ขอฝากนิยายแนวผจญภัยเรื่องนี้ด้วยนะครับ

เรื่องนี้เคยเอามาลงถนนนักเขียนแล้วครับ ยังไม่จบ ปัจจุบันลงอยู่เด็กดี
เป็นเรื่องเกี่ยวกับการผจญภัยที่มีผู้นำเป็นแพทย์อาสาชนบทพร้อมทั้งผู้ติดตามที่แสบ
ดีเดือดพอสมควร ขอนำมาลงให้แนะนำเพียงบางตอนเท่านั้นครับเพราะได้ลงทั้งหมดที่เด็กดีอยู่แล้ว
อ่านเเล้วคิดเห็นยังไงก็คอมเม้นท์มาได้ครับ ผู้เขียนได้ความรู้จากสมาชิกของถนนนักเขียนเมื่อคราวก่อน
ไปไม่น้อยเหมือนกัน ศัพท์ทางเทคนิคการแพทย์ในเรื่องอาจไม่ตรงต้องตามจริงต้องขออภัย
ที่จริงอยากขอคำปรึกษาตรงจุดนี้ด้วยครับ

http://writer.dek-d.com/anidjang/story/viewlongc.php?id=669232&chapter=20

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอนที่ 20 นายหมอของชาวไพร


            มือที่แข็งแกร่งของสัณฑ์กำลังกดลงไปบนกล้ามเนื้อของแม่เฒ่า เลื่อนลงไปทีละจุด หนักบ้าง เบาบ้างเพื่อไล่เลือดไล่ลมอย่างชำนาญ   ใบหน้าของแม่เฒ่ามีสีเลือดขึ้นทันทีหลังจากซีดจางเพราะป่วยไข้มานาน   ญาติคนไข้ต่างนั่งล้อมวงจดจ่อดูนายสัณฑ์ซึ่งเป็นทั้งหมอสมุนไพรและหมอนวดไปพร้อมกัน ชุดกาวน์ขาวสะอาดกับแว่นตาสีชาที่เขาสวมใส่ทำให้ดูมีบุคลิกที่เปลี่ยนไป ดูน่าเชื่อถือสมกับการเป็นหมอนวดจับเส้น

นายหมอตาสีเขียวหยุดมือมานิ่งคิด นัยน์ตาข้างขวาสีน้ำตาลของเขากำลังสั่นไหวบ่งบอกความเคร่งเครียด แม่เฒ่าไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองมากนัก กฤษณ์เฝ้าดูอยู่รีบเข้ามารับช่วงต่อ ติดแปะติดเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ECG เข้าที่หน้าอกและผิวหนังของแม่เฒ่าหลายแห่ง เครื่องมือไร้สายส่งสัญญาณไปปรากฏเป็นรหัสบนนาฬิกาข้อมือ ค่าที่ออกมาไม่เป็นที่พอใจ นายหมอตาสีฟ้าส่ายหน้าแช่มช้า จังหวะการเต้นของหัวใจแม่เฒ่าไม่สู้ดีเลยแผ่วจางลงทุกที
“ผมต้องฉีดยาบำรุงหัวใจนะครับ”

ยาถูกฉีดเข้าเส้นทันที สัณฑ์เข้ามาบีบนวดให้เส้นเลือดคลายตัวเพื่อให้ตัวยาทำงานได้เร็วขึ้น วิธีการรักษาของหมอทั้งสองคนแตกต่างกันมาก กฤษณ์เป็นหมอสมัยใหม่ ในกระเป๋าแพทย์ของเขาแทบจะย่อส่วนเครื่องมือในโรงพยาบาลหลายชนิดมาเก็บไว้ ทุกชิ้นล้วนล่ำยุคในโลกการแพทย์ปัจจุบัน ในขณะที่ข้างมือนายสัณฑ์มีเพียงห่อใบตองใส่ยาสมุนไพรกับวิธีการรักษาแบบบีบนวดกดจุดเท่านั้น การรักษาเฉกเช่นเดียวกับบรรพบุรุษการแพทย์ แม่เฒ่ามีอาการเหมือนจะดีขึ้น นอนหลับมีเสียงกรนเล็กน้อย สัณฑ์เป็นคนพูดตรงเตือนทุกคนให้อยู่เฝ้าแม่เฒ่าตลอดเวลา ท่านอาจจะจากโลกนี้ไปได้ทุกขณะจิต


