"ไม่แน่นอน"
คำว่าเดินทางคนส่วนใหญ่คิดว่าคือการท่องเที่ยว สำหรับผมไม่จำเป็นเสมอไปครับว่าคำว่าเดินทางต้องมากับคำว่าท่องเที่ยว แค่เดินออกจากบ้านไปซื้อของหน้าปากซอยผมเรียกว่าเดินทาง ถีบจักรยานไปเรียนหนังสือผมเรียกเดินทาง และปั่นจักรยานทางไกลมันก็คือการเดินทางอย่างหนึ่งที่ท้าทายชีวิตอย่างบรรลัย
ผม พชร และไก่งวง เป็นพี่น้องกันครับเราเติบโตกันที่จังหวัดพิจิตรและเราชอบการปั่นจักรยานเหมือนกันตอนนั้นจะเรียกว่าชอบก็คงไม่ถูกต้องนักเรียกว่ากระแสกำลังครอบงำเสียมากกว่าเพราะหันไปทางไหนใครใครเขาก็ปันจักรยานกัน วันดีคืนดีผม พชร ไก่งวง เกิดทะลึ่งคิดว่าการปั่นจักรยานไปมาระหว่างตำบลระหว่างอำเภอเป็นเรื่องที่ไม่ท้าทายไปแล้วพร้อมกับรู้สึกว่าไม่มีการค้นพบสิ่งใหม่ๆระหว่างทางเลย เอาอย่างนี้ไหมไก่งวง ผมถามไก่งวงด้วยสายตามุ่งมั่นว่า “ปั่นจักรยานไปเชียงใหม่กัน

เลยไหม” ไก่งวงตื่นเต้นและทำท่าทางอยากรู้จักมักจี่กับท้องถนนของภาคเหนือตอนบน ส่วนพชรนั้นต้องไปอยู่แล้วอย่างไงมันก็ต้องไปเพราะมันคือน้องแท้ๆของผม ผมต้องลากยึดฉุดดึงให้มันดันบันไดถีบร่วมไปกับผมอย่างแน่นอน วะ-ฮ่ะ-ฮ่า “มันต้องไปลำบากด้วยกันซีวะไอ้น้องชาย!” ทั้งที่มันจะไม่เห็นด้วยก็เถอะ (ฮา)

เราสามคนเริ่มวางแผนการเดินทางอย่างคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์การเดินทางมาก่อนเลยในชีวิต อย่างแรกที่เราคิดคือการนำรถจักรยานของพวกเราขึ้นรถไฟไปปล่อยลงที่เชียงใหม่ในเวลาเช้าตรู่ของวันใหม่ จากนั้นก่อนสิ้นแสงตะวันผมอยากปั่นเล่นกินบรรยากาศของอ่างแก้วใน มช. เพราะได้ยินเขาว่ากันว่าสาวเชียงใหม่สวยไม่หยอก (เขาไหนวะ) ส่วนเช้าวันถัดมาเราจะปั่นขึ้นไปทรมานต้นขาท้าแรงโน้มถ่วงโลกขึ้นดอยสุเทพถ่ายรูปคู่กับจักรยานคู่ใจอวดลงใน Instagram ให้คนที่ไม่ได้ไปอิจฉาว่าข้าอยู่บนยอดดอยที่เป็นแลนด์มาร์กสำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นปล่อยให้สองล้อทำหน้าที่ของมันไหลสัมผัสพื้นถนนพร้อมชันชูคอหน้าเราให้ปะทะลมเย็นก่อนร่อนลงสู่พื้นด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 40 km/hr ส่วนตกดึกผมละอยากจะปั่นไป “ขัวเหล็ก” สะพานเหล็กที่ไข่ย้อยและดากานดาขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านในภาพยนตร์เรื่องเพื่อนสนิทเสียจริงเชียว และนอนพักผ่อนกันให้เต็มที่ก่อนที่ตื่นเช้ามาเราจะปั่นไหลลงกันทางทิศใต้ผ่านถนนที่ทอดผ่านแต่ละจังหวัดกลับบ้านเกิดจังหวัดพิจิตร แต่ด้วยที่ผมและพชรเคยสัญญากับพ่อไว้เสียดิบดีว่าถ้าพ่อซื้อจักรยานให้ พวกเราจะปั่นไปเยี่ยมเยือนพ่อถึงเชียงรายกันเลย ส่วนแผนต่อมาที่คิดกันไว้คือไม่มีครับไม่มีแผนเฉี้ยอะไรเลยเพราะขี้เกียจคิดครับ อ่าวซะงั้น!? เอาไว้ถึงเชียงใหม่ค่อยมานั่งคิดมันก็แล้วกันเนาะพวกแก (ฮา)
