หลังแม่อุ้มบุญ "น้องแกมมี่" พาดพิงถึง "จอย" กล่าวหาว่าเป็นเอเย่นต์อุ้มบุญ เป็นตัวกลางสำคัญในการประสานงานว่าจ้างให้หญิงชาวไทยอุ้มบุญให้แก่สองสามีภรรยาชาวออสเตรเลีย "จอย" กลายเป็นที่สนใจของสังคมทันที ในฐานะจิ๊กซอว์สำคัญที่จะเชื่อมโยงเรื่องราวของการอุ้มบุญที่เป็นข่าวโด่งดังอยู่ในเวลานี้
"จอย" เดินทางเข้าพบ "ทีมข่าวอาชญากรรมเครือเนชั่น" เพื่อชี้แจงกรณีที่ถูกพาดพิงถึง พร้อมทั้งชี้แจงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ถูกกล่าวหาว่าเป็นเอเย่นต์อุ้มบุญกรณีน้องแกมมี่ได้อย่างไร
สมัครงานทางอินเตอร์เน็ต ในฐานะคนช่วยประสานงาน ช่วยดูแลคนไข้ ติดต่อประสานงานคลินิก โดยมีนายจ้างชื่อ แอนโตนิโอ เป็นชาวอเมริกัน ซึ่งเจ้านายทำธุรกิจให้บริการอุ้มบุญให้แก่คู่สามีชาวต่างชาติที่อยากมีลูกแต่มีบุตรอยากอยู่แล้ว เพราะในต่างประเทศเรื่องนี้ไม่ผิดกฎหมาย ตอนแรกไม่รู้ว่าเป็นงานอะไร ก็ค่อยๆ เรียนรู้งานไป ทำอยู่ 1 ปีเต็มๆ แล้วลาออกตอนเคสของน้องแกรมมี่คลอด และบินกลับบ้านพอดี โดยแม่อุ้มบุญของน้องแกมมี่คือ ก้อย เขาสมัครมา ต้องการจะมาเป็นแม่อุ้มบุญ สมัครมากับกุ๊กไก่ ซึ่งพามารู้จักกับเจ้านายอีกที ไม่ได้มาสมัครกับเราโดยตรง
กุ๊กไก่ เป็นคนพาก้อยมาคลินิก เพื่อตรวจร่างกาย ตามข่าวที่บอกว่า ใช้บัตรประชาชนที่ไม่ใช่ของตัวเอง ทางบริษัทเจ้านาย และคลินิก ไม่มีใครรู้ จนกระทั่งก้อยท้องได้ 4-5 เดือน ก้อยก็มาสารภาพว่าไม่ได้ใช้บัตรประชาชนของจริง ตอนนั้นทุกคนไม่รู้อะไรเลย สามีภรรยาออสเตรเลียก็ไม่รู้ ตอนนั้นเราก็เครียดมากเรื่องเอกสาร เพราะไม่ต้องการที่จะใช้เอกสารปลอมต่อไปแล้ว
หน้าที่ของเราตอนนั้น เป็นเหมือนล่าม เพราะต้องคอยแปลรายงานการรักษาในเมืองไทย ที่หมออธิบายข้อความไปยังไง และส่งไปให้พ่อแม่ของเขา เราไม่เคยได้ออกไปหาใครมา เพราะหน้าที่ของเราไม่ใช่ หน้าที่ของเราคือทำงานกับ "แอนโตนิโอ" หน้าที่คือประสานงานกับคนไข้ กับหมอ กับคลินิก เราก็มาประสานงานจริงๆ ก้อยเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าเขาจะมองเราว่าเป็นเอเย่นต์ เราก็ไม่รู้ว่าเอเย่นต์คืออะไร หน้าที่คือเจ้านายพาลูกค้ามาให้เราดูแล เจ้านายเราส่งตัวแม่อุ้มบุญมาให้ดูแล เจ้านายเขามีคนที่ส่งแม่อุ้มบุญให้เขาอยู่แล้ว ซึ่งเป็นคนอื่น ไม่ได้เกี่ยวกับเรา และเมื่อเขาพร้อมกันทั้งหมด เขาก็ส่งทุกคนมารวมกันที่เรา และให้เราประสานงานดูแลให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจนกระทั่งเด็กได้เกิดขึ้น คลอดออกมาแล้วกลับบ้าน
