทโซโล่กีตาร์เกือบทุกเพลง! และไมค์เป็นผู้ร่วมโซโล่เวลาเล่นสดด้วย

นอกจากซาวนด์กีตาร์ในอัลบัม มีอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามไปอย่างมากคือไลน์กลองของRob เนื่องจากอัลบัมนี้ใช้การอัดแบบอนาลอคและใช้การอัดแบบเทคเดียว

และถ้าใครได้ติดตามStudio Update ของวงจะเห็นว่าRobอัดกลองจนกระดูกหลังเคลื่อนจนต้องเข้าโรงพยาบาลหลายครั้งในช่วงบันทึกเสียงเลยทีเดียว

อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ Artwork ที่หลายคนอาจจะชอบแต่รู้สึกไม่คุ้นเคยกับArtworkแบบนี่เท่าไร ที่ออกแบบโดยJames Jean  ที่เคยมีผลงานกับ Prada และDC Comics
ถ้าPre OrderอัลบัมนีแบบUs Deluxe Editions เราจะได้Booklet 36หน้าที่มีเฉพาะ แผ่น Us Deluxe Editions เท่านั้น

Track By Track

1. 'Keys to the Kingdom'

เปิดอัลบัมด้วยความเดือดพอประมาณ

เพลงนี้เป็น Rap Rockที่ค่อนข้างหนักเอาการ ความเกรี้ยว กราด ผ่านเสียงสครีมของเชสเตอร์ พร้อมกับภาคริทึ่มกีตาร์ที่บาดหู และท่อนแรพของไมค์
พร้อมทั้งเสียงโซโลกีตาร์ของแบรดที่เท่ห์ที่สุดเพลงนึง โดยเนื้อเพลงกล่าวถึง ความโกลาหล ความยุ่งเหยิง

2. 'All for Nothing'

กลิ่นอายของเพลงในช่วงยุค 2000 ยังคงคุกรุ่น
เพลงนี้ยังคงความเป็น Rap Rock เช่นเดียวกับเพลงที่แล้ว ที่มีทั้งกีตาร์ริทึ่มและลีดทั้งสองไลน์ กีตาร์โซโล่
พร้อมกับ Page Hamilton ที่มาร้องและเล่นกีตาร์ในท่อนฮุท

เพลงนี้พูดถึงการพยายามทำสิ่งอย่างหนึ่งที่ไร้ค้า

3. 'Guilty All the Same'

Single แรกของอัลบัม ที่ออกมาให้คนทั้งโลกแปลกใจเล่นๆในวันที่ 7 มีนาคม
หลายคนอาจนึกถึงNo More Sorrow เพราะ เพลงที่หนักและดิบเพลงนึงตั้งแต่วงเคยทำมา (ดิบซะจนคิดว่าเป็นเดโมที่ยังไม่ผ่านการมาสเตอร์ริง)
โดยพาร์ทกลอง ได้มีการเร่งบีทและจังหวะให้เร็วๆขึ้นๆไปอีก ผสานกับกีตาร์ที่หยาบกร้าน ทั้งริฟฟ์กีตาร์ และโซโล รวมไปถึงเสียงกลอง และเบสเสียงแตกๆ
ความพิเศษของเพลงนี้คือได้Rapperผิมหมึกแห่งยุค80อย่างRakimมาช่วยแรพ

โดยเนื้อหาของเพลงพูดถึงการต่อต้านการโกงการเอารัดเอาเปรียบในสังคม

4. 'The Summoning

พักหูกันสักนิดกับ Interlude แรกของอัลบัมที่มีความยาว1นาทีตรงเป้ะไม่ขาดไม่เกิน และเปิดฉากไปถึงการจุดชนวนและเริ่มต้นสงคราม

5. 'War'

War หรือเรียกสั้นๆว่าสงคราม
และนี่เสียงของสงคราม ที่มีบีทและจังหวะเร็วที่สุดเพลงนึงที่วงเคยทำมาเลยก็ว่าได้