พวกเรามีเวลาเตรียมความพร้อมของร่างกายอยู่หนึ่งอาทิตย์ก่อนเราจะเดินเข้าไปหาวันเดินทางจริง ผมจำไม่ได้แล้วว่าวันไหนแต่มันเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาวที่อากาศกำลังต้อนรับนักปั่นอย่างเพื่อนสนิท แต่เอาเข้าจริงพวกเราดันมาทะลึ่งซ้อมปั่นกันมันวันสุดท้ายก่อนออกทางและระยะทางที่เราซ้อมกันก็ไม่ถึง 40 กิโลเมตร ปกติแล้วจากที่ทราบมาใครหน้าไหนที่จะออกปั่นทางไกลควรเตรียมความพร้อมร่างกายก่อนออกเดินทางหนึ่งอาทิตย์ ด้วยการปั่นระยะทางวันละไม่เกิน 100 กิโลเมตร อ้างอิงจาก a day ฉบับ Humanride เอาแล้วไงเฉี้ยแล้วไง แต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องออกเดินทางครับ วันถัดมาเราจัดแจงสัมภาระใส่กระเป๋าเดินทางรูดซิบทำหน้าตามุ่งมั่นเอาจริงเอาจังกับชีวิตอย่างกับคนไม่เคยพลาดอะไรในชีวิตมาก่อน ตกเย็นจวนจะหัวค่ำเราพกความตื่นเต้นไปสถานีรถไฟกันเต็มกระเป๋าพร้อมสัมภาระกองโต ตาจ้องมองหาตารางเวลารถไฟ กรุงเทพ-เชียงใหม่ และแสดงออกอย่างกระวนกระวายทางสายตาของนักเดินทางอ่อนหัด ว่านายสถานีมันจะอนุญาตให้ผมเอารถจักรยานขึ้นรถไฟกันไหม
ไก่งวง : ไม่ได้ถามเขาก่อนเหรอว่าเอาจักรยานขึ้นได้ไหม
ผม : ถาม...เขาบอกต้องดูก่อนว่าตู้ว่างไหม
ไก่งวง : แล้วถ้าไม่ว่างวะ
ผม : ...
ไก่งวง : ...
นั่นสิครับแล้วถ้าตู้มันไม่ว่างวะ ให้ตายซีผมนี่มันโง่จริงจริง ที่เหลือก็คงต้องรอให้เป็นหน้าที่ของเวลาที่กำลังรอให้เราไปหามันอย่างลุ้นระทึกปานกับลุ้นผลสอบแอดมิชชั่นหน้าจอคอมพิวเตอร์ ปู๊นนนน (เสียงรถไฟ) พร้อมไฟสว่างจ้าขนาดไม่น่าต่ำกว่า 1000 รูเมน ดาหน้าเข้ามาหาพวกเราตามรางเหล็กที่ใช้มานานนับทศวรรษ
ผม : เอ่อ...มีที่ว่างสำหรับรถจักรยานสามคันไหมครับ
เจ้าหน้าที่ : คงไม่มีนะน้อง ถ้าจะเอารถขึ้นต้องไปขึ้นที่สถานีต้นทางครับ
ผม : ครับ (เฉี้ยละ)
ผมเดินทำหน้าเมากาวมาหาสองคนนั้นด้วยความผิดหวังราวกับขับรถไปชนควายตายมา ทั้งสองคงรู้คำตอบจากสีหน้าและท่าทางของผมจึงไม่ถามหาคำตอบ เราจึงรวมหัวกันระดมพลังสมองสะเพร่าของเราคิดหาแผนการกันใหม่ ตกลงได้ว่าควรรอขบวนที่สองเข้ามาเทียบชานชาลา แต่ว่าขบวนที่สองกว่าจะมามันก็กินเวลาไปถึงเช้ามืดของวันใหม่และจากคำตอบเดิมจากเจ้าหน้าที่ที่ว่า “ไม่แน่ใจว่าตู้จะว่างไหม” ดังมาเป็นระยะในหัวของพวกเรา เราจึงตัดสินใจเด็ดขาดด้วยแผนโง่ที่สุดที่ไม่เคยใช้สมองส่วนไหนคิดเลยคือหันคอแฮนด์จักรยานชี้เป้ามุ่งหน้าออกจากสถานีรถไฟ “เมื่อมันเอาขึ้นรถไฟไม่ได้ก็ปั่นกันไปแม่_งคืนนี้นี่แหละ!”
โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป...
เราพาจักรยานขึ้นเหนือด้วยสองขา มันคือการทดสอบความชอบด้วยการลงมือทำ
"ไม่แน่นอน"
คำว่าเดินทางคนส่วนใหญ่คิดว่าคือการท่องเที่ยว สำหรับผมไม่จำเป็นเสมอไปครับว่าคำว่าเดินทางต้องมากับคำว่าท่องเที่ยว แค่เดินออกจากบ้านไปซื้อของหน้าปากซอยผมเรียกว่าเดินทาง ถีบจักรยานไปเรียนหนังสือผมเรียกเดินทาง และปั่นจักรยานทางไกลมันก็คือการเดินทางอย่างหนึ่งที่ท้าทายชีวิตอย่างบรรลัย
ผม พชร และไก่งวง เป็นพี่น้องกันครับเราเติบโตกันที่จังหวัดพิจิตรและเราชอบการปั่นจักรยานเหมือนกันตอนนั้นจะเรียกว่าชอบก็คงไม่ถูกต้องนักเรียกว่ากระแสกำลังครอบงำเสียมากกว่าเพราะหันไปทางไหนใครใครเขาก็ปันจักรยานกัน วันดีคืนดีผม พชร ไก่งวง เกิดทะลึ่งคิดว่าการปั่นจักรยานไปมาระหว่างตำบลระหว่างอำเภอเป็นเรื่องที่ไม่ท้าทายไปแล้วพร้อมกับรู้สึกว่าไม่มีการค้นพบสิ่งใหม่ๆระหว่างทางเลย เอาอย่างนี้ไหมไก่งวง ผมถามไก่งวงด้วยสายตามุ่งมั่นว่า “ปั่นจักรยานไปเชียงใหม่กัน
เราสามคนเริ่มวางแผนการเดินทางอย่างคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์การเดินทางมาก่อนเลยในชีวิต อย่างแรกที่เราคิดคือการนำรถจักรยานของพวกเราขึ้นรถไฟไปปล่อยลงที่เชียงใหม่ในเวลาเช้าตรู่ของวันใหม่ จากนั้นก่อนสิ้นแสงตะวันผมอยากปั่นเล่นกินบรรยากาศของอ่างแก้วใน มช. เพราะได้ยินเขาว่ากันว่าสาวเชียงใหม่สวยไม่หยอก (เขาไหนวะ) ส่วนเช้าวันถัดมาเราจะปั่นขึ้นไปทรมานต้นขาท้าแรงโน้มถ่วงโลกขึ้นดอยสุเทพถ่ายรูปคู่กับจักรยานคู่ใจอวดลงใน Instagram ให้คนที่ไม่ได้ไปอิจฉาว่าข้าอยู่บนยอดดอยที่เป็นแลนด์มาร์กสำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นปล่อยให้สองล้อทำหน้าที่ของมันไหลสัมผัสพื้นถนนพร้อมชันชูคอหน้าเราให้ปะทะลมเย็นก่อนร่อนลงสู่พื้นด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 40 km/hr ส่วนตกดึกผมละอยากจะปั่นไป “ขัวเหล็ก” สะพานเหล็กที่ไข่ย้อยและดากานดาขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านในภาพยนตร์เรื่องเพื่อนสนิทเสียจริงเชียว และนอนพักผ่อนกันให้เต็มที่ก่อนที่ตื่นเช้ามาเราจะปั่นไหลลงกันทางทิศใต้ผ่านถนนที่ทอดผ่านแต่ละจังหวัดกลับบ้านเกิดจังหวัดพิจิตร แต่ด้วยที่ผมและพชรเคยสัญญากับพ่อไว้เสียดิบดีว่าถ้าพ่อซื้อจักรยานให้ พวกเราจะปั่นไปเยี่ยมเยือนพ่อถึงเชียงรายกันเลย ส่วนแผนต่อมาที่คิดกันไว้คือไม่มีครับไม่มีแผนเฉี้ยอะไรเลยเพราะขี้เกียจคิดครับ อ่าวซะงั้น!? เอาไว้ถึงเชียงใหม่ค่อยมานั่งคิดมันก็แล้วกันเนาะพวกแก (ฮา)
