คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
อันดับถัดไป เลข เป็นอะไรที่เหมือนจะฝึกกันได้แต่เท่าที่สังเกตุมานานจริงๆแล้วมันเป็น gifted
มีคน 4 ประเภท
1. เก่งเลขและขยันให้เวลากับมัน พวกนี้ก็จะทำได้ดี
2. เก่งเลขแต่ไม่ขยันเรียน พวกนี้จะทำให้คนอื่นเข้าใจว่าคนเราพอกลับตัวแล้วเปลี่ยนได้เพราะมีความสามารถแฝงในตัวรอวันปลุกขึ้นอยู่แล้ว
3. ไม่เก่งเลขแต่ขยัน พวกนี้น่าสงสารเพราะมักจะถูกคนอื่นปรามาสว่าโง่ ทั้งๆที่จริงๆแล้วไม่ใช่ เขามีความสามารถด้านอื่น แต่ระบบบีบบังคับให้
คนที่ไม่เก่งวิชา main stream แบบเลข อังกฤษ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ไม่มีที่ยืน
4. ไม่เก่งและก็ไม่ขยัน จมใต้น้ำต่อไปตามบายครับพี่
ถ้าถามว่าทำยังไงให้ดีขึ้น ฝึกทำโจทย์เยอะๆและควรเป็นโจทย์ที่ยากกว่าที่ควรจะเป็น 1 step เช่นจะสอบข้อสอบโรงเรียน
ก็เอาข้อสอบเข้ามหาลัยเรื่องนั้นๆมาทำ ที่ทำแบบนี้เพราะการชินกับความยากจะทำให้เมื่อเจอระดับที่ง่ายลง เราจะสามารถผ่านได้แบบฉลุย
แต่ถ้าแม้แต่เรียนเนื้อหาไม่รู้เรื่อง อันนี้ต้องค่อยๆย้อนกลับไปของ ม.ต้นส่วนที่เกี่ยวเนื่องถึง ม.ปลายว่าเราแม่นพอหรือยัง
เช่น การแยกตัวประกอบพหุนาม การบวกลบคูณหารพหุนาม บวกลบคูณหารเศษส่วน การบวกลบคูณหารสังยุค
การฝึกเขียนสมการจากโจทย์ข้อความ การแก้สมการและอสมการ ความแม่นของการคิดเลขภายใต้เวลาจำกัด
การมองและจับ pattern ของ พหุนามกำลังสอง กำลังสามเช่น เห็น x3-27 ในหัวนึกถึง pattern
(x-3)(x2+3x+9) ได้ทันทีหรือไม่ ถ้าไม่ แปลว่าเรายังไม่มี pattern พื้นฐานในการแก้โจทย์เลขแบบ asian math ที่เพียงพอ
ถ้าเจอโจทย์ให้หาค่าต่ำสุดสูงสุดเรานึกออกทันทีหรือไม่ว่าควรจะจัดรูป (x+something)2+ตัวเลขค่าคงที่
หรือคุณต้องรู้ ดิฟและอินทิเกรตเพื่อหลีกเลี่ยงการจัดรูป คือเห็นโจทย์ข้อนึงต้องนึกวิธีแก้หลายๆวิธีให้ออก
ย้อนกลับมาเรื่องภาษาอังกฤษ อันนี้ให้มองข้าม shot ไปที่ระดับ toefl เลยแล้วข้อสอบเข้ามหาลัยจะเหมือนโจ๊ก
อาจจะนึกว่าจะไปข้ามขั้นได้ยังไงแต่จริงๆแล้วการฝึกแบบ ฟังพูดอ่านเขียน เป็นธรรมชาติกว่าการอัด pattern โครงสร้าง grammar
แบบที่โรงเรียนและหลักสูตรชอบทำกัน และฝึกได้ไม่ยากนักและที่สำคัญคือไม่น่าเบื่อ คุณ beat TOEFL เอาให้ถึงซัก 75-80
ซึ่งไม่ได้ยากนักถ้าฝึกตัวเองให้เวลาซักปีถึงปีครึ่ง ข้อสอบเข้ามหาลัยก็ทำได้เกิน 70/100 แบบชิวๆแล้ว