แสดงว่ารู้จักกับหมอ 2 คน ที่ถูกพาดพิงถึงในเวลานี้ว่าเกี่ยวข้องกับการอุ้มบุญครั้งนี้
เราต้องทำงานด้วยกันอยู่แล้ว เคสกรณีอุ้มบุญก็ควรจะต้องทราบ เพราะก้อยเขาเป็นคนไทยชัดเจน ตามคลินิกเขามีคนที่ระบุชัดเจนว่า ครอบครัวไหนที่จะทำกิฟท์ ครอบครัวนั้นจะต้องมีเหตุผลที่ดีเพียงพอ เขาถึงจะทำให้ เช่น เป็นสามีภรรยากันจริงหรือเปล่า และภรรยาคุณไม่สามารถที่จะตั้งท้องเองจริงๆ ได้หรือเปล่า ก่อนที่แพทย์จะทำแพทย์จะต้องตรวจร่างกายของผู้หญิงก่อนว่าเขาไม่สามารถจะตั้งครรภ์เองได้จริงๆ ก็มีการพาภรรยาเขามาตรวจ ก็สรุปว่าไม่สามารถที่จะตั้งท้องเองได้จริงๆ แล้วเราก็บอกว่า คุณหมอช่วยให้คนอุ้มบุญมาอุ้มท้องแทนเขาได้ไหม ซึ่งคุณหมอเขาก็ทำไปตามหน้าที่ของเขา เพราะเราบอกว่าภรรยาเขาอุ้มท้องไม่ได้จริง ตัวพ่อแม่เขาต้องการมีลูก เขาก็ต้องขอให้คนอื่นมาอุ้มให้เขา ซึ่งตัวน้องก็ยินยอม ไม่ได้มีใครบังคับมา ทุกคนยินยอม คุณหมอก็รักษาให้
ถามว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ผิดจรรยาบรรณหรือไม่ อยากถามกลับว่า ผิดอย่างไรบ้าง มันค่อนข้างซับซ้อน เพราะว่าอย่างที่บอก กฎหมายอุ้มบุญในไทยมันไม่ชัดเจน ในตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรแบบไหนที่ว่าถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าทุกอย่างมันไม่ขาว มันไม่ดำ เราก็ไม่รู้ว่าตรงไหนถูก ตรงไหนผิด เรารู้แค่ว่าตราบใดที่คลินิกเขาวางระเบียบไว้ชัดเจนแล้วว่าคู่สามีภรรยาที่เป็นแบบนี้ๆ เท่านั้นถึงจะทำได้ คุณหมอไม่ได้เกี่ยวข้องว่าแม่อุ้มบุญจะได้รับค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ คลินิกไม่ได้สนใจเลย ถ้าคุณต้องการจะมีบุตรโดยวิธีธรรมชาติได้ ก็ไปหาคุณหมอ แล้วคุณหมอก็รักษาให้คุณ แต่คุณหมอไม่สนใจว่าจะไปได้รับเงินเท่าไหร่ มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณหมอ ส่วนขั้นตอนต่างๆ ก็เป็นไปอย่างที่มีการนำเสนอข่าวอยู่แล้ว
รับงานอุ้มบุญให้สองสามีชาวออสเตรเลียได้อย่างไร