พวกเรามีเวลาเตรียมความพร้อมของร่างกายอยู่หนึ่งอาทิตย์ก่อนเราจะเดินเข้าไปหาวันเดินทางจริง ผมจำไม่ได้แล้วว่าวันไหนแต่มันเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาวที่อากาศกำลังต้อนรับนักปั่นอย่างเพื่อนสนิท แต่เอาเข้าจริงพวกเราดันมาทะลึ่งซ้อมปั่นกันมันวันสุดท้ายก่อนออกทางและระยะทางที่เราซ้อมกันก็ไม่ถึง 40 กิโลเมตร ปกติแล้วจากที่ทราบมาใครหน้าไหนที่จะออกปั่นทางไกลควรเตรียมความพร้อมร่างกายก่อนออกเดินทางหนึ่งอาทิตย์ ด้วยการปั่นระยะทางวันละไม่เกิน 100 กิโลเมตร อ้างอิงจาก a day ฉบับ Humanride เอาแล้วไงเฉี้ยแล้วไง แต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องออกเดินทางครับ วันถัดมาเราจัดแจงสัมภาระใส่กระเป๋าเดินทางรูดซิบทำหน้าตามุ่งมั่นเอาจริงเอาจังกับชีวิตอย่างกับคนไม่เคยพลาดอะไรในชีวิตมาก่อน ตกเย็นจวนจะหัวค่ำเราพกความตื่นเต้นไปสถานีรถไฟกันเต็มกระเป๋าพร้อมสัมภาระกองโต ตาจ้องมองหาตารางเวลารถไฟ กรุงเทพ-เชียงใหม่ และแสดงออกอย่างกระวนกระวายทางสายตาของนักเดินทางอ่อนหัด ว่านายสถานีมันจะอนุญาตให้ผมเอารถจักรยานขึ้นรถไฟกันไหม
ไก่งวง : ไม่ได้ถามเขาก่อนเหรอว่าเอาจักรยานขึ้นได้ไหม
ผม : ถาม...เขาบอกต้องดูก่อนว่าตู้ว่างไหม
ไก่งวง : แล้วถ้าไม่ว่างวะ
ผม : ...
ไก่งวง : ...
นั่นสิครับแล้วถ้าตู้มันไม่ว่างวะ ให้ตายซีผมนี่มันโง่จริงจริง ที่เหลือก็คงต้องรอให้เป็นหน้าที่ของเวลาที่กำลังรอให้เราไปหามันอย่างลุ้นระทึกปานกับลุ้นผลสอบแอดมิชชั่นหน้าจอคอมพิวเตอร์ ปู๊นนนน (เสียงรถไฟ) พร้อมไฟสว่างจ้าขนาดไม่น่าต่ำกว่า 1000 รูเมน ดาหน้าเข้ามาหาพวกเราตามรางเหล็กที่ใช้มานานนับทศวรรษ
ผม : เอ่อ...มีที่ว่างสำหรับรถจักรยานสามคันไหมครับ
เจ้าหน้าที่ : คงไม่มีนะน้อง ถ้าจะเอารถขึ้นต้องไปขึ้นที่สถานีต้นทางครับ
ผม : ครับ (เฉี้ยละ)
ผมเดินทำหน้าเมากาวมาหาสองคนนั้นด้วยความผิดหวังราวกับขับรถไปชนควายตายมา ทั้งสองคงรู้คำตอบจากสีหน้าและท่าทางของผมจึงไม่ถามหาคำตอบ เราจึงรวมหัวกันระดมพลังสมองสะเพร่าของเราคิดหาแผนการกันใหม่ ตกลงได้ว่าควรรอขบวนที่สองเข้ามาเทียบชานชาลา แต่ว่าขบวนที่สองกว่าจะมามันก็กินเวลาไปถึงเช้ามืดของวันใหม่และจากคำตอบเดิมจากเจ้าหน้าที่ที่ว่า “ไม่แน่ใจว่าตู้จะว่างไหม” ดังมาเป็นระยะในหัวของพวกเรา เราจึงตัดสินใจเด็ดขาดด้วยแผนโง่ที่สุดที่ไม่เคยใช้สมองส่วนไหนคิดเลยคือหันคอแฮนด์จักรยานชี้เป้ามุ่งหน้าออกจากสถานีรถไฟ “เมื่อมันเอาขึ้นรถไฟไม่ได้ก็ปั่นกันไปแม่_งคืนนี้นี่แหละ!”
โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป...