ขอแท็กห้องชานเรือนด้วยเพราะเห็นว่าเป็นปัญหาครอบครัวที่เจอกันบ่อยๆ ในสังคมปัจจุบันค่ะ
ขอเล่าที่มาที่ไปยาวนิดนึงนะคะ
เนื่องจากพี่ชายดิฉันได้เสียชีวิตเมื่อต้นเดือนที่แล้วโดยการฆ่าตัวตาย พี่ชายรับราชการตำรวจในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ค่ะ ก่อนพี่ชายตัดสินใจฆ่าตัวตายได้โทรมาร้องไห้เรื่องที่ทะเลาะกับภรรยาให้พ่อกับแม่ฟัง เนื่องจากพี่ชายดิฉันไม่ยอมเซ็นต์ใบหย่าให้ และกล่าวหาว่าพี่ชายมีผู้หญิงอื่น ในเย็นวันนั้นพ่อกับแม่ก็ได้ไปคุยกับลูกสะใภ้เขาก็ยังคงยืนยันว่าจะหย่ากับพี่ชายดิฉันให้ได้ จะคืนทรัพย์สินของพี่ชายคืนทั้งหมด (ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากมาย) โดยจะไม่เรียกร้องสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น แม่ก็ตกลงและจะโทรคุยกับลูกชายให้เข้าใจตามนี้ แต่โทรยังไงก็โทรไม่ติด (เข้าใจว่าตอนนั้นพี่ชายคงยิงตัวเองตายไปแล้ว)
(พี่ชายแยกบ้านออกไปปลูกเองในที่ดินของแม่ยายโดยพ่อเป็นคนลงทุนและลงแรงสร้างบ้านหลังดังกล่าวให้ แต่งงานตอนต้นปี 53 มีลูกด้วยกัน 1 คนอายุประมาณ 7 เดือน)
เมื่อทราบว่าลูกชายได้เสียชีวิต และทราบว่าสาเหตุคืออะไร ทางพ่อแม่ดิฉันจึงขอเป็นผู้จัดการงานศพทั้งหมดเองเนื่องจากเป็นลูกชายคนเดียว บวกกับทางสะใภ้แจ้งว่าไม่มีเงินเลย ในตลอด 5 วันที่จัดงานศพทางพี่สะใภ้ไม่ได้ช่วยเหลือการจัดงานแม้เพียงแรงกายหรือช่วยเหลือเรื่องเงินแต่ใดๆ ทั้งสิ้น (ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นก็ว่าได้) ทางเราก็ไม่ได้ว่าอะไรหรือเรียกร้องเงินแม้แต่บาทเดียว เนื่องจากทางบ้านเราเพิ่งได้รับเงินจำนำข้าวซึ่งเพียงพอที่จะจัดงานดังกล่าวโดยไม่เดือดร้อน มิหนำซ้ำในคืนแรกหลังจากที่พี่ชายเสียพี่สะใภ้และญาติๆ ได้มาเจรจาเรื่องทรัพย์สินของพี่ชายโดยยกทะเบียนสมรสขึ้นมาอ้าง ทางเราก็ไม่คัดค้านเนื่องจากไม่สนใจในเรื่องทรัพย์สิน พวกเรากำลังเสียใจกับการจากไปของคนในครอบครัวมากกว่าและห่วงว่าต้นสังกัดจะดำเนินการจัดส่งศพให้เราอย่างไร เราจะต้องลงไปรับศพเองหรือไม่ ระยะทางจากสามจังหวัดภาคใต้ถึงจังหวัดในภาคอีสาณก็ไกลโขอยู่ เราห่วงตรงนี้มากกว่า
ถัดมาอีก 2 วัน ทางต้นสังกัดได้จัดส่งศพมาถึงบ้านอย่างสมเกียรติแม้พี่ชายจะไม่ได้เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติงานก็ตาม จนท.ตำรวจจากกองสวัสดิการได้เดินทางมาพร้อมกับศพเพื่อชี้แจงสวัสดิการต่างๆ ที่ทางทายาทจะได้รับด้วย ซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไร เนื่องจากฆ่าตัวตาย ทุกคนถามหาภรรยาผู้ตายแต่เธอไม่ปรากฏตัวในงานเลยจนดิฉันต้องโทรตาม ในวันนั้นพี่สะใภ้ของดิฉันเธอได้เรียกร้องสิทธิทุกอย่างแม้ในส่วนที่ไม่พึงจะได้ เธออ้างว่าเธอจดทะเบียนสมรสกับผู้ตายนะ ส่วนพ่อกับแม่ก็ได้แต่นั่งฟังเพื่อรับทราบเฉยๆ ไม่โต้เถียง ไม่เรียกร้องใดๆ (ขอไม่กล่าวถึงดราม่าที่เธอแสดงตอนศพมาถึงนะคะ ทั้งแย่งปืนจากเอวพี่ตำรวจ ไม่รู้จะเอามายิงใคร? ยังเป็นปริศนา)
