คุยกันวันอาทิตย์

กระทู้สนทนา
วันอาทิตย์คุยกันสบาย ๆนะครับ ไม่ซีเรียส ไม่เอาเรื่องการเมือง หรือเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง
ที่คนเข้ามาอ่านแล้ว อุทานว่า  เป็นไปด้าย

ผมจะุคุยเรื่องบริหาร สมัยเมื่อ ทำงานอยู่ ก็บริหารเล็ก ๆน้อย ๆเพราะไม่ใช่ ระดับ ผู้อำนวยการ หรือรอง
แค่ หัวหน้าคณะ ในสถานศึกษา  มีแผนกที่ต้องรับผิดชอบ อยู 4 แผนก ครู ที่อยู่ในส่วน ก็ ประมาณ 60 คน
ผมจำได้ว่า การทำการเรียนการสอนให้สมกับ ที่ เขาฝากลูกเข้ามาเรียน  ต้องมีแผนงาน ของแต่ละ แผนก เข้ามา
เสนอในแต่ละปี อย่างเช่น งบประมาณ ควรจะได้เท่าไร  เครื่องมือ เครื่องไม้ ขาดอะไร และต้อง การพัฒนา
ไปอย่างไร สถานที่ฝึกพอไหม ต้องตั้งงบเพิ่มเติมอย่างไร นักเรียน ครูผู้สอนเป็นอย่างไร จำนวนมัน เหมาะหรือไม่

ในตัวคนสอน ก็ต้อง ให้ทำแผนการนสอนมาเสนอ ว่า ในแต่ละวัน จะสอนอะไร ความสำเร็จมันอยู่ตรงไหน
นี่ผม ทำตลอด ช่วงเวลาที่เป็นผู้ดูแล เขา รวมทั้ง ต้องให้ เขาได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า กับงานที่เขาทำ
ต้องไป ต่อสู้ในระดับสูงต่อไปแต่จากการมีของจริงที่ เสนอ งานพวกเขา ก็ผ่านตลอด

ผมเลยรู้ว่าการบริหารไม่ใช่งานง่าย ๆ ไม่ใช่ เช้า 8 โมง ตีระฆัง เที่ยง ตีระฆัง เอ้าเย็น ตีระฆังอีก  ถ้าทำอย่างนั้น มัน สบายครับ
ไม่ต้องทำอะไร ใครจะพอ หรือไม่พอ ไม่สนใจ ยังไง ก็ เสนอมา ตามลำดับ ขั้น เสนอไป เป็นอันจบ หน้าที่ของตน

นี่เป็นการบริหาร ในระดับ เล็ก ๆ ที่ต้องดูแลงาน ที่ได้รับมอบหมายมาให้เต็มกำลัง เด็ก ๆที่จบไป ก็ มีความสามารถ
ครูผู้สอน ยังเอาแผนการสอน ที่เคยส่งให้ผมดู ในแต่ละเทอม เอาไป ทำอาจารย์ 3 เป็นการปรับ ระดับตัวเอง อีกด้วย
  วิทยาลัย ก้ได้ข้อมูล ที่แท้จริงในการของบประมาณ ในการฝึกของ โรงเรียน  ที่ กรม ต้องให้ เพราะ วิทยาลัย มีข้อมูล ครบถ้วน

ผู้บริหารเล็ก อย่างผม ก้คิดว่า เมื่อเด็กจบไปแล้ว ทำไง เขาจะมีงานทำ  ต้อง หาที่ทำงานให้เด็ก ที่จบอีกด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้ไปตาม
ยะถากรรม ต้อง ขอวิทยาลัย ออกไป โปรโมต แผนกวิชา ที่เด็ก จบ กับตาม โรงงานอุตสาหกรรม เป็นลักษณะเสนอขายสินค้า
ให้ อุตสาหกรรมทราบว่า เรามีคนประเภทไหน ความสามารถเป็นอย่างไรผมไม่ได้เรียนบริหาร มาโดยตรง แต่ หาอ่านเอาตามตำรา
แล้วมา ประยุกต์ กับงานที่ทำ  ข้อสำคัญ ที่ สำคัญ
อีกอย่างก็คือความมั่นใจ ของครู ต่อวิชาชีพของเขา เพื่อความมั่นคงในอาชีพของเขา

ผมคุยเรื่องนี้ได้อย่างเต็มปาก เพราะ เรียนรู้ โดยการทำจริงมาแล้ว  บ้านเมืองของผม มันขนาดใหญ่มาก มีคนกว่า
67 ล้านคน ความต้องการ 67 ล้านความต้องการ มันใหญ่ มากจนผมนึกไม่ออกว่า ถ้าเกิด หลงเข้าไปทำหน้าที่นี้ จะได้หรือไม่
มันยี่งใหญ่มาก เปรียบง่าย ๆกับ เรื่องยาง ที่ปลูก เพราะเราไม่มีการวางแผนกัน ในเรื่องนี้ เห็นราคาดี ก็ปลูก กันเข้าไป
ผมเป็นคนหนึ่ง ที่ อยู่ในวังวนอันนั้น เมื่อ ซับพลายมาก ดีมานด์น้อย ราคาย่อมตกแน่นอน หรือ ดีมานด์มาก ซับพลายน้อย
ราคาจะสูง ไอ้นี่เป็นวัฎฎจักรของพืชเกษตร โดยแท้  แต่ทำอย่างไร จะให้ ราคามันเหมาะสม ทั้ง ต้นทุน และการขาย

ลองดูตัวอย่างน้ำมันดิบ สมัยเมื่อ  40 กว่าปี ราคาแค่ บาร์เรล ละ 2 - 3 เหรียญ  แต่เมื่อผู้ผลิต สามารถจับมือกันได้
บางครั้ง 157 เหรียญ ก็เคยมีให้เห็น  ยาง ที่ ประเทศ ผู้ผลิต เช่นไทย มาเลย์ อินโด เป็นเจ้าตลาด การผลิต เมื่อจับมือกันได้
150 บาท ต่อกิโล ก้เคยเห็นกันมา เดี๋ยวนี้ ราคายาง ต่ำกว่า 40 บาท เพราะมี ผู้ผลิต มากขึ้น เช่น เวียตนามก็มี ลาว พม่า
กำพูชา แม้ในจีนเอง ก็ส่งเสริม ราคามันกลับ ไปอยู่ที่เมื่อ 20 กว่าปีก่อน

เห็นไหมว่า อันนี้ต้องใช้ฝีมือบริหาร แล้ว ทั้งการซื้อขาย สต๊อค นี่ต้องบริหารกันอย่างละเอียด  ถ้าไปอาศัยพ่อค้าอย่างเดียว
ไม่ได้ พวกเขาทุบโต๊ะ ทีเดียว ราคายาง ไปอยู่ที่ต้องการทันที ผู้คนในวงการยาง นี่น่าจะมากกว่า 10 ล้านคน จะปล่อยให้เขาทุกข์
ยากหรือครับ อย่าบอกนะว่า ให้ไปปลูกอย่างอื่น เพราะยางกว่าจะตัดได้ นี่ 6 ปีครับ แล้ว ถ้าจะตัดที้ง ให้ปลูก จำปาดะ
ผม ก็ไม่เห็นด้วย เพราะจำปาดะ มันก็ ออกมาล้นตลาดอีก เท่าที่ผมคิดได้เรื่องยาง ต้อง เอายางมาทำผลิตผล ทางอุตสาหกรรมทั้งหมด
ที่เห็นง่าย ๆ เอามาลาดหน้าถนน แทน แอลฟัสต์ ที่จะทำเป็นคอนกรีต ออกแบบกลับมาใช้ ลาดยางทั้งหมด งบในการซ่อมสร้าง ถนน ไม่ว่าสายหลักหรือรอง หรือ ของ อบจ อบต ต้อง เป็นสเป็กยางธรรมชาติทั้งหมด ของคมนาคม ตรงนี้ ช่วยได้กว่า ล้านตันต่อปี คิดเป็นเงินกว่า แสนล้านบาท
ส่วนเรื่องข้าว ไอ้นี่ง่ายมาก ถ้าเอาคำพูดของคุณประยุทธมา มันทำได้ ยี่งกว่า ทำได้ ครับต้องพูดจริงทำจริงนะครับ ไว้อาทิตย์ ต่อไปจะคุยกันอีก

คุยเรื่องบริหารนิดเดียว กินไปถึงยาง ถึงข้าว ก็คงไม่ได้ก้าวล่วงใคร แต่ เป็นการ แลกเปลี่ยนทรรศนะคติ กันว่าคิดอย่างไรในหัวข้อนี้
ผมเลย เอามาเป็นประเด็นในการสนทนา ในวันอาทิตย์ อย่างนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่