.
มีคำถามอยู่คำถามหนึ่ง
คนที่ทำผิดทั้งๆ ที่รู้ว่าสิ่งนั้นผิด
กับคนที่ทำผิดเพราะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นผิด
ใครจะผิดมากกว่ากัน ท่านลองตอบคำถามนี้ดู
โดยปกติแล้ว เราจะพบว่าคำตอบตามสามัญสำนึก
ของทุกคนก็คือ คนที่ทำผิดทั้งๆ ที่รู้ว่าสิ่งนั้นผิดนั่นแหละ
คือคนที่ไม่น่าจะให้อภัยเลย แต่ถ้าหากผู้ตอบปัญหานี้
เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้าอย่างพระสารีบุตร
ท่านก็จะตอบว่า
คนที่ทำผิดทั้งๆ ที่รู้ว่าผิดนั้น
ดีกว่าคนที่ทำผิดโดยไม่รู้ว่าผิด
เพราะเขาจะทำผิดไปอย่างนั้นชั่วนิจนิรันดร์
หากใครสักคนมีนิสัยฉ้อโกง คอร์รัปชั่น
โกงแล้ววว่าเขาให้เองบ้าง กินตามน้ำบ้าง
ทำโดยไม่มีความรู้สึกว่านั่นเป็นสิ่งผิดเลย
เปรียบเทียบกับคนที่ยากจนข้นแค้นไม่มีนมจะให้ลูก
เขาแอบไปหยิบฉวยอาหารของคนอื่นมาให้ลูกกิน
ในใจก็รู้สึกไม่ดีเลยที่ไปเอาของคนอื่นมา
รู้ทั้งรู้ว่าการกระทำนั้นผิด แต่ก็ต้องฝึนใจทำ
เพราะตอนนั้นหมดทางเลือกแล้วจริงๆ
ผมไม่ได้พูดถึงประเด็นถูก-ผิดนะ
เพราะทั้งสองกรณีนี้ก็ทำผิดด้วยกันทั้งคู่
ขึ้นอยู่ว่าจะมาก จะน้อย
หรือจะต้องรับกรรมแตกต่างกันอย่างไร
เราไม่ได้ว่ากันถึงเรื่องนั้น
แต่ประเด็นคำถามที่สืบเนื่องมาคือ
ท่านคิดว่าคนไหนมีโอกาส
ที่จะไม่ทำผิดซ้ำอีกครั้งในอนาคต
หากประเด็นนี้ก็จะตอบได้ง่ายมาก
นั่นคือ คนจนที่รู้สึกผิด รู้สึกละอายใจในสิ่งที่ตนเองทำ
วันข้างหน้าเขาก็จะไม่ทำผิดอีก
แต่สำหรับคนที่โกงเขามาแล้วกลับหลงระเริง
เห็นว่านั่นคือความโชคดีของตน
คนๆ นี้จะทำผิดไปตลอดจนกว่าจะมองเห็นความจริงได้
พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนพาลเมื่อรู้ว่าตัวเองพาล
เขาจะมีโอกาสเป็นบัณฑิต
แต่คนพาลที่ไม่รู้ว่าตัวเองพาล
คนๆ นั้นจะเป็นคนพาลไปอีกนานแสนนาน
เมื่อทำผิดก็จะเป็นเหตุให้เกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ
อยู่อย่างไรก็ไม่มีความสุข
เพราะสร้างไว้แต่เหตุที่เป็นอกุศล
(ภาพ) ผิดเพราะรู้ VS ผิดเพราะไม่รู้
มีคำถามอยู่คำถามหนึ่ง
คนที่ทำผิดทั้งๆ ที่รู้ว่าสิ่งนั้นผิด
กับคนที่ทำผิดเพราะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นผิด
ใครจะผิดมากกว่ากัน ท่านลองตอบคำถามนี้ดู
โดยปกติแล้ว เราจะพบว่าคำตอบตามสามัญสำนึก
ของทุกคนก็คือ คนที่ทำผิดทั้งๆ ที่รู้ว่าสิ่งนั้นผิดนั่นแหละ
คือคนที่ไม่น่าจะให้อภัยเลย แต่ถ้าหากผู้ตอบปัญหานี้
เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้าอย่างพระสารีบุตร
ท่านก็จะตอบว่า
คนที่ทำผิดทั้งๆ ที่รู้ว่าผิดนั้น
ดีกว่าคนที่ทำผิดโดยไม่รู้ว่าผิด
เพราะเขาจะทำผิดไปอย่างนั้นชั่วนิจนิรันดร์
หากใครสักคนมีนิสัยฉ้อโกง คอร์รัปชั่น
โกงแล้ววว่าเขาให้เองบ้าง กินตามน้ำบ้าง
ทำโดยไม่มีความรู้สึกว่านั่นเป็นสิ่งผิดเลย
เปรียบเทียบกับคนที่ยากจนข้นแค้นไม่มีนมจะให้ลูก
เขาแอบไปหยิบฉวยอาหารของคนอื่นมาให้ลูกกิน
ในใจก็รู้สึกไม่ดีเลยที่ไปเอาของคนอื่นมา
รู้ทั้งรู้ว่าการกระทำนั้นผิด แต่ก็ต้องฝึนใจทำ
เพราะตอนนั้นหมดทางเลือกแล้วจริงๆ
ผมไม่ได้พูดถึงประเด็นถูก-ผิดนะ
เพราะทั้งสองกรณีนี้ก็ทำผิดด้วยกันทั้งคู่
ขึ้นอยู่ว่าจะมาก จะน้อย
หรือจะต้องรับกรรมแตกต่างกันอย่างไร
เราไม่ได้ว่ากันถึงเรื่องนั้น
แต่ประเด็นคำถามที่สืบเนื่องมาคือ
ท่านคิดว่าคนไหนมีโอกาส
ที่จะไม่ทำผิดซ้ำอีกครั้งในอนาคต
หากประเด็นนี้ก็จะตอบได้ง่ายมาก
นั่นคือ คนจนที่รู้สึกผิด รู้สึกละอายใจในสิ่งที่ตนเองทำ
วันข้างหน้าเขาก็จะไม่ทำผิดอีก
แต่สำหรับคนที่โกงเขามาแล้วกลับหลงระเริง
เห็นว่านั่นคือความโชคดีของตน
คนๆ นี้จะทำผิดไปตลอดจนกว่าจะมองเห็นความจริงได้
พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนพาลเมื่อรู้ว่าตัวเองพาล
เขาจะมีโอกาสเป็นบัณฑิต
แต่คนพาลที่ไม่รู้ว่าตัวเองพาล
คนๆ นั้นจะเป็นคนพาลไปอีกนานแสนนาน
เมื่อทำผิดก็จะเป็นเหตุให้เกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ
อยู่อย่างไรก็ไม่มีความสุข
เพราะสร้างไว้แต่เหตุที่เป็นอกุศล
อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ส่วนหนึ่งจากหนังสือ “นิพพานชั่วพริบตา”
credit: http://dhammaway.wordpress.com/2014/08/10/black-white/
.