เขาติดต่อมากับเจ้านาย ส่วนก้อยที่รับอุ้มบุญให้ กุ๊กไก่เป็นคนพามา ยืนยันว่าเราไม่ใช่เอเย่นต์ ทำหน้าที่แค่คนดูแลเท่านั้น คนที่เป็นเอเย่นต์คือคนที่คุยงานกับ แอนโตนิโอ คือคนที่คุยกับพ่อแม่ชาวออสเตรเลียไว้ และพามาทำที่คลินิก แล้วเราเป็นลูกจ้างของแอนโตนิโอ ที่มีบริษัทอยู่ในอเมริกา มีเราคนเดียวที่เป็นลูกจ้างในประเทศไทย คอยประสานงานให้หมด
แล้วกรณีนี้ทำไมก้อยถึงออกมาเปิดเผยเรื่องนี้
ก็สงสัยเหมือนกัน ทำไมต้องพูดซะคนอื่นแย่ไปหมด เขามาว่าโดนโกงเงิน อันนั้นเคลียร์กันทีหลังได้ แต่มาบอกว่า พ่อแม่เขาทิ้งลูก ทำไมพูดขนาดนั้น ซึ่งเสียหายกับทางพ่อแม่เขามาก ข้อเท็จจริงคือ ตอนแรกเขาไม่ต้องการจริงๆ ก่อนคลอด เพราะเขาคงรับไม่ได้การเลี้ยงเด็กเป็นดาวน์ซินโดรม รู้ว่าเป็นดาวน์ซินโดรมตั้งแต่ครรภ์ได้ 20 สัปดาห์ ตอนนั้นคุยผ่านเจ้านาย เขาบอกว่า เขาเครียดกังวล รับไม่ได้ เขาไม่ได้พูดชัดเจนว่าต้องการกี่คน ทุกคนก็ไม่รู้จะทำยังไงในตอนนั้น ในฐานะคนเป็นพ่อแม่ แต่พอเด็กคลอดออกมามีอยู่วันหนึ่งพ่อแม่เด็กบอกว่า ญาติผู้หญิงที่เป็นคนจีนจะรับไปเลี้ยงให้ก็ได้ ก็ไปบอกก้อย เขาก็บอกไม่เป็นไรเขาเลี้ยงเอง ก้อยต้องการเด็ก ไม่ใช่ดึงเด็กไว้เพื่อแลกกับ 75,000 บาท มันจะคุ้มได้อย่างไร เพราะเด็กป่วย แต่คิดว่าเขารักเด็ก เขาแสดงอาการมาตลอด เขาไม่อยากทำแท้ง เขาอยากเลี้ยงจริงๆ แล้วพ่อแม่เขาไม่อยากได้อยู่แล้ว พอมาถึงจุดหนึ่งที่พ่อแม่คุยกับทางญาติแล้ว เขากลัวว่าเขาบินกลับบ้านด้วยเด็กคนเดียว กลัวสถานทูตจะจับได้ว่าเขาทิ้งลูก เขาเครียด ระหว่างนี้ญาติเขาบอกว่า เอามาเถอะ เดี๋ยวเอาแกมมี่ไปเลี้ยง ญาติต้องการช่วย
ก้อยอ้างว่าถูกบังคับตอนให้รับรองบุตร และทำไมไม่รับรองบุตรทีเดียว 2 คน
ทางสถานทูตรับทราบว่าเป็นการอุ้มบุญ เพราะฉะนั้นก้อยต้องไปยืนยันว่า อุ้มบุญมาและยินดีที่จะยกเด็กให้พ่อแม่ของเขาแล้ว ก้อยก็ต้องไปอยู่แล้ว ส่วนน้องแกมมี่ที่ไม่ได้ไปด้วย เพราะว่าเขาตกลงกันระหว่างพ่อแม่ของน้องกับก้อย ซึ่งก้อยบอกว่า ก้อยยินดีที่จะรับดูแลไว้ เมื่อก้อยบอกอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้ยื่นเรื่องที่เกี่ยวกับน้องแกมมี่เข้าไปในสถานทูตเลย เมื่อเขาตกลงกันไว้แบบนี้พ่อแม่เขาก็ทำเรื่องให้เฉพาะน้องที่เป็นผู้หญิง เมื่อเรียบร้อยเขาก็บินกลับบ้าน เหตุการณ์ในสถานทูตเราไม่มีสิทธิ์บังคับใคร ก้อยไปคุยกับเจ้าหน้าที่สถานทูตแบบส่วนตัว