เพลง นี้มีกลิ่นความเป็นGrungeติดเข้าไป พร้อมกับริฟฟ์กีตาร์ง่ายๆชวนโดด และที่สำคัญเพลงนี้ Robได้แสดงออกทางด้านกลองได้สะใจและมันส์มากที่สุดเพลงนึง

6. 'Wastelands'

Wastelands ถือว่าเป็นภาคต่อของ War และนี่คือผลลัพธ์หลักจากสงครามและการต่อสู้
เพลงนี้ยังคงเป็นเพลงที่ใช้แพทเทิร์นเดิมๆคือการใช้เสียงไมค์แรพและเสียงคอรัสเท่ห์ๆ โดยผ่านจากการใช้ภาษาอันคมกริบของMike และท่อนคอรัสของChester

(เพลงนี้แอบพูดถึงชีวิตของร็อคสตาร์ท่านนึง ซึ่งผู้เขียนอยากให้ลองค้นหาดูว่าใคร)

7. 'Until It's Gone'

Single ที่สอง ที่ออกมาในวันที่ 6มิถุนายน และเป็นMV แรกในอัลบัม
Linkin Park ยุคหลังๆจะใช้เพลงแนวๆนี้ ไม่แปลกที่เราอาจจะนึกถึง What I've done และ New Devide
โดยเพลงนี้ยังคงความเป็นElectronicผสมกับRock ที่ฟังง่ายและติดหู โดยกลางเพลงเราจะได้ยินเสียงโซโลกีตาร์เท่หๆด้วย

เนื้อเพลงพูดถึงการสูญเสียและการระลึกถึง ค่าของสิ่งที่สูญเสียไปเมื่อสายเกินไปแล้ว

8. 'Rebellion'

การก่อกบฏครั้งนี้เกิดขึ้นจากการรวมของสองอำนาจแห่งขั้วดนตรี Nu Metal ที่จะพาคุณนั่งไทม์แมชชีนกลับไปยังยุคที่พวกเขารุ่งเรืองถึงขีดสุด
ด้วยริฟฟ์กีตาร์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Daron Malakianที่ยากจะหาใครมาเปรียบ
ซาวนด์คีย์บอร์ดติดหู ผ่านเสียงเมโลดีร้องประสานสองคีย์ของไมค์และเชสเตอร์

หรือพูดง่ายๆเพลงนี้คือ เพลงของLinkinparkที่ภาคดนตรีเป็นของSystem of a downนั่นเอง

เพลงนี้พูดถึงอีกมุมหนึ่งของสงคราม และผลที่ได้ลัพธ์อีกมุมหนึ่ง ผ่านมุมมองของอเมริกันชน
ที่จะเป็นผู้เล่าเรื่องถึงความไม่เอาไหน ความอิจฉาริษยา ความเหลวแหลกและการแก่งแย่งชิงดี  ความแค้นที่ในสงครามจอมปลอมที่พวกเค้านั้นสร้างขึ้นมาเอง

9. 'Mark the Graves'

ถ้าตั้งใจฟังสักหน่อยเพลงนี้จะเป็นเพลงที่ภาคดนตรี แปลกและแตกต่างออกไปพอสมควร

เช่นไลน์เบสPhoenixได้ใช้เอฟเฟคเบสเค้ามาทำให้เีสียงดูหนาๆแตก ๆและชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมทั้งไส่ไลน์เดินเข้าไปนิดๆ

ส่วนทางด้านกีตาร์โซโลในเพลงนี้ได้ใช้เอฟเฟคที่แตกต่างออกไปมาทำให้เพลง ดูแปลกยิ่งขึ้น

และเสียงคลีนของกีตาร์เข้ามาเป็นส่วนผสม (แม้จะนิดเดียวก็ตาม)