พระอาทิตย์ใกล้อัสดงแลใกล้ลับขุนเขา ใบไม้ร่วงหล่นปลิดปลิวจากขั้ว หมอทั้งสองรวมทั้งพวกลูกหลาน ยังคงอยู่เคียงข้างร่างอันนอนแน่นิ่งตลอดเวลา จังหวะการหายใจของหญิงชราแผ่วจางยิ่งนัก ที่อยู่ได้ก็เพราะออกซิเจนที่นายหมอตาสีฟ้าต่อสายให้เท่านั้น เหล่าลูกหลานต่างมองไปที่ท่ออากาศหายใจและหันมามองนายหมอทั้งสอง แม่เฒ่ายังไม่สามารถเดินทางไปในดินแดนอันไกลแสนไกลได้เพราะมีสิ่งนี้ผูกมัด

แม่เฒ่าวัยเฉียดร้อย มีโรคต่างๆรุมเร้าทั้งเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจทุกข์ทรมานมานานปี สังขารใกล้ถึงจุดดับสูญ เหล่าลูกหลานต่างมองหน้ากัน สิ่งที่รั้งแม่เฒ่าเอาไว้คือสายออกซิเจนของนายหมอกฤษณ์เท่านั้น ทุกคนรู้ดีว่านายหมอพยายามจนสุดความสามารถแล้วที่จะฉุดรั้งชีวิตท่านเอาไว้ กฤษณ์ต้องการใช้ยากระตุ้นหัวใจของแม่เฒ่าอีกครั้ง สัณฑ์รีบคว้าไหล่เพื่อนเอาไว้ ส่ายหน้าแช่มช้าบอกว่าหมดความหวังแล้ว

“ผมจะให้เฮลิคอปเตอร์มารับท่านไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ เรายังอาจจะรักษาชีวิตของท่านไว้ได้”กฤษณ์เร่งบอกทุกคนให้ช่วยกันยกร่างอันไร้สติ ชายชราซึ่งเป็นลูกชายคนโตของแม่เฒ่าขยับหัวเข่าเลือนตัวเข้ามาจับมือของนายหมอเอามาแนบใบหน้าของตน พลางสะอื้นไห้ บอกว่าแม่ต้องการตายอยู่ที่บ้านหลังนี้ แม่ไม่อยากไปตายที่อื่น สัณฑ์ก็เห็นเช่นเดียวกันเข้ามาช่วยพูดอีกแรง

“ท่านไปไม่ถึงกรุงเทพฯแน่ จะตายกลางทางเสียเปล่า”

“แต่เราจะทนให้ท่านจากไปเช่นนี้นะหรือ”

กฤษณยังไม่ยอมรับที่จะปล่อยให้หญิงชราต้องจากไปเช่นนี้

“เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา กฤษณ์นายเป็นหมอน่าจะชินกับเรื่องนี้ดี พวกลูกหลานใช่ว่าจะปล่อยให้บุพการีต้องตายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่ทำอะไรเลย มันจะเป็นบาปติดตรึงในใจพวกเขาทุกคน ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าหมดหวังในการยื้อชีวิตแต่พวกเขาจะต้องดิ้นรนให้ถึงที่สุด และบัดนี้เวลานั้นก็มาถึงแล้วทุกคนจึงต้องยอมรับ”

คำพูดของเพื่อนหน้าหิน เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางดวงใจ ดวงตาสีฟ้าลดแววลงกลายเป็นความหมองเศร้า ได้แต่กล้ำกลืนคำพูดไว้ทั้งหมดไว้ในหัวอก เพราะตนเองก็รู้ดีในฐานะหมอว่าชีวิตนี้กำลังจะปลิดปลง อาการติดเชื้อในกระเเสเลือดของคนไข้มันแทรกซ้อนเข้ามาจนยากจะเยียวยารักษาได้อีกต่อไป