เหตุผลที่ไม่ต้องการนำน้องแกมมี่กลับไปด้วยเพราะอะไร
ระหว่างตั้งครรภ์เขาก็ไม่อยากได้ เหมือนพ่อแม่ที่ไม่สามารถจะรับลูกที่มีสภาพแบบนี้ได้ พอคลอดออกมาเขามีการปรึกษากับทางญาติเขาที่อยู่ต่างประเทศว่าจะมีปัญหาไหมถ้าเขาบินไปเอาลูกคนเดียวกลับไป กลัวจะเลี้ยงไม่ไหว และมีการปรึกษากับทางญาติๆเขา จนวันหนึ่งเขามาบอกว่า ญาติเขายินดีจะช่วยเลี้ยงได้ เขาเลยบอกก้อย แต่ตอนแรกเขาตกลงกันว่าแยกกัน แต่ทางพ่อแม่มาบอกใหม่ว่า เอาเด็กผู้ชายมาให้เขาก็ได้ เดี๋ยวเขาจะเอากลับด้วยทั้งสองคน ทางด้านก้อยบอกว่า ไม่เป็นไร เขาเลี้ยงได้ มันเลยจบที่ข้อตกลงตรงนี้ โดยที่พ่อแม่เขาไม่ได้มาบอกก้อยว่าจะเอาเด็กคนนี้กลับนะ ที่เขาไม่ทำ เราก็ไม่แน่ใจ แต่ที่เรารู้กันอยู่ก็คือ ตัวพ่อแม่นั้นไม่ได้มีสิทธิ์ในตัวเด็กเท่ากับก้อย ถ้าก้อยไม่ให้คือจบ ถ้าก้อยให้คือไปสถานทูตทำเรื่องยกให้ก็คือจบ
นอกจากเคสของก้อยมีติดต่อให้ดูแลเคสไหนบ้าง
ต้องย้ำว่า เป็นอดีตเจ้านายที่เคยทำงานด้วย ตอนนั้นที่เขาจ้างเรา มีกี่คู่สามีภรรยา เราก็ต้องดูแลทั้งหมด ซึ่งตอนนั้นที่จำได้น่าจะ 10 กว่าคู่ เราเป็นบริษัทเล็กๆ ดูแลกันเอง เราถึงใกล้ชิดกับพ่อแม่เหมือนเป็นเพื่อนกัน คุยกันบ่อย มีอะไรเขาก็เล่าให้เราฟังเวลาเขามาเมืองไทย โดยแต่ละเคสมีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้โรงพยาบาล คลินิก และยังมีค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้เอเย่นต์ คลินิกเป็นหลักแสน เคสหนึ่งพ่อแม่ที่ว่าจ้างให้อุ้มบุญต้องจ่ายประมาณล้านกว่าบาท เพราะต้องการลูก หลายคู่ก็ยังส่งรูปมาให้ดูว่า เด็กเติบโตยังไง กลับถึงบ้านแล้วนะ โดยทำงานมา 1 ปี ทำให้ไปเกือบ 10 ราย ตอนนี้ลาออกจากงานแล้ว
http://www.komchadluek.net/detail/20140809/189831.html
ยิ่งติดตามเรื่องราวซับซ้อนเข้าไปใหญ่ รอทางการออกมาสรุปเรื่องราวแท้จริงและแนวทางการกำกับดูแลเรื่องนี้อีกทีครับ
อีกอย่างเห็นข่าวมีการบุกตรวจคลีนิกรับอุ้มบุญ ผลปรากฎว่าทางคลีนิกย้ายเอกสารและข้าวของหนี้ไปแล้ว ก็ไม่เเปลกใจเลยเป็นข่าวดังขนาดนี้นานเป็นอาทิตย์ ทางคลินิกคงรอให้ไปตรวจ น่าจะมีการเฝ้าระวังหรือมีอำนาจสั่งยึดอายัดคลินิกต้องสงสัยได้เลย ถ้าคลินิกบริสุทธิ์ใจตกเป็นข่าวปุ๊ปก็ให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจได้ทันทีถ่ายรูปทำบันทึกเอกสารข้าวของต่างๆ ไว้ก่อน เมื่อถึงเวลามาตรวจสอบอย่างละเอียดเป็นทางการหลักฐานได้อยู่ครับ
