ว่าด้วยการอดกลั้นทุกขเวทนาที่เกิดจากผลกรรม
(พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๕)
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งนั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงอยู่ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค อดกลั้นทุกขเวทนาอันกล้า เผ็ดร้อนซึ่งเกิดแต่ผลแห่งกรรมเก่า มีสติสัมปชัญญะ ไม่พรั่นพรึงอยู่
พระผู้มีพระภาค ได้ทอดพระเนตรเห็นภิกษุนั้น นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรงอยู่ในที่ไม่ไกล อดกลั้นทุกขเวทนาอันกล้า เผ็ดร้อน ซึ่งเกิดแต่ผลแห่งกรรมเก่า มีสติสัมปชัญญะไม่พรั่นพรึงอยู่ ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
“ภิกษุละกรรมทั้งหมดได้แล้ว กำจัดกรรมเป็นดังธุลี ที่ตนทำไว้แล้วในก่อน ไม่มีการยึดถือว่าของเรา ดำรงมั่น คงที่ ประโยชน์ที่จะกล่าวกะชน (ว่าท่านจงทำยาเพื่อเรา) ย่อมไม่มี ฯ”
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๕
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
หน้าที่ ๗๔ ข้อที่ ๖๖
[พระไตรปิฏก]ว่าด้วยการอดกลั้นทุกขเวทนาที่เกิดจากผลกรรม
(พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๕)
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งนั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงอยู่ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค อดกลั้นทุกขเวทนาอันกล้า เผ็ดร้อนซึ่งเกิดแต่ผลแห่งกรรมเก่า มีสติสัมปชัญญะ ไม่พรั่นพรึงอยู่
พระผู้มีพระภาค ได้ทอดพระเนตรเห็นภิกษุนั้น นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรงอยู่ในที่ไม่ไกล อดกลั้นทุกขเวทนาอันกล้า เผ็ดร้อน ซึ่งเกิดแต่ผลแห่งกรรมเก่า มีสติสัมปชัญญะไม่พรั่นพรึงอยู่ ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
“ภิกษุละกรรมทั้งหมดได้แล้ว กำจัดกรรมเป็นดังธุลี ที่ตนทำไว้แล้วในก่อน ไม่มีการยึดถือว่าของเรา ดำรงมั่น คงที่ ประโยชน์ที่จะกล่าวกะชน (ว่าท่านจงทำยาเพื่อเรา) ย่อมไม่มี ฯ”
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
หน้าที่ ๗๔ ข้อที่ ๖๖