ในวันที่นำศพออกไปที่วัดเพื่อทำพิธีฌาปณกิจ - ฝัง (ศพตั้งที่บ้าน) กลุ่มฌาปณกิจหมู่บ้านได้มอบเงินให้พี่สะใภ้จำนวนหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นกว่าบาทต่อหน้าศพและผู้เข้าร่วมงานทั้งหมด ทางเราก็คิดว่าดีนะจะได้มีเงินซื้อนมให้หลาน และต่อมาขณะที่ยังไม่โบกปูนปิดสุสานพี่สะใภ้ได้โทรมาทวงทรัพย์สินของพี่ชาย (ที่นำขึ้นมาพร้อมกับศพ) จากญาติอีกคนของดิฉัน ซึ่งญาติคนดังกล่าวก็แจ้งแล้วว่าขอให้งานศพเสร็จก่อนค่อยมาเอาได้ไหม ทางเราไม่ได้เปิดดู ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง ขอให้ใจเย็นๆ
หลังจากนั้นที่บ้านได้จัดสวดต่ออีกให้ครบ 3 วันหลังจากศพมาถึง และทำบุญตักบาตรเสร็จในช่วงเช้า ช่วงสายระหว่างเก็บของไปคืนที่วัดพ่อตาของพี่ชายได้มาที่บ้านของดิฉันและขนของใช้พี่ชายทุกอย่างขึ้นหลังรถกระบะ (ของพ่อดิฉัน) ของประมาณเต็มท้ายรถกระบะ โดยไม่ได้เปิดให้ทางเราทราบเลยว่าในแต่ละกล่องในกระเป๋าแต่ละใบมีอะไรบ้าง จนทางเราไม่ยอมเราขอดูก่อน เพื่อป้องกันคำครหาเดี๋ยวจะใส่ร้ายว่าเราเอาไป (พอทราบนิสัยของบ้านพี่สะใภ้พอสมควร) ทางพ่อตาพี่ชายจึงยอมขนของลงแบบไม่พอใจ ทำหน้าเหวี่ยงๆ ตลอดเวลา ทางเราได้หยิบทีละชิ้นออกมาดู บางชิ้นพ่อกับแม่ซื้อให้ บางชิ้นพี่ชายซื้อเอง แต่พ่อตาเขาเหมาหมดว่าเขาซื้อให้ลูกเขย พอพวกเราแย้งก็เงียบ บอกไม่รู้!!!! เราก็ได้แต่ส่ายหน้าแบบปลงๆ......เราได้หยิบออกเพียงเอกสารบางส่วนซึ่งเป็นของบ้านเรา เช่น ทะเบียนสมรส สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประชาชนของพ่อ-แม่ และทะเบียนปืนกระบอกที่ซื้อก่อนแต่งงานเท่านั้น ส่วนเสื้อผ้าที่บ้านเราขอไว้ดูบ้างทางนั้นไม่ยอมให้เลย
เมื่องานศพเสร็จสิ้นพ่อและแม่ของดิฉันได้เดินทางลงไปให้ปากคำเพิ่มเติมที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยพ่อได้ไปถามลูกสะใภ้ว่าจะไปพร้อมกันไหม? พ่อจะออกค่าตั๋วเครื่องบินให้ คดีมันจะได้จบเร็วขึ้น พี่สะใภ้และญาติๆ ตอบกลับพ่อมาว่าไม่ไป ไม่พร้อม ยังไงก็ไม่พร้อมลงไปตาย ใครอยากตายก็ลงไปเลย......พ่อได้ยินดังนั้นเลยหันหน้ารถกลับบ้านตัวเองทันที พ่อโกรธมาก ทั้งที่ปกติพ่อเป็นคนใจเย็นที่สุดในสามโลก จึงโทรมาแจ้งดิฉันทราบ (ดิฉันทำงานใน กทม.) ดิฉันจึงได้ปรึกษากับผู้บังคับบัญชาของพี่ชายขอลงไปดำเนินการในส่วนของพ่อแม่ก่อนเนื่องจากดิฉันต้องพาไปและลางานนานมากไม่ได้
เมื่อเดินทางถึงปลายทางก็ได้ฟังคำบอกเล่าจากผู้บังคับบัญชาพี่ชายว่า "ทางพี่สะใภ้ได้โทรมาแจ้งว่าไม่สามารถเดินทางลงใต้ได้เนื่องจากติดงานและอีกอย่างคือไม่มีเงินค่าเดินทางเนื่องจากพ่อกับแม่สามีเอาไปหมดแล้ว ต้องรอขายที่ดินให้ได้ก่อนจึงจะมีเงินลงไปดำเนินการ" ท่านจึงแย้งกลับไปว่า "เงินอะไร ที่ไหน ที่นี่ยังไม่ได้ทำเรื่องให้จะเอาเงินมาจากไหน" นางเงียบใบ้กินค่ะ ท่านจึงบอกว่างั้นก็ไม่ต้องรีบหรอกขายที่ดินให้ได้ค่อยมาทำก็ได้
#ณ จุดนี้ เราโกรธมากค่ะ คือทางนั้นไม่ได้ช่วยอะไรแม้แต่บาทเดียวยังมีหน้ามาใส่ร้ายอีกฝ่ายให้เสียหายอีก พยายามไม่โกรธแต่ทำไม่ได้จริงๆ ค่ะ