“แต่ผมน่าจะช่วยได้มากกว่านี้ ทำไม..ผมจึงปล่อยให้คนไข้หมดหวังในชีวิต”

ดวงเนตรสีฟ้าเริ่มมีน้ำตาคลอหน่วย สัณฑ์ส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่มีคนไข้รายไหนหมดหวังในการรักษาหรอกเพื่อนรัก เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องดิ้นรนให้ถึงที่สุด   นายจงดูพวกเขาทุกคนสิ  เพราะมีหมออย่างนายคอยช่วยดูแล แม้จะรู้ว่าอาการป่วยของแม่เฒ่ายากจะรักษาแต่นายก็ทำอย่างถึงที่สุดแล้ว ดีกว่าทีพวกเขาช่วยกันไปตามมีตามเกิดเสียอีก พวกลูกหลานจึงไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิดบกพร่องในการทำหน้าที่ของตนเองอีกแล้ว นายไม่ใช่แค่รักษาคนไข้เท่านั้นแต่ยังรักษาจิตใจญาติของคนไข้ด้วย”

สัณฑ์กราดนิ้วชี้ไปยังพวกลูกหลานของแม่เฒ่า  ที่แต่ละคนมีท่าทางอิดโรยขอบตาดำคล้ำเพราะไม่ได้พักผ่อนมาหลายคืนติดกัน พวกเขาต้องอยู่เฝ้าไข้ของบุพการีกันมาอย่างอดทนข้ามวันข้ามคืนมาจนถึงบัดนี้

“พวกเขาเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าจากการเฝ้าไข้ติดต่อกันมาหลายวันหลายคืนความเครียด ความเกร็งสะสมมานานและก่อนที่จะมีใครล้มเจ็บลงไปอีก นายควรจะห่วงสุขภาพของพวกเขาด้วยนะ”

คำพูดของเพื่อนหน้าหินทำให้กฤษณ์ได้สติ เวลาเช่นนี้สัณฑ์มั่นคงหนักแน่นกว่าตนยิ่งนัก ตนเองหันไปตรวจดูอาการของลูกหลานแม่เฒ่าแล้วมันก็จริง ลูกชายคนโตของแม่เฒ่าวัยน่าจะเกือบเจ็ดสิบถึงแม้จะดูแข็งแรงแต่ฟันในปากแทบไม่เหลือให้เขี้ยวอาหาร แกเริ่มตัวร้อนมีอาการตัวร้อนเป็นไข้ หายใจหอบยาวอย่างเห็นได้ชัด

คุณหมอรีบชงเกลือแร่ใส่น้ำต้มสุกมาให้เป็นการเฉพาะหน้าให้พ่อเฒ่าชดเชยพละกำลังที่สูญเสีย ยังมีอีกหลายคนที่มีอาการอิดโรย สัณฑ์ยื่นตลับยาหอมซึ่งเขาเป็นผู้ปรุงเองกับมือส่งให้กับทุกคน ส่วนผสมจากเกสรดอกไม้หอมส่งกลิ่นอบอวล

“ฉันเอาสมุนไพรหลายตัวมาต้มหลายหม้อที่นอกบ้านไม่ใช่เพราะแม่เฒ่าแต่เพราะที่นี่กำลังจะมีคนป่วยเพิ่มขึ้นอีก พวกเขาไม่มีกำลังจะเคลื่อนไหวไปมากกว่านี้อีกแล้ว”

“ขอบคุณคุณสัณฑ์มากนะครับ ผมมัวแต่พะวงกับอาการของแม่เฒ่าจนพลาดไม่ได้เตรียมยาลดไข้ ผมไม่มีน้ำเกลือหลงเหลืออยู่เลยในกระเป๋า ทุกคนต้องลำบากกันแย่ก็เพราะผม”ผิวหน้าอ่อนบางของกฤษณ์ปรากฏเพียงความเศร้าและความไม่มั่นใจในตนเอง

“นายไม่ได้ทำผิดพลาดในการรักษาหรอกเพื่อนรัก แต่เมื่อธรรมชาติได้กำหนดไว้แล้วให้ท่านต้องจากไปเช่นเดียวกับชีวิตของมนุษย์ทุกคน ในหลายวันนี้พวกลูกหลานต่างรู้ด้วยสัญชาติญาณว่าแม่เฒ่าต้องเดินทางไกลแสนไกล พวกเขาจึงละทิ้งการงานเพื่อมาดูใจท่านเป็นครั้งสุดท้าย มันเป็นเรื่องโหดร้ายเกินไปที่จะให้ลูกหลานเป็นผู้ร้องขอให้ปลดสายออกซิเจนหยุดชีวิตของคนที่รัก และฉันก็รู้ว่านายเองไม่อาจตัดใจปล่อยแม่เฒ่าไปทั้งอย่างนี้ นายก็รู้ว่าธรรมชาติได้เรียกร้องสังขารของท่านกลับคืนไปทุกที  ขืนปล่อยไว้เช่นนี้ท่านจะต้องทรมานอยู่เป็นนาน เพื่อเป็นการยุติฉันคนนี้จะขอเป็นคนรับบาปปลดสายออกซิเจนนี้ให้เอง”

สัณฑ์หันไปพูดกับพวกลูกหลาน ทุกคนมีแต่คราบน้ำตาและยอมรับทุกสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น สายอากาศที่เชื่อมโยงแม่เฒ่าจากโลกมนุษย์ได้ถูกนำออกไปด้วยมือของสัณฑ์

คนไข้เมื่อถึงระยะสุดท้ายท่านอ้าปากกว้างทั้งที่ยังหลับตา หายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพียงเฮือกเดียวจึงสงบนิ่ง เสียงร้องไห้จึงดังระงมขึ้นทั้งเรือน กฤษณ์ไม่อาจระงับน้ำตาได้อีก แม่เฒ่าเป็นคนไข้กลุ่มแรกๆที่เขาได้ดูแลเมื่อมาอยู่แดนกันดารแห่งนี้ ความรู้สึกผูกพันจึงมีมากตามไปด้วย สัณฑ์ดึงเพื่อนมากอดปลอบใจ

“นายเป็นหมอนะ เรื่องความเป็นความตายของคนไข้นายน่าจะชินกับมันได้แล้ว”

หยาดน้ำตาจากดวงตาสีฟ้า สัณฑ์ใช้ผ้าเช็ดหน้าช่วยซับให้ กฤษณ์ยังคงอาศัยแผ่นอกอันเข้มแข็งของเพื่อนไว้พักพิง รู้สึกผิดที่ตนเองไม่หมั่นมาดูแลแม่เฒ่าให้มากกว่านี้ท่านก็คงไม่ต้องจากไป

“ผมสะเพร่าเอง ที่ไม่ได้ระวังเรื่องแผลกดทับตามที่คุณได้กำชับไว้จนแม่เฒ่าติดเชื้อในกระแสเลือด หากไม่มีคุณสัณฑ์อยู่ด้วยผมไม่รู้ว่าจะทำผิดพลาดไปถึงไหนอีก”กฤษณ์ยังคงพร่ำเพ้อเสียใจ สัณฑ์รู้สึกเหนื่อยใจยิ่งนัก เพื่อนคนนี้มีนิสัยอ่อนโยนก็จริงแต่บางครั้งก็ขาดความเด็ดเดี่ยว

“นายทำดีที่สุดแล้วไม่มีใครเขาตำหนินายหรอก หมอเถื่อนอย่างฉันช่วยได้แค่ปลิดชีพคนไข้เท่านั้น”น้ำเสียงของสัณฑ์แผ่วเบาแม้จะกอดปลอบโยนเพื่อนแต่ลึกลงในหัวอก ความเศร้าโศกมันอยู่เต็มล้นเช่นกัน


สองคนเดินกันอย่างเงียบๆ ไกลออกไปจากหมู่บ้านผาแดง กฤษณ์ยังคงสะกิดใจถึงคำพูดของสัณฑ์ แม้เปลือกนอกของเพื่อนเครางามจะดูหยาบกระด้าง ใบหน้าเฉยชาอยู่เป็นนิจเหมือนหินในสุสานแต่เขาก็มีน้ำใจมากมายยิ่งนัก