เปิดใจ'จอย' เคลียร์ปม อเย่นต์อุ้มบุญ
"จอย" เดินทางเข้าพบ "ทีมข่าวอาชญากรรมเครือเนชั่น" เพื่อชี้แจงกรณีที่ถูกพาดพิงถึง พร้อมทั้งชี้แจงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ถูกกล่าวหาว่าเป็นเอเย่นต์อุ้มบุญกรณีน้องแกมมี่ได้อย่างไร
สมัครงานทางอินเตอร์เน็ต ในฐานะคนช่วยประสานงาน ช่วยดูแลคนไข้ ติดต่อประสานงานคลินิก โดยมีนายจ้างชื่อ แอนโตนิโอ เป็นชาวอเมริกัน ซึ่งเจ้านายทำธุรกิจให้บริการอุ้มบุญให้แก่คู่สามีชาวต่างชาติที่อยากมีลูกแต่มีบุตรอยากอยู่แล้ว เพราะในต่างประเทศเรื่องนี้ไม่ผิดกฎหมาย ตอนแรกไม่รู้ว่าเป็นงานอะไร ก็ค่อยๆ เรียนรู้งานไป ทำอยู่ 1 ปีเต็มๆ แล้วลาออกตอนเคสของน้องแกรมมี่คลอด และบินกลับบ้านพอดี โดยแม่อุ้มบุญของน้องแกมมี่คือ ก้อย เขาสมัครมา ต้องการจะมาเป็นแม่อุ้มบุญ สมัครมากับกุ๊กไก่ ซึ่งพามารู้จักกับเจ้านายอีกที ไม่ได้มาสมัครกับเราโดยตรง
กุ๊กไก่ เป็นคนพาก้อยมาคลินิก เพื่อตรวจร่างกาย ตามข่าวที่บอกว่า ใช้บัตรประชาชนที่ไม่ใช่ของตัวเอง ทางบริษัทเจ้านาย และคลินิก ไม่มีใครรู้ จนกระทั่งก้อยท้องได้ 4-5 เดือน ก้อยก็มาสารภาพว่าไม่ได้ใช้บัตรประชาชนของจริง ตอนนั้นทุกคนไม่รู้อะไรเลย สามีภรรยาออสเตรเลียก็ไม่รู้ ตอนนั้นเราก็เครียดมากเรื่องเอกสาร เพราะไม่ต้องการที่จะใช้เอกสารปลอมต่อไปแล้ว
หน้าที่ของเราตอนนั้น เป็นเหมือนล่าม เพราะต้องคอยแปลรายงานการรักษาในเมืองไทย ที่หมออธิบายข้อความไปยังไง และส่งไปให้พ่อแม่ของเขา เราไม่เคยได้ออกไปหาใครมา เพราะหน้าที่ของเราไม่ใช่ หน้าที่ของเราคือทำงานกับ "แอนโตนิโอ" หน้าที่คือประสานงานกับคนไข้ กับหมอ กับคลินิก เราก็มาประสานงานจริงๆ ก้อยเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าเขาจะมองเราว่าเป็นเอเย่นต์ เราก็ไม่รู้ว่าเอเย่นต์คืออะไร หน้าที่คือเจ้านายพาลูกค้ามาให้เราดูแล เจ้านายเราส่งตัวแม่อุ้มบุญมาให้ดูแล เจ้านายเขามีคนที่ส่งแม่อุ้มบุญให้เขาอยู่แล้ว ซึ่งเป็นคนอื่น ไม่ได้เกี่ยวกับเรา และเมื่อเขาพร้อมกันทั้งหมด เขาก็ส่งทุกคนมารวมกันที่เรา และให้เราประสานงานดูแลให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจนกระทั่งเด็กได้เกิดขึ้น คลอดออกมาแล้วกลับบ้าน