เราก็ไปดำเนินการตามขั้นตอนทุกอย่างโดยมีผู้บังคับบัญชาพี่ชายแนะนำและให้ลูกน้องช่วยจัดการ ขับรถรับ-ส่งตลอดทั้งสัปดาห์ เราอาศัยในฐานค่ะ เนื่องจากคืนแรกพักที่โรงแรมตื่นเช้ามามีเหตุระเบิดรถเจ้าหน้าที่(ชุดที่เราไปอาศัยอยู่ด้วย)ใกล้ๆ กับโรงแรม เราจึงต้องย้ายออกจากโรงแรมเข้าไปอยู่ในฐาน เพื่อลดความเป็นห่วงของพี่ๆ ตำรวจ และจะได้ไม่ต้องเสียกำลังพลที่ต้องไปดูแลเราด้วย ซึ่งเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมาพี่ตำรวจคนที่โดนระเบิดสาหัสก็ได้เสียชีวิตลงแล้ว
อ่ะนะ กลับมาที่เรื่องที่บ้านต่อ
หลังจากกลับจากใต้ พ่อได้ไปนำรถมอเตอร์ไซด์ที่ไม่ได้จ่ายภาษีมา 4 ปี จำนวนเงินภาษีบวกเบี้ยปรับประมาณ 3 หมื่นกว่าบาท (ซึ่งเป็นชื่อพ่อ) กลับมาจอดไว้ที่บ้าน เพราะเกรงว่าหากมีคนนำไปใช้เกิดเหตุอะไรขึ้นเรื่องมันก็จะวนกลับมาที่พ่อ และขอเล่มทะเบียนจากพี่สะใภ้เพื่อจะแจ้งจอดที่ขนส่ง แต่เธอแจ้งว่าไม่มี พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรอ่ะไม่มีก็ไม่มี และในวันเดียวกันพ่อก็ได้ขอแม่วัวที่พ่อให้พี่ชายไปเลี้ยงเพื่อเอาลูก ตอนให้ไปวัวตั้งท้องอยู่ และพี่ชายบอกว่าขอแค่ลูกวัว แม่วัวจะส่งคืนให้พ่อ เพราะเป็นแม่วัวพันธุ์ดีราคาสูง ซึ่งเมื่อลูกวัวคลอดออกมาโตประมาณ 11 เดือน พ่อตาของพี่ชายก็ได้แอบขายไปในราคา 3 หมื่นบาท โดยไม่ได้แจ้งพี่ชายทราบแต่อย่างใด และไม่ได้นำเงินที่ได้ฝากไว้ให้หลานเลย ตอนนั้นพี่ชายก็ทะเลาะกับพี่สะใภ้เรื่องราวใหญ่โต จนถึงขั้นจะฆ่าจะแกงกัน เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้นพ่อจึงขอแม่วัวกลับมาเลี้ยงและให้สัญญาว่าจะนำลูกที่ได้มาคืนให้หลาน เพราะเกรงว่าบ้านนั้นจะแอบขายแม่วัวไปอีก ในขณะที่ไปนำทรัพย์สินของพ่อกลับคืนพ่อก็ได้ถามทางผู้ใหญ่ฝั่งนั้นแล้วว่าต้องการทำสัญญาไหมว่าพ่อเอาอะไรไปแล้วบ้าง ผู้ใหญ่ทางนั้นก็ยืนยันว่าไม่ต้อง ทั้งสองอย่างเป็นของพ่อ พ่อย่อมมีสิทธิ์นำกลับไปคืนได้ แต่พี่สะใภ้เธอได้ถาม-ดันพ่อว่าจะเอาอะไรอีกไหม พ่อก็ยืนยันว่าไม่เอา พ่อเอาคืนในส่วนของพ่อเท่านั้น ของผู้อื่นพ่อไม่แตะต้อง
ถัดมาอีก 2 ชม. มีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านนำหนังสือสัญญาที่ร่างขึ้นที่บ้านพี่สะใภ้ โดยมีเพียงฝ่ายนั้นรู้เห็นนำมาให้พ่อกับแม่เซ็นต์ที่บ้าน ขณะนั้นพ่อไม่อยู่ที่บ้านอยู่เพียงแม่ท่านเดียว ผู้ช่วยคนนั้นแจ้งกับแม่ว่า เอาหนังสือมาให้เซ็นต์ว่านำทรัพย์สินอะไรกลับมาบ้าง และจะไม่ไปเอาอย่างอื่นจากพี่สะใภ้อีก ด้วยความสะเพร่าของแม่ แม่จึงเซ็นต์โดยไม่ได้อ่าน เซ็นต์แล้วจึงโทรมาบอกว่าเซ็นต์อะไรไป ทางเราเอะใจจึงโทรไปหาพ่อให้พ่อเรียกผู้ช่วยคนนั้นมา เอาหนังสือนั้นมาอ่านอีกที เมื่อพ่ออ่านแล้วใจความในหนังสือบอกว่า "พ่อกับแม่ได้ไปแบ่งทรัพย์สินของ...(พี่ชาย)....มา 2 อย่าง ได้แก่... และให้สัญญาว่าจะไม่ไปแบ่งทรัพย์สินของ...(พี่ชาย)..อีก" ถึงตรงนี้พ่อปรี๊ดครั้งที่ 1 ทรัพย์สินทั้งสองอย่างเป็นของพ่อนะ และเมื่ออ่านต่อมา วรรคสุดท้ายระบุว่า "ให้ทั้งพ่อและแม่ยกผลประโยชน์ที่ได้รับจากการเสียชีวิตให้....(พี่สะใภ้)...เป็นผู้จัดการทั้งหมด โดยพ่อกับแม่จะไม่คัดค้านใดๆ ทั้งสิ้น" ถึงตรงนี้พ่อปรี๊ดเป็นครั้งที่ 2 และปรี๊ดแรง ถึงขั้นด่าผู้ช่วยคนนั้นว่าเขียนอะไรลงไป แล้วเขียนสอดไส้อะไรมา ผู้ช่วยก็ได้แต่ยกมือไหว้พ่อว่าผมผิดไปแล้ว ผมทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการ พ่อจึงให้อภัยแต่ขอฉีกหนังสือทิ้งนะ และขอให้เรียกฝ่ายนั้นไปคุยกันที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน จะร่างหนังสืออะไรก็ให้ทำต่อหน้าผู้ใหญ่บ้าน
ถึงวันเวลานัดพ่อก็ไปกับญาติผู้ใหญ่อีกคน ส่วนพี่สะใภ้ก็มากับทีมงานอีกคน (ไม่ใช่ญาติแต่เป็นผู้จัดแจงทุกอย่าง) พ่อจึงขอคุยว่าที่เขียนหนังสือนั้นต้องการอะไร??? ทางนั้นบอกต้องการให้พ่อกับแม่ยกทรัพย์สินของพี่ชาย ยกเงินสวัสดิการในส่วนที่พ่อแม่จะได้รับให้ลูกสะใภ้จัดการทั้งหมด พ่อกับแม่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเงินที่ได้มา จึงต้องการเซ็นหนังสือสัญญาเพื่อเป็นหลักฐาน ซึ่งถึงตรงนี้พ่อบอกยอมไม่ได้หรอก พ่อเสนอไปว่าทรัพย์สินส่วนที่ยังอยู่ที่บ้านนั้นก็เป็นของบ้านนั้นอยู่แล้วพ่อไม่ยุ่ง ส่วนเงินที่จะได้รับ ใครได้รับเท่าไหร่ก็เท่านั้น ไม่ก้าวก่ายกัน แต่คุยยังไงทางนั้นก็ไม่ยอม และบอกกับพ่อว่าถ้าไม่ยอมเซ็นต์ก็ไปเจอกันที่ศาลแล้วกัน แล้วก็ขับรถออกไปจากบ้านผู้ใหญ่ในทันที
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้มีประกาศจากศาลมาติดที่หมู่บ้านเรื่องแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของพี่ชาย โดยพี่สะใภ้ได้ไปยื่นเรื่องขอเป็นผู้จัดการมรดกที่ศาล และแจกแจงทรัพย์สินเท่าที่แม่อ่านผ่านๆ ได้แก่ บัญชีเงินเดือนของพี่ชาย ปืนทั้งหมดที่พี่ชายมี (แม่ยังอ่านไม่ละเอียด เนื่องจาก จนท. มาถามหาบ้านพี่ชายที่บ้านแม่พอดี และรีบจะไปติดประกาศที่อื่นอีกหลายที่) ศาลนัดไต่สวนต้นเดือน ต.ค. ค่ะ
อนึ่ง เมื่อเช้านี้ ทางบ้านเราเพิ่งไปโอนเงินเบี้ยเลี้ยงที่พี่ชายเบิกมาก่อนเสียชีวิตคืนให้กับต้นสังกัด เงินจำนวนไม่มากเท่าไหร่ (ไม่ถึงหมื่น) แต่เรารู้สึกว่าทำไมต้องเป็นเรา ทำไมเขาไม่ยอมจ่ายทั้งที่เขาจะขอรับเงินในบัญชีทั้งหมดที่พี่ชายมีอยู่แล้ว และเงินเบี้ยเลี้ยงนี้ก็อยู่ในบัญชีนั้นด้วย
ถึงตรงนี้ พอจะแนะนำได้ไหมคะว่าเราจะคัดค้านการเป็นผู้จัดการมรดกของพี่สะใภ้ได้อย่างไรบ้าง เนื่องจากเราไม่ไว้ใจว่าเธอจะแบ่งมรดกตามกฎหมาย ดูจากพฤติกรรมเธอแล้วเธอคงไม่ยอมเสียอะไรซักอย่างแน่ และปืน 1 กระบอกพี่ชายได้ซื้อก่อนแต่งงานหลายปีเราอยากได้ไว้ให้พ่อกับแม่ไว้ดูต่างหน้าบ้าง ส่วนเงินในบัญชีและปืนอีก 2 กระบอกที่ซื้อระหว่างแต่งงานเราไม่ต้องการเรียกร้องอยู่แล้วค่ะ
ขอบคุณค่ะ
^_^ เขียนซะยาว ชีวิตจริงมันยิ่งกว่าละครจริงๆ นะคะ
ป.ล. เราสามสิบกว่า พี่สะใภ้เพิ่งยี่สิบต้นๆ ค่ะ เข้าใจว่ายังเด็ก แต่ก็นะ
ขอคำแนะนำเรื่องการคัดค้านการแต่งตั้งผู้จัดการมรดก
ขอเล่าที่มาที่ไปยาวนิดนึงนะคะ
เนื่องจากพี่ชายดิฉันได้เสียชีวิตเมื่อต้นเดือนที่แล้วโดยการฆ่าตัวตาย พี่ชายรับราชการตำรวจในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ค่ะ ก่อนพี่ชายตัดสินใจฆ่าตัวตายได้โทรมาร้องไห้เรื่องที่ทะเลาะกับภรรยาให้พ่อกับแม่ฟัง เนื่องจากพี่ชายดิฉันไม่ยอมเซ็นต์ใบหย่าให้ และกล่าวหาว่าพี่ชายมีผู้หญิงอื่น ในเย็นวันนั้นพ่อกับแม่ก็ได้ไปคุยกับลูกสะใภ้เขาก็ยังคงยืนยันว่าจะหย่ากับพี่ชายดิฉันให้ได้ จะคืนทรัพย์สินของพี่ชายคืนทั้งหมด (ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากมาย) โดยจะไม่เรียกร้องสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น แม่ก็ตกลงและจะโทรคุยกับลูกชายให้เข้าใจตามนี้ แต่โทรยังไงก็โทรไม่ติด (เข้าใจว่าตอนนั้นพี่ชายคงยิงตัวเองตายไปแล้ว)
(พี่ชายแยกบ้านออกไปปลูกเองในที่ดินของแม่ยายโดยพ่อเป็นคนลงทุนและลงแรงสร้างบ้านหลังดังกล่าวให้ แต่งงานตอนต้นปี 53 มีลูกด้วยกัน 1 คนอายุประมาณ 7 เดือน)
เมื่อทราบว่าลูกชายได้เสียชีวิต และทราบว่าสาเหตุคืออะไร ทางพ่อแม่ดิฉันจึงขอเป็นผู้จัดการงานศพทั้งหมดเองเนื่องจากเป็นลูกชายคนเดียว บวกกับทางสะใภ้แจ้งว่าไม่มีเงินเลย ในตลอด 5 วันที่จัดงานศพทางพี่สะใภ้ไม่ได้ช่วยเหลือการจัดงานแม้เพียงแรงกายหรือช่วยเหลือเรื่องเงินแต่ใดๆ ทั้งสิ้น (ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นก็ว่าได้) ทางเราก็ไม่ได้ว่าอะไรหรือเรียกร้องเงินแม้แต่บาทเดียว เนื่องจากทางบ้านเราเพิ่งได้รับเงินจำนำข้าวซึ่งเพียงพอที่จะจัดงานดังกล่าวโดยไม่เดือดร้อน มิหนำซ้ำในคืนแรกหลังจากที่พี่ชายเสียพี่สะใภ้และญาติๆ ได้มาเจรจาเรื่องทรัพย์สินของพี่ชายโดยยกทะเบียนสมรสขึ้นมาอ้าง ทางเราก็ไม่คัดค้านเนื่องจากไม่สนใจในเรื่องทรัพย์สิน พวกเรากำลังเสียใจกับการจากไปของคนในครอบครัวมากกว่าและห่วงว่าต้นสังกัดจะดำเนินการจัดส่งศพให้เราอย่างไร เราจะต้องลงไปรับศพเองหรือไม่ ระยะทางจากสามจังหวัดภาคใต้ถึงจังหวัดในภาคอีสาณก็ไกลโขอยู่ เราห่วงตรงนี้มากกว่า
ถัดมาอีก 2 วัน ทางต้นสังกัดได้จัดส่งศพมาถึงบ้านอย่างสมเกียรติแม้พี่ชายจะไม่ได้เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติงานก็ตาม จนท.ตำรวจจากกองสวัสดิการได้เดินทางมาพร้อมกับศพเพื่อชี้แจงสวัสดิการต่างๆ ที่ทางทายาทจะได้รับด้วย ซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไร เนื่องจากฆ่าตัวตาย ทุกคนถามหาภรรยาผู้ตายแต่เธอไม่ปรากฏตัวในงานเลยจนดิฉันต้องโทรตาม ในวันนั้นพี่สะใภ้ของดิฉันเธอได้เรียกร้องสิทธิทุกอย่างแม้ในส่วนที่ไม่พึงจะได้ เธออ้างว่าเธอจดทะเบียนสมรสกับผู้ตายนะ ส่วนพ่อกับแม่ก็ได้แต่นั่งฟังเพื่อรับทราบเฉยๆ ไม่โต้เถียง ไม่เรียกร้องใดๆ (ขอไม่กล่าวถึงดราม่าที่เธอแสดงตอนศพมาถึงนะคะ ทั้งแย่งปืนจากเอวพี่ตำรวจ ไม่รู้จะเอามายิงใคร? ยังเป็นปริศนา)
ในวันที่นำศพออกไปที่วัดเพื่อทำพิธีฌาปณกิจ - ฝัง (ศพตั้งที่บ้าน) กลุ่มฌาปณกิจหมู่บ้านได้มอบเงินให้พี่สะใภ้จำนวนหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นกว่าบาทต่อหน้าศพและผู้เข้าร่วมงานทั้งหมด ทางเราก็คิดว่าดีนะจะได้มีเงินซื้อนมให้หลาน และต่อมาขณะที่ยังไม่โบกปูนปิดสุสานพี่สะใภ้ได้โทรมาทวงทรัพย์สินของพี่ชาย (ที่นำขึ้นมาพร้อมกับศพ) จากญาติอีกคนของดิฉัน ซึ่งญาติคนดังกล่าวก็แจ้งแล้วว่าขอให้งานศพเสร็จก่อนค่อยมาเอาได้ไหม ทางเราไม่ได้เปิดดู ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง ขอให้ใจเย็นๆ
หลังจากนั้นที่บ้านได้จัดสวดต่ออีกให้ครบ 3 วันหลังจากศพมาถึง และทำบุญตักบาตรเสร็จในช่วงเช้า ช่วงสายระหว่างเก็บของไปคืนที่วัดพ่อตาของพี่ชายได้มาที่บ้านของดิฉันและขนของใช้พี่ชายทุกอย่างขึ้นหลังรถกระบะ (ของพ่อดิฉัน) ของประมาณเต็มท้ายรถกระบะ โดยไม่ได้เปิดให้ทางเราทราบเลยว่าในแต่ละกล่องในกระเป๋าแต่ละใบมีอะไรบ้าง จนทางเราไม่ยอมเราขอดูก่อน เพื่อป้องกันคำครหาเดี๋ยวจะใส่ร้ายว่าเราเอาไป (พอทราบนิสัยของบ้านพี่สะใภ้พอสมควร) ทางพ่อตาพี่ชายจึงยอมขนของลงแบบไม่พอใจ ทำหน้าเหวี่ยงๆ ตลอดเวลา ทางเราได้หยิบทีละชิ้นออกมาดู บางชิ้นพ่อกับแม่ซื้อให้ บางชิ้นพี่ชายซื้อเอง แต่พ่อตาเขาเหมาหมดว่าเขาซื้อให้ลูกเขย พอพวกเราแย้งก็เงียบ บอกไม่รู้!!!! เราก็ได้แต่ส่ายหน้าแบบปลงๆ......เราได้หยิบออกเพียงเอกสารบางส่วนซึ่งเป็นของบ้านเรา เช่น ทะเบียนสมรส สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประชาชนของพ่อ-แม่ และทะเบียนปืนกระบอกที่ซื้อก่อนแต่งงานเท่านั้น ส่วนเสื้อผ้าที่บ้านเราขอไว้ดูบ้างทางนั้นไม่ยอมให้เลย
เมื่องานศพเสร็จสิ้นพ่อและแม่ของดิฉันได้เดินทางลงไปให้ปากคำเพิ่มเติมที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยพ่อได้ไปถามลูกสะใภ้ว่าจะไปพร้อมกันไหม? พ่อจะออกค่าตั๋วเครื่องบินให้ คดีมันจะได้จบเร็วขึ้น พี่สะใภ้และญาติๆ ตอบกลับพ่อมาว่าไม่ไป ไม่พร้อม ยังไงก็ไม่พร้อมลงไปตาย ใครอยากตายก็ลงไปเลย......พ่อได้ยินดังนั้นเลยหันหน้ารถกลับบ้านตัวเองทันที พ่อโกรธมาก ทั้งที่ปกติพ่อเป็นคนใจเย็นที่สุดในสามโลก จึงโทรมาแจ้งดิฉันทราบ (ดิฉันทำงานใน กทม.) ดิฉันจึงได้ปรึกษากับผู้บังคับบัญชาของพี่ชายขอลงไปดำเนินการในส่วนของพ่อแม่ก่อนเนื่องจากดิฉันต้องพาไปและลางานนานมากไม่ได้
เมื่อเดินทางถึงปลายทางก็ได้ฟังคำบอกเล่าจากผู้บังคับบัญชาพี่ชายว่า "ทางพี่สะใภ้ได้โทรมาแจ้งว่าไม่สามารถเดินทางลงใต้ได้เนื่องจากติดงานและอีกอย่างคือไม่มีเงินค่าเดินทางเนื่องจากพ่อกับแม่สามีเอาไปหมดแล้ว ต้องรอขายที่ดินให้ได้ก่อนจึงจะมีเงินลงไปดำเนินการ" ท่านจึงแย้งกลับไปว่า "เงินอะไร ที่ไหน ที่นี่ยังไม่ได้ทำเรื่องให้จะเอาเงินมาจากไหน" นางเงียบใบ้กินค่ะ ท่านจึงบอกว่างั้นก็ไม่ต้องรีบหรอกขายที่ดินให้ได้ค่อยมาทำก็ได้
#ณ จุดนี้ เราโกรธมากค่ะ คือทางนั้นไม่ได้ช่วยอะไรแม้แต่บาทเดียวยังมีหน้ามาใส่ร้ายอีกฝ่ายให้เสียหายอีก พยายามไม่โกรธแต่ทำไม่ได้จริงๆ ค่ะ