“คุณสัณฑ์ไม่น่าพูดว่าตนเองเป็นหมอเถื่อนเลย ผมต่างหากที่เป็นหมอเถื่อน คุณสัณฑ์ก็รู้ว่าผมไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ ผมรักษาคนโดยไม่มีใบอนุญาต”
เรื่องราวแต่หนหลังถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง การตายของแม่เฒ่าสะกิดแผลในใจของหมอหนุ่มยิ่งนัก คนที่เขารักและผูกพันต้องมาทยอยตายจากไปหรือมันเป็นเพราะผลกรรมที่เขาได้ทำไว้มันบันดารให้เขาต้องทุกข์ทรมาน

“นายเป็นถึงเจ้าของโรงพยาบาล ทำไมไม่ไปขอทำใบอนุญาตใหม่เสียล่ะ นายไม่ไปต่อเองไม่ใช่เหรอ ตอนเกิดคดีครั้งนั้นนายไม่ได้ถูกเพิกถอนใบอนุญาตเสียหน่อย  ทำเป็นลงโทษตัวเองไปได้”เป็นการพูดตำหนิอย่างตรงๆ ความจริงอยากพูดให้มากกว่านี้ กฤษณ์เป็นผู้ชายที่อ่อนไหวง่าย มีนิสัยย้ำความผิดของตนเอง เขาเลยต้องเงียบรับฟังมากกว่าจะพูด กฤษณ์เป็นคุณหนูในตระกูลผู้ดี ได้รับการเลี้ยงดู ปลูกฝั่งในสิ่งที่ดีงาม เพียงเพราะพลาดพลั่งทำความผิดในวิชาชีพแพทย์จนตัวเองต้องมาหลบเร้นกาย  ในบ้านป่าแดนไพรแห่งนี้เช่นเดียวกับตนเอง

“ตอนเรียนปริญญาโทในอเมริกา ผมหลงไปเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรลับ พวกลักลอบค้าอวัยวะมนุษย์ ผมเป็นหมอคอยผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะให้ผู้ป่วย ด้วยคนองในฝีมือว่าดีเลิศกว่าใคร ผมไม่รู้เลยว่าอวัยวะเหล่านั้นได้มายังไง มารู้ความจริงภายหลังว่ามีเด็กและผู้หญิงในประเทศโลกที่สามถูกฆ่าเพื่อเอาอวัยวะ เพราะผมทะนงในฝีมือของตนเอง ไม่พิจารณาดูให้ดี มารู้ตัวอีกทีผมก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกอาชญากร มือของผมเปิ้อนเลือดคนบริสุทธิ์มากมายนัก”

เจ้าคนเครางามได้แต่พยักหน้ารับ เรื่องที่กฤษณ์พูดเขาได้ยินมาหลายครั้งแล้วมีแต่ตัวเขาเท่านั้นที่ได้รับฟัง“แต่นายก็เป็นคนแจ้งตำรวจมาทะลายองค์กรลับนี้ไม่ใช่หรือ ทำผิดแล้วยังรู้จักแก้ไข ก่อนหน้านี้  นายเป็นแค่เครื่องมือของคนชั่วเท่านั้น ไม่ควรเลยที่นายจะต้องมาแบกรับบาปไว้เองจนชั่วชีวิตนี่นา”

หยาดน้ำใสมันคลอเต็มล้นดวงเนตรสีฟ้า สุดจะอัดอั้นความรู้สึกอีกแล้ว“แต่บาปกรรมมันก็มีอยู่จริงๆมันตามมาสนองผม ทุกคนที่ผมผูกพันด้วยต้องมาทยอยตายจาก ตอนอยู่อเมริกา 'มารีน่า' คนรักของผม เราใช้ชีวิตด้วยกันมาพักหนึ่งแล้วจนเธอกำลังท้องลูกของผม ทั้งที่วิทยาการแพทย์ก้าวหน้ามามากแล้วแต่เธอกลับเสียชีวิตระหว่างคลอดลูก บาปกรรมที่ผมก่อไว้มาตกอยู่ที่คนรักของผม ลูกของผมก็ต้องมาตาย กรรมที่ผมไปทำลายชีวิตลูกของคนอื่นมันตามมา สนองผมแล้ว”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่