ภาคการร้องจะเป็นของเชสเตอร์เดี่ยวๆ โดยเนื้อเพลงจะกล่าวถึง อดีต ความทรงจำ ที่เีราได้เคยผ่านมา effect เบส

10. 'Drawbar'

Interludeสั้นๆอีกเพลง ที่ฟังเผินๆอาจเป็นแค่เพลงบรรเลงสั้นๆเพลงนึงที่คั่นเวลาเพื่อพักหู

แทรคนี้ไม่มีเนื้อร้อง แต่เป็นเสียงกีตาร์บรรเลง คลอๆไปกับเปียนโน และเสียงสังเคราะห์ คลอๆก่อนที่เพลงจะดังขึ้นเรื่อยๆด้วยเสียงกลอง

จินตนาการถึง พื้นที่กว้างๆ อันมืดมิดแต่มีมิติในตัวของมันเอง

ความพิเศษคือเพลงนี้ ได้ Tom Morello แห่งคณะ Rage Against the Machine มาช่วยแต่งทำนองและเรียบเรียง

และคำว่า Drawbar อาจหมายถึงสิ่งที่เชื่อมต่อไปสู่ Final Masquerade ก็ได้

11. 'Final Masquerade'

เพลงบัลลาดช้าที่ถูกตัดเป็นSingleอีกเพลง  

เป็นอีกเพลงที่ฟังและเข้าถึงง่ายผ่านเสียงร้องของเชสเตอร์ ผ่านการใช้ภาษาืสละสลวยแต่เข้าใจง่าย
อยากให้ลองจินตนาการถึง งานเต้นรำสวมหน้ากากยามค่ำคืน และมีเพลงนี้เป็นเพลงประกอบ

หากแต่ว่าคำว่า Final Masquerade ในเพลง ไม่ได้หมายความว่างานเต้นรำสวมหน้ากากครั้งสุดท้าย
แต่นี่หมายถึงว่าการปกปิดครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะพบกับคำว่าลาจากเท่านั้นเอง

12. 'A Line in the Sand'

Linkinpark ไม่ได้ทำเพลงที่เป็นมหากาพย์ มานานถึง7ปี (นับตั้งแต่ เพลง the ในอัลบัมmi ปี2007)
เพลงนี้มีความยาวที่สุดในอัลบัมและยาวที่สุดตั้งแต่วงเคยทำมา
และมหากาพย์ที่ชื่อว่า ขีดเส้นบนผืนทรายนี้ มีส่วนผสมของ Metal , Rock ,ทีมีท่อนแรพไส่ลงไปเป็นสีสัน ผสานกับท่อนSolo Guitar ยาวๆของBrad
เพลงนี้ขึ้นต้นมาด้วยเสียงร้องของ Mike พร้อมกลองและริฟฟ์กีตาร์ดุๆ พร้อมด้วยท่อนฮุค อันเกรี้ยวกราดของChester และเสียงแรพของMike

โดยเพลงนี้พูดถึงเรื่องราวระหว่าง ผู้ทำกับผู้ถูกกระทำ การกดขี่ข่มเหง การทารุณกรรมและถึงเวลาต้องชดใช้ในสื่งที่ทำลงไป





Linkin Parkยังคงเป็นLinkin Park ไม่ว่ากาลเวลาผ่านไปเท่าใดพวกเค้าก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานที่สามารถเขย่าโลกได้ทุกครั้ง

The Hunting Party คืออัลบัมที่หนักหน่วงแหละหยาบกร้าน โดยถ้าตั้งใจฟังดีๆจะสัมผัสได้ถึงความสวยงามสงบและสุขุมเข้ามาบ้างและไม่เสียความเป็นตัวเอง

และผู้เขียนเชื่อมั่นว่าอีกไม่เกิน2ปีพวกเค้าจะกลับมาพร้อมกับอัลบัมไหม่ในแนวทางที่แตกต่าง และเฝ้ารอที่จะได้สัมผัส
กับคอนเสิร์ตของวงในบ้านเราอีกครั้ง

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่