มีคน 4 ประเภท
1. เก่งเลขและขยันให้เวลากับมัน พวกนี้ก็จะทำได้ดี
2. เก่งเลขแต่ไม่ขยันเรียน พวกนี้จะทำให้คนอื่นเข้าใจว่าคนเราพอกลับตัวแล้วเปลี่ยนได้เพราะมีความสามารถแฝงในตัวรอวันปลุกขึ้นอยู่แล้ว
3. ไม่เก่งเลขแต่ขยัน พวกนี้น่าสงสารเพราะมักจะถูกคนอื่นปรามาสว่าโง่ ทั้งๆที่จริงๆแล้วไม่ใช่ เขามีความสามารถด้านอื่น แต่ระบบบีบบังคับให้
คนที่ไม่เก่งวิชา main stream แบบเลข อังกฤษ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ไม่มีที่ยืน
4. ไม่เก่งและก็ไม่ขยัน จมใต้น้ำต่อไปตามบายครับพี่
ถ้าถามว่าทำยังไงให้ดีขึ้น ฝึกทำโจทย์เยอะๆและควรเป็นโจทย์ที่ยากกว่าที่ควรจะเป็น 1 step เช่นจะสอบข้อสอบโรงเรียน
ก็เอาข้อสอบเข้ามหาลัยเรื่องนั้นๆมาทำ ที่ทำแบบนี้เพราะการชินกับความยากจะทำให้เมื่อเจอระดับที่ง่ายลง เราจะสามารถผ่านได้แบบฉลุย
แต่ถ้าแม้แต่เรียนเนื้อหาไม่รู้เรื่อง อันนี้ต้องค่อยๆย้อนกลับไปของ ม.ต้นส่วนที่เกี่ยวเนื่องถึง ม.ปลายว่าเราแม่นพอหรือยัง
เช่น การแยกตัวประกอบพหุนาม การบวกลบคูณหารพหุนาม บวกลบคูณหารเศษส่วน การบวกลบคูณหารสังยุค
การฝึกเขียนสมการจากโจทย์ข้อความ การแก้สมการและอสมการ ความแม่นของการคิดเลขภายใต้เวลาจำกัด
การมองและจับ pattern ของ พหุนามกำลังสอง กำลังสามเช่น เห็น x3-27 ในหัวนึกถึง pattern
(x-3)(x2+3x+9) ได้ทันทีหรือไม่ ถ้าไม่ แปลว่าเรายังไม่มี pattern พื้นฐานในการแก้โจทย์เลขแบบ asian math ที่เพียงพอ
ถ้าเจอโจทย์ให้หาค่าต่ำสุดสูงสุดเรานึกออกทันทีหรือไม่ว่าควรจะจัดรูป (x+something)2+ตัวเลขค่าคงที่
หรือคุณต้องรู้ ดิฟและอินทิเกรตเพื่อหลีกเลี่ยงการจัดรูป คือเห็นโจทย์ข้อนึงต้องนึกวิธีแก้หลายๆวิธีให้ออก
ย้อนกลับมาเรื่องภาษาอังกฤษ อันนี้ให้มองข้าม shot ไปที่ระดับ toefl เลยแล้วข้อสอบเข้ามหาลัยจะเหมือนโจ๊ก
อาจจะนึกว่าจะไปข้ามขั้นได้ยังไงแต่จริงๆแล้วการฝึกแบบ ฟังพูดอ่านเขียน เป็นธรรมชาติกว่าการอัด pattern โครงสร้าง grammar
แบบที่โรงเรียนและหลักสูตรชอบทำกัน และฝึกได้ไม่ยากนักและที่สำคัญคือไม่น่าเบื่อ คุณ beat TOEFL เอาให้ถึงซัก 75-80
ซึ่งไม่ได้ยากนักถ้าฝึกตัวเองให้เวลาซักปีถึงปีครึ่ง ข้อสอบเข้ามหาลัยก็ทำได้เกิน 70/100 แบบชิวๆแล้ว
แสดงความคิดเห็น
เรียนยังไงให้เก่งครับ
อีกอย่างครับ คือว่า วิชาภาษาอังกฤษ อีกครับ ทำยังไงถึงจะเรียนเก่ง ไอ้เจ้าสามวิชานี้ครับ^^ บอกผมหน่อยครับ^^