แสดงว่ารู้จักกับหมอ 2 คน ที่ถูกพาดพิงถึงในเวลานี้ว่าเกี่ยวข้องกับการอุ้มบุญครั้งนี้
เราต้องทำงานด้วยกันอยู่แล้ว เคสกรณีอุ้มบุญก็ควรจะต้องทราบ เพราะก้อยเขาเป็นคนไทยชัดเจน ตามคลินิกเขามีคนที่ระบุชัดเจนว่า ครอบครัวไหนที่จะทำกิฟท์ ครอบครัวนั้นจะต้องมีเหตุผลที่ดีเพียงพอ เขาถึงจะทำให้ เช่น เป็นสามีภรรยากันจริงหรือเปล่า และภรรยาคุณไม่สามารถที่จะตั้งท้องเองจริงๆ ได้หรือเปล่า ก่อนที่แพทย์จะทำแพทย์จะต้องตรวจร่างกายของผู้หญิงก่อนว่าเขาไม่สามารถจะตั้งครรภ์เองได้จริงๆ ก็มีการพาภรรยาเขามาตรวจ ก็สรุปว่าไม่สามารถที่จะตั้งท้องเองได้จริงๆ แล้วเราก็บอกว่า คุณหมอช่วยให้คนอุ้มบุญมาอุ้มท้องแทนเขาได้ไหม ซึ่งคุณหมอเขาก็ทำไปตามหน้าที่ของเขา เพราะเราบอกว่าภรรยาเขาอุ้มท้องไม่ได้จริง ตัวพ่อแม่เขาต้องการมีลูก เขาก็ต้องขอให้คนอื่นมาอุ้มให้เขา ซึ่งตัวน้องก็ยินยอม ไม่ได้มีใครบังคับมา ทุกคนยินยอม คุณหมอก็รักษาให้
ถามว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ผิดจรรยาบรรณหรือไม่ อยากถามกลับว่า ผิดอย่างไรบ้าง มันค่อนข้างซับซ้อน เพราะว่าอย่างที่บอก กฎหมายอุ้มบุญในไทยมันไม่ชัดเจน ในตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรแบบไหนที่ว่าถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าทุกอย่างมันไม่ขาว มันไม่ดำ เราก็ไม่รู้ว่าตรงไหนถูก ตรงไหนผิด เรารู้แค่ว่าตราบใดที่คลินิกเขาวางระเบียบไว้ชัดเจนแล้วว่าคู่สามีภรรยาที่เป็นแบบนี้ๆ เท่านั้นถึงจะทำได้ คุณหมอไม่ได้เกี่ยวข้องว่าแม่อุ้มบุญจะได้รับค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ คลินิกไม่ได้สนใจเลย ถ้าคุณต้องการจะมีบุตรโดยวิธีธรรมชาติได้ ก็ไปหาคุณหมอ แล้วคุณหมอก็รักษาให้คุณ แต่คุณหมอไม่สนใจว่าจะไปได้รับเงินเท่าไหร่ มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณหมอ ส่วนขั้นตอนต่างๆ ก็เป็นไปอย่างที่มีการนำเสนอข่าวอยู่แล้ว
รับงานอุ้มบุญให้สองสามีชาวออสเตรเลียได้อย่างไร
เขาติดต่อมากับเจ้านาย ส่วนก้อยที่รับอุ้มบุญให้ กุ๊กไก่เป็นคนพามา ยืนยันว่าเราไม่ใช่เอเย่นต์ ทำหน้าที่แค่คนดูแลเท่านั้น คนที่เป็นเอเย่นต์คือคนที่คุยงานกับ แอนโตนิโอ คือคนที่คุยกับพ่อแม่ชาวออสเตรเลียไว้ และพามาทำที่คลินิก แล้วเราเป็นลูกจ้างของแอนโตนิโอ ที่มีบริษัทอยู่ในอเมริกา มีเราคนเดียวที่เป็นลูกจ้างในประเทศไทย คอยประสานงานให้หมด