เราก็ไปดำเนินการตามขั้นตอนทุกอย่างโดยมีผู้บังคับบัญชาพี่ชายแนะนำและให้ลูกน้องช่วยจัดการ ขับรถรับ-ส่งตลอดทั้งสัปดาห์ เราอาศัยในฐานค่ะ เนื่องจากคืนแรกพักที่โรงแรมตื่นเช้ามามีเหตุระเบิดรถเจ้าหน้าที่(ชุดที่เราไปอาศัยอยู่ด้วย)ใกล้ๆ กับโรงแรม เราจึงต้องย้ายออกจากโรงแรมเข้าไปอยู่ในฐาน เพื่อลดความเป็นห่วงของพี่ๆ ตำรวจ และจะได้ไม่ต้องเสียกำลังพลที่ต้องไปดูแลเราด้วย ซึ่งเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมาพี่ตำรวจคนที่โดนระเบิดสาหัสก็ได้เสียชีวิตลงแล้ว
อ่ะนะ กลับมาที่เรื่องที่บ้านต่อ
หลังจากกลับจากใต้ พ่อได้ไปนำรถมอเตอร์ไซด์ที่ไม่ได้จ่ายภาษีมา 4 ปี จำนวนเงินภาษีบวกเบี้ยปรับประมาณ 3 หมื่นกว่าบาท (ซึ่งเป็นชื่อพ่อ) กลับมาจอดไว้ที่บ้าน เพราะเกรงว่าหากมีคนนำไปใช้เกิดเหตุอะไรขึ้นเรื่องมันก็จะวนกลับมาที่พ่อ และขอเล่มทะเบียนจากพี่สะใภ้เพื่อจะแจ้งจอดที่ขนส่ง แต่เธอแจ้งว่าไม่มี พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรอ่ะไม่มีก็ไม่มี และในวันเดียวกันพ่อก็ได้ขอแม่วัวที่พ่อให้พี่ชายไปเลี้ยงเพื่อเอาลูก ตอนให้ไปวัวตั้งท้องอยู่ และพี่ชายบอกว่าขอแค่ลูกวัว แม่วัวจะส่งคืนให้พ่อ เพราะเป็นแม่วัวพันธุ์ดีราคาสูง ซึ่งเมื่อลูกวัวคลอดออกมาโตประมาณ 11 เดือน พ่อตาของพี่ชายก็ได้แอบขายไปในราคา 3 หมื่นบาท โดยไม่ได้แจ้งพี่ชายทราบแต่อย่างใด และไม่ได้นำเงินที่ได้ฝากไว้ให้หลานเลย ตอนนั้นพี่ชายก็ทะเลาะกับพี่สะใภ้เรื่องราวใหญ่โต จนถึงขั้นจะฆ่าจะแกงกัน เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้นพ่อจึงขอแม่วัวกลับมาเลี้ยงและให้สัญญาว่าจะนำลูกที่ได้มาคืนให้หลาน เพราะเกรงว่าบ้านนั้นจะแอบขายแม่วัวไปอีก ในขณะที่ไปนำทรัพย์สินของพ่อกลับคืนพ่อก็ได้ถามทางผู้ใหญ่ฝั่งนั้นแล้วว่าต้องการทำสัญญาไหมว่าพ่อเอาอะไรไปแล้วบ้าง ผู้ใหญ่ทางนั้นก็ยืนยันว่าไม่ต้อง ทั้งสองอย่างเป็นของพ่อ พ่อย่อมมีสิทธิ์นำกลับไปคืนได้ แต่พี่สะใภ้เธอได้ถาม-ดันพ่อว่าจะเอาอะไรอีกไหม พ่อก็ยืนยันว่าไม่เอา พ่อเอาคืนในส่วนของพ่อเท่านั้น ของผู้อื่นพ่อไม่แตะต้อง
ถัดมาอีก 2 ชม. มีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านนำหนังสือสัญญาที่ร่างขึ้นที่บ้านพี่สะใภ้ โดยมีเพียงฝ่ายนั้นรู้เห็นนำมาให้พ่อกับแม่เซ็นต์ที่บ้าน ขณะนั้นพ่อไม่อยู่ที่บ้านอยู่เพียงแม่ท่านเดียว ผู้ช่วยคนนั้นแจ้งกับแม่ว่า เอาหนังสือมาให้เซ็นต์ว่านำทรัพย์สินอะไรกลับมาบ้าง และจะไม่ไปเอาอย่างอื่นจากพี่สะใภ้อีก ด้วยความสะเพร่าของแม่ แม่จึงเซ็นต์โดยไม่ได้อ่าน เซ็นต์แล้วจึงโทรมาบอกว่าเซ็นต์อะไรไป ทางเราเอะใจจึงโทรไปหาพ่อให้พ่อเรียกผู้ช่วยคนนั้นมา เอาหนังสือนั้นมาอ่านอีกที เมื่อพ่ออ่านแล้วใจความในหนังสือบอกว่า "พ่อกับแม่ได้ไปแบ่งทรัพย์สินของ...(พี่ชาย)....มา 2 อย่าง ได้แก่... และให้สัญญาว่าจะไม่ไปแบ่งทรัพย์สินของ...(พี่ชาย)..