- ขอไม่ลังเลใดๆทั้งสิ้นที่จะยกให้เกมนี่ติดอันดับเป็นหนึ่งในเกมในดวงใจ รวมถึงเป็นเกมที่ตัวเองอินไปกับเนื้อเรื่องและตัวละครในเกมมากที่สุดนับตั้งแต่ Mass Effect 2
- นี่น่าจะเป็นหนึ่งในไม่กี่เกมที่พอเล่นๆไปแล้วตัวเองไม่อยากให้เกมมันจบ คือเหมือนเรายังไม่อยากให้มันจบแค่นี้ เรายังอยากออกเดินทางไปกับสองตัวเอกของเกมอย่าง Joel กับ Ellie ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะการเดินทางของสองคนนี้มันเป็นการผจญภัยที่สนุกสนานเฮฮา(เพราะมันไม่ใช่เลย) แต่เป็นเพราะเราแคร์สองตัวละครนี้มากเสียจนเราไม่อยากเห็นเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นกับพวกเขา เราอยากให้พวกเขารอดปลอดภัย จะว่าอินจัดก็ได้ แต่เชื่อว่าคนที่ได้เล่มเกมนี้ส่วนใหญ่ก็คงจะรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน เพราะสายสัมพันธ์ระหว่าง Joel กับ Ellie (รวมถึงความผูกพันที่ผู้เล่นมีต่อสองตัวละครนี้)คือความงดงามที่สุดของ The Last of Us (และนั้นแหละคือสิ่งที่ทำให้การตัดสินใจของ Joel ในฉากจบของเกมเป็นอะไรที่ทรงพลังมากๆ)
- ส่วนตัวรู้สึกว่า The Last of Us มันเป็นเกมที่หยิบยืมเอาองค์ประกอบที่ดีที่สุดของหนังแนวโลกหลังหายนะอย่าง 28 Days Later…, Children of Men, The Road มาเขย่ารวมกันจนเกิดเป็นส่วนผสมที่ลงตัว ในขณะที่ตัวเกมเองมันก็มีความเป็น cinematic อยู่มาก ทั้งในส่วนของบทที่เขียนเนื้อเรื่องและสร้างตัวละครได้อย่างมีมิติและในส่วนของตัวเกมที่ตัดสลับไปมาระหว่างเกมเพลย์กับคัตซีนได้อย่างลื่นไหล คือเป็นเกมที่เล่นๆไปก็รู้สึกเหมือนกำลังนั่งดูหนังดีๆเรื่องหนึ่ง(แฟนบอย The Last of Us ถึงชอบพูดแบบติดตลกว่า“จะเอา The Last of Us ไปดัดแปลงเป็นหนังทำไมในเมื่อ The Last of Us มันก็เป็นหนังด้วยตัวของมันเอง”)
- สามฉากในเกมนี้ที่ทำให้ตัวเองอยากก้มลงไปกราบ Neil Druckmann ผู้เขียนบทของเกมๆนี้งามๆสักสามทีคือ 1) ฉากเปิดเกมที่กระชากตัวผู้เล่นเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ในเกมได้อย่างสมจริง 2) ฉากที่ Joel กับ Ellie เห็นฝูงยีราฟซึ่งเปรียบได้กับเป็นตัวแทนของความงดงามที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลกอันล้มสลาย และ 3) ฉากที่ Joel อุ้มร่างที่นอนหมดสติของ Ellie หนีการตามล่าในช่วงท้ายเกม ซึ่งส่วนตัวมองว่าสามฉากที่ว่ามานี้เป็นตัวอย่างที่ดีว่าทำไมวิดีโอเกมถึงเป็นสื่อที่ใช้ในการบอกเล่าเรื่องราว (storytelling media) ที่ทรงพลังมากๆ คือในขณะที่สื่อแขนงอื่นๆอย่างดนตรี,หนังสือหรือภาพยนตร์นั้นตัวผู้เสพสื่อเป็นได้เพียง“ผู้สังเกตการณ์”(ผู้ฟัง/ผู้อ่าน/ผู้ชม) วิดีโอเกมกลับเป็นสื่อแขนงเดียวในตอนนี้ที่สามารถพาตัวผู้เสพสื่อเข้าไปมีประสบการณ์ในฐานะของ“ผู้กระทำ”(ผู้เล่น)ได้อย่างแท้จริง
- และก็เพลินกับ Photo Mode โหมดใหม่ที่มีเพิ่มเข้ามาใน The Last of Us: Remastered มากๆ ยิ่งภาพกราฟิกในเกมมันสวยสมจริงเหมือนดูหนังตัวเองเลยอดไม่ได้ต้องหยุดแคปภาพเป็นระยะๆ
- เป้าหมายต่อไปในตอนนี้คือการเล่น DLC อย่าง Left Behind และเฝ้าภาวนาว่า The Last of Us ฉบับหนังคนแสดงจะออกมาดี อยากเห็น Guy Pearce รับบทเป็น Joel, Maisie Williams รับบทเป็น Ellie, และ Matt Reeves (ผกก. Cloverfields, Dawn of the Planet of the Apes) เป็นผู้กำกับ
ป.ล. ฝากเพจคุยเรื่องหนัง,เพลง,เกม,การ์ตูนแบบจิปาถะแบบตามใจตัวเองของผมด้วยนะครับ

>>>
https://www.facebook.com/appleoneoone