แล้วกรณีนี้ทำไมก้อยถึงออกมาเปิดเผยเรื่องนี้
ก็สงสัยเหมือนกัน ทำไมต้องพูดซะคนอื่นแย่ไปหมด เขามาว่าโดนโกงเงิน อันนั้นเคลียร์กันทีหลังได้ แต่มาบอกว่า พ่อแม่เขาทิ้งลูก ทำไมพูดขนาดนั้น ซึ่งเสียหายกับทางพ่อแม่เขามาก ข้อเท็จจริงคือ ตอนแรกเขาไม่ต้องการจริงๆ ก่อนคลอด เพราะเขาคงรับไม่ได้การเลี้ยงเด็กเป็นดาวน์ซินโดรม รู้ว่าเป็นดาวน์ซินโดรมตั้งแต่ครรภ์ได้ 20 สัปดาห์ ตอนนั้นคุยผ่านเจ้านาย เขาบอกว่า เขาเครียดกังวล รับไม่ได้ เขาไม่ได้พูดชัดเจนว่าต้องการกี่คน ทุกคนก็ไม่รู้จะทำยังไงในตอนนั้น ในฐานะคนเป็นพ่อแม่ แต่พอเด็กคลอดออกมามีอยู่วันหนึ่งพ่อแม่เด็กบอกว่า ญาติผู้หญิงที่เป็นคนจีนจะรับไปเลี้ยงให้ก็ได้ ก็ไปบอกก้อย เขาก็บอกไม่เป็นไรเขาเลี้ยงเอง ก้อยต้องการเด็ก ไม่ใช่ดึงเด็กไว้เพื่อแลกกับ 75,000 บาท มันจะคุ้มได้อย่างไร เพราะเด็กป่วย แต่คิดว่าเขารักเด็ก เขาแสดงอาการมาตลอด เขาไม่อยากทำแท้ง เขาอยากเลี้ยงจริงๆ แล้วพ่อแม่เขาไม่อยากได้อยู่แล้ว พอมาถึงจุดหนึ่งที่พ่อแม่คุยกับทางญาติแล้ว เขากลัวว่าเขาบินกลับบ้านด้วยเด็กคนเดียว กลัวสถานทูตจะจับได้ว่าเขาทิ้งลูก เขาเครียด ระหว่างนี้ญาติเขาบอกว่า เอามาเถอะ เดี๋ยวเอาแกมมี่ไปเลี้ยง ญาติต้องการช่วย
ก้อยอ้างว่าถูกบังคับตอนให้รับรองบุตร และทำไมไม่รับรองบุตรทีเดียว 2 คน
ทางสถานทูตรับทราบว่าเป็นการอุ้มบุญ เพราะฉะนั้นก้อยต้องไปยืนยันว่า อุ้มบุญมาและยินดีที่จะยกเด็กให้พ่อแม่ของเขาแล้ว ก้อยก็ต้องไปอยู่แล้ว ส่วนน้องแกมมี่ที่ไม่ได้ไปด้วย เพราะว่าเขาตกลงกันระหว่างพ่อแม่ของน้องกับก้อย ซึ่งก้อยบอกว่า ก้อยยินดีที่จะรับดูแลไว้ เมื่อก้อยบอกอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้ยื่นเรื่องที่เกี่ยวกับน้องแกมมี่เข้าไปในสถานทูตเลย เมื่อเขาตกลงกันไว้แบบนี้พ่อแม่เขาก็ทำเรื่องให้เฉพาะน้องที่เป็นผู้หญิง เมื่อเรียบร้อยเขาก็บินกลับบ้าน เหตุการณ์ในสถานทูตเราไม่มีสิทธิ์บังคับใคร ก้อยไปคุยกับเจ้าหน้าที่สถานทูตแบบส่วนตัว
เหตุผลที่ไม่ต้องการนำน้องแกมมี่กลับไปด้วยเพราะอะไร