อีก" ถึงตรงนี้พ่อปรี๊ดครั้งที่ 1 ทรัพย์สินทั้งสองอย่างเป็นของพ่อนะ และเมื่ออ่านต่อมา วรรคสุดท้ายระบุว่า "ให้ทั้งพ่อและแม่ยกผลประโยชน์ที่ได้รับจากการเสียชีวิตให้....(พี่สะใภ้)...เป็นผู้จัดการทั้งหมด โดยพ่อกับแม่จะไม่คัดค้านใดๆ ทั้งสิ้น" ถึงตรงนี้พ่อปรี๊ดเป็นครั้งที่ 2 และปรี๊ดแรง ถึงขั้นด่าผู้ช่วยคนนั้นว่าเขียนอะไรลงไป แล้วเขียนสอดไส้อะไรมา ผู้ช่วยก็ได้แต่ยกมือไหว้พ่อว่าผมผิดไปแล้ว ผมทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการ พ่อจึงให้อภัยแต่ขอฉีกหนังสือทิ้งนะ และขอให้เรียกฝ่ายนั้นไปคุยกันที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน จะร่างหนังสืออะไรก็ให้ทำต่อหน้าผู้ใหญ่บ้าน
ถึงวันเวลานัดพ่อก็ไปกับญาติผู้ใหญ่อีกคน ส่วนพี่สะใภ้ก็มากับทีมงานอีกคน (ไม่ใช่ญาติแต่เป็นผู้จัดแจงทุกอย่าง) พ่อจึงขอคุยว่าที่เขียนหนังสือนั้นต้องการอะไร??? ทางนั้นบอกต้องการให้พ่อกับแม่ยกทรัพย์สินของพี่ชาย ยกเงินสวัสดิการในส่วนที่พ่อแม่จะได้รับให้ลูกสะใภ้จัดการทั้งหมด พ่อกับแม่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเงินที่ได้มา จึงต้องการเซ็นหนังสือสัญญาเพื่อเป็นหลักฐาน ซึ่งถึงตรงนี้พ่อบอกยอมไม่ได้หรอก พ่อเสนอไปว่าทรัพย์สินส่วนที่ยังอยู่ที่บ้านนั้นก็เป็นของบ้านนั้นอยู่แล้วพ่อไม่ยุ่ง ส่วนเงินที่จะได้รับ ใครได้รับเท่าไหร่ก็เท่านั้น ไม่ก้าวก่ายกัน แต่คุยยังไงทางนั้นก็ไม่ยอม และบอกกับพ่อว่าถ้าไม่ยอมเซ็นต์ก็ไปเจอกันที่ศาลแล้วกัน แล้วก็ขับรถออกไปจากบ้านผู้ใหญ่ในทันที
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้มีประกาศจากศาลมาติดที่หมู่บ้านเรื่องแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของพี่ชาย โดยพี่สะใภ้ได้ไปยื่นเรื่องขอเป็นผู้จัดการมรดกที่ศาล และแจกแจงทรัพย์สินเท่าที่แม่อ่านผ่านๆ ได้แก่ บัญชีเงินเดือนของพี่ชาย ปืนทั้งหมดที่พี่ชายมี (แม่ยังอ่านไม่ละเอียด เนื่องจาก จนท. มาถามหาบ้านพี่ชายที่บ้านแม่พอดี และรีบจะไปติดประกาศที่อื่นอีกหลายที่) ศาลนัดไต่สวนต้นเดือน ต.ค. ค่ะ
อนึ่ง เมื่อเช้านี้ ทางบ้านเราเพิ่งไปโอนเงินเบี้ยเลี้ยงที่พี่ชายเบิกมาก่อนเสียชีวิตคืนให้กับต้นสังกัด เงินจำนวนไม่มากเท่าไหร่ (ไม่ถึงหมื่น) แต่เรารู้สึกว่าทำไมต้องเป็นเรา ทำไมเขาไม่ยอมจ่ายทั้งที่เขาจะขอรับเงินในบัญชีทั้งหมดที่พี่ชายมีอยู่แล้ว และเงินเบี้ยเลี้ยงนี้ก็อยู่ในบัญชีนั้นด้วย
ถึงตรงนี้ พอจะแนะนำได้ไหมคะว่าเราจะคัดค้านการเป็นผู้จัดการมรดกของพี่สะใภ้ได้อย่างไรบ้าง เนื่องจากเราไม่ไว้ใจว่าเธอจะแบ่งมรดกตามกฎหมาย ดูจากพฤติกรรมเธอแล้วเธอคงไม่ยอมเสียอะไรซักอย่างแน่ และปืน 1 กระบอกพี่ชายได้ซื้อก่อนแต่งงานหลายปีเราอยากได้ไว้ให้พ่อกับแม่ไว้ดูต่างหน้าบ้าง ส่วนเงินในบัญชีและปืนอีก 2 กระบอกที่ซื้อระหว่างแต่งงานเราไม่ต้องการเรียกร้องอยู่แล้วค่ะ
ขอบคุณค่ะ
^_^ เขียนซะยาว ชีวิตจริงมันยิ่งกว่าละครจริงๆ นะคะ
ป.ล. เราสามสิบกว่า พี่สะใภ้เพิ่งยี่สิบต้นๆ ค่ะ เข้าใจว่ายังเด็ก แต่ก็นะ