[กระทู้ชวนคุย + แชร์นู่นนี่จิปาถะ] แชร์ความประทับใจหลังเล่น(พร้อมสวมหน้าม้าอวย) The Last of Us: Remastered บน PS4
- ขอไม่ลังเลใดๆทั้งสิ้นที่จะยกให้เกมนี่ติดอันดับเป็นหนึ่งในเกมในดวงใจ รวมถึงเป็นเกมที่ตัวเองอินไปกับเนื้อเรื่องและตัวละครในเกมมากที่สุดนับตั้งแต่ Mass Effect 2
- นี่น่าจะเป็นหนึ่งในไม่กี่เกมที่พอเล่นๆไปแล้วตัวเองไม่อยากให้เกมมันจบ คือเหมือนเรายังไม่อยากให้มันจบแค่นี้ เรายังอยากออกเดินทางไปกับสองตัวเอกของเกมอย่าง Joel กับ Ellie ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะการเดินทางของสองคนนี้มันเป็นการผจญภัยที่สนุกสนานเฮฮา(เพราะมันไม่ใช่เลย) แต่เป็นเพราะเราแคร์สองตัวละครนี้มากเสียจนเราไม่อยากเห็นเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นกับพวกเขา เราอยากให้พวกเขารอดปลอดภัย จะว่าอินจัดก็ได้ แต่เชื่อว่าคนที่ได้เล่มเกมนี้ส่วนใหญ่ก็คงจะรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน เพราะสายสัมพันธ์ระหว่าง Joel กับ Ellie (รวมถึงความผูกพันที่ผู้เล่นมีต่อสองตัวละครนี้)คือความงดงามที่สุดของ The Last of Us (และนั้นแหละคือสิ่งที่ทำให้การตัดสินใจของ Joel ในฉากจบของเกมเป็นอะไรที่ทรงพลังมากๆ)
- ส่วนตัวรู้สึกว่า The Last of Us มันเป็นเกมที่หยิบยืมเอาองค์ประกอบที่ดีที่สุดของหนังแนวโลกหลังหายนะอย่าง 28 Days Later…, Children of Men, The Road มาเขย่ารวมกันจนเกิดเป็นส่วนผสมที่ลงตัว ในขณะที่ตัวเกมเองมันก็มีความเป็น cinematic อยู่มาก ทั้งในส่วนของบทที่เขียนเนื้อเรื่องและสร้างตัวละครได้อย่างมีมิติและในส่วนของตัวเกมที่ตัดสลับไปมาระหว่างเกมเพลย์กับคัตซีนได้อย่างลื่นไหล คือเป็นเกมที่เล่นๆไปก็รู้สึกเหมือนกำลังนั่งดูหนังดีๆเรื่องหนึ่ง(แฟนบอย The Last of Us ถึงชอบพูดแบบติดตลกว่า“จะเอา The Last of Us ไปดัดแปลงเป็นหนังทำไมในเมื่อ The Last of Us มันก็เป็นหนังด้วยตัวของมันเอง”)
- สามฉากในเกมนี้ที่ทำให้ตัวเองอยากก้มลงไปกราบ Neil Druckmann ผู้เขียนบทของเกมๆนี้งามๆสักสามทีคือ 1) ฉากเปิดเกมที่กระชากตัวผู้เล่นเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ในเกมได้อย่างสมจริง 2) ฉากที่ Joel กับ Ellie เห็นฝูงยีราฟซึ่งเปรียบได้กับเป็นตัวแทนของความงดงามที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลกอันล้มสลาย และ 3) ฉากที่ Joel อุ้มร่างที่นอนหมดสติของ Ellie หนีการตามล่าในช่วงท้ายเกม ซึ่งส่วนตัวมองว่าสามฉากที่ว่ามานี้เป็นตัวอย่างที่ดีว่าทำไมวิดีโอเกมถึงเป็นสื่อที่ใช้ในการบอกเล่าเรื่องราว (storytelling media) ที่ทรงพลังมากๆ คือในขณะที่สื่อแขนงอื่นๆอย่างดนตรี,หนังสือหรือภาพยนตร์นั้นตัวผู้เสพสื่อเป็นได้เพียง“ผู้สังเกตการณ์”(ผู้ฟัง/ผู้อ่าน/ผู้ชม) วิดีโอเกมกลับเป็นสื่อแขนงเดียวในตอนนี้ที่สามารถพาตัวผู้เสพสื่อเข้าไปมีประสบการณ์ในฐานะของ“ผู้กระทำ”(ผู้เล่น)ได้อย่างแท้จริง
- และก็เพลินกับ Photo Mode โหมดใหม่ที่มีเพิ่มเข้ามาใน The Last of Us: Remastered มากๆ ยิ่งภาพกราฟิกในเกมมันสวยสมจริงเหมือนดูหนังตัวเองเลยอดไม่ได้ต้องหยุดแคปภาพเป็นระยะๆ
- เป้าหมายต่อไปในตอนนี้คือการเล่น DLC อย่าง Left Behind และเฝ้าภาวนาว่า The Last of Us ฉบับหนังคนแสดงจะออกมาดี อยากเห็น Guy Pearce รับบทเป็น Joel, Maisie Williams รับบทเป็น Ellie, และ Matt Reeves (ผกก. Cloverfields, Dawn of the Planet of the Apes) เป็นผู้กำกับ
ป.ล. ฝากเพจคุยเรื่องหนัง,เพลง,เกม,การ์ตูนแบบจิปาถะแบบตามใจตัวเองของผมด้วยนะครับ