ระหว่างตั้งครรภ์เขาก็ไม่อยากได้ เหมือนพ่อแม่ที่ไม่สามารถจะรับลูกที่มีสภาพแบบนี้ได้ พอคลอดออกมาเขามีการปรึกษากับทางญาติเขาที่อยู่ต่างประเทศว่าจะมีปัญหาไหมถ้าเขาบินไปเอาลูกคนเดียวกลับไป กลัวจะเลี้ยงไม่ไหว และมีการปรึกษากับทางญาติๆเขา จนวันหนึ่งเขามาบอกว่า ญาติเขายินดีจะช่วยเลี้ยงได้ เขาเลยบอกก้อย แต่ตอนแรกเขาตกลงกันว่าแยกกัน แต่ทางพ่อแม่มาบอกใหม่ว่า เอาเด็กผู้ชายมาให้เขาก็ได้ เดี๋ยวเขาจะเอากลับด้วยทั้งสองคน ทางด้านก้อยบอกว่า ไม่เป็นไร เขาเลี้ยงได้ มันเลยจบที่ข้อตกลงตรงนี้ โดยที่พ่อแม่เขาไม่ได้มาบอกก้อยว่าจะเอาเด็กคนนี้กลับนะ ที่เขาไม่ทำ เราก็ไม่แน่ใจ แต่ที่เรารู้กันอยู่ก็คือ ตัวพ่อแม่นั้นไม่ได้มีสิทธิ์ในตัวเด็กเท่ากับก้อย ถ้าก้อยไม่ให้คือจบ ถ้าก้อยให้คือไปสถานทูตทำเรื่องยกให้ก็คือจบ
นอกจากเคสของก้อยมีติดต่อให้ดูแลเคสไหนบ้าง
ต้องย้ำว่า เป็นอดีตเจ้านายที่เคยทำงานด้วย ตอนนั้นที่เขาจ้างเรา มีกี่คู่สามีภรรยา เราก็ต้องดูแลทั้งหมด ซึ่งตอนนั้นที่จำได้น่าจะ 10 กว่าคู่ เราเป็นบริษัทเล็กๆ ดูแลกันเอง เราถึงใกล้ชิดกับพ่อแม่เหมือนเป็นเพื่อนกัน คุยกันบ่อย มีอะไรเขาก็เล่าให้เราฟังเวลาเขามาเมืองไทย โดยแต่ละเคสมีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้โรงพยาบาล คลินิก และยังมีค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้เอเย่นต์ คลินิกเป็นหลักแสน เคสหนึ่งพ่อแม่ที่ว่าจ้างให้อุ้มบุญต้องจ่ายประมาณล้านกว่าบาท เพราะต้องการลูก หลายคู่ก็ยังส่งรูปมาให้ดูว่า เด็กเติบโตยังไง กลับถึงบ้านแล้วนะ โดยทำงานมา 1 ปี ทำให้ไปเกือบ 10 ราย ตอนนี้ลาออกจากงานแล้ว
http://www.komchadluek.net/detail/20140809/189831.html
ยิ่งติดตามเรื่องราวซับซ้อนเข้าไปใหญ่ รอทางการออกมาสรุปเรื่องราวแท้จริงและแนวทางการกำกับดูแลเรื่องนี้อีกทีครับ
อีกอย่างเห็นข่าวมีการบุกตรวจคลีนิกรับอุ้มบุญ ผลปรากฎว่าทางคลีนิกย้ายเอกสารและข้าวของหนี้ไปแล้ว ก็ไม่เเปลกใจเลยเป็นข่าวดังขนาดนี้นานเป็นอาทิตย์ ทางคลินิกคงรอให้ไปตรวจ น่าจะมีการเฝ้าระวังหรือมีอำนาจสั่งยึดอายัดคลินิกต้องสงสัยได้เลย ถ้าคลินิกบริสุทธิ์ใจตกเป็นข่าวปุ๊ปก็ให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจได้ทันทีถ่ายรูปทำบันทึกเอกสารข้าวของต่างๆ ไว้ก่อน เมื่อถึงเวลามาตรวจสอบอย่างละเอียดเป็นทางการหลักฐานได้อยู่ครับ