
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวง ได้เป็นประธานและร่วมลงนาม ในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่างมูลนิธิโครงการหลวง กับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในโครงการวิจัยและพัฒนาการปลูกและการผลิตกาแฟ ระบบอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และโครงการซื้อขายเมล็ดกาแฟดิบ ณ สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนฝ่าย ปตท. ร่วมลงนาม
หม่อมเจ้าภีศเดช กล่าวว่า กาแฟอราบิก้าเป็นพืชทางเลือกหนึ่ง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่เกษตรกรชาวเขา ปลูกทดแทนฝิ่นตั้งแต่ระยะเริ่มแรกของการก่อตั้งโครงการหลวง โดยโครงการหลวงได้ดำเนินงานวิจัย พัฒนาสายพันธุ์กาแฟอราบิก้าที่ดี ที่เหมาะสมกับพื้นที่ปลูก เพื่อส่งเสริมแก่เกษตรกรชาวเขาในพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวง จำนวน 24 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 88 หมู่บ้าน 9,500 ไร่ มีจำนวนประชากรที่ได้รับประโยชน์ 2,602 ครัวเรือน ผลิตผลกาแฟจำหน่ายออกสู่ตลาดกว่า 500 ตันต่อปี และสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร 40 ล้านบาท ขบวนการผลิตกาแฟโครงการหลวง เน้นการผลิตที่ปลอดภัย ด้วยวิธีการปลูกแบบผสมผสานกับพืชท้องถิ่น
ขณะที่นายไพรินทร์ กล่าวว่า ปตท. เห็นถึงความตั้งใจและศักยภาพในการวิจัย พัฒนาสายพันธุ์กาแฟอราบิก้าของมูลนิธิโครงการหลวง จึงนำมาสู่ร่วมมือระหว่าง ปตท. กับมูลนิธิโครงการหลวง เริ่มตั้งแต่ช่วยเสริมสร้างให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง บนพื้นฐานของการพึ่งพาตนเอง ในขณะเดียวกันคาเฟ่อเมซอน ก็จะได้วัตถุดิบเป็นเมล็ดกาแฟคุณภาพเพื่อผู้บริโภคที่มาใช้บริการ และผู้บริโภคก็ยังมีส่วนช่วยสนับสนุนเกษตรกร ให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น.
ปตท.โดดหนุนกาแฟโครงการหลวง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวง ได้เป็นประธานและร่วมลงนาม ในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่างมูลนิธิโครงการหลวง กับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในโครงการวิจัยและพัฒนาการปลูกและการผลิตกาแฟ ระบบอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และโครงการซื้อขายเมล็ดกาแฟดิบ ณ สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนฝ่าย ปตท. ร่วมลงนาม
หม่อมเจ้าภีศเดช กล่าวว่า กาแฟอราบิก้าเป็นพืชทางเลือกหนึ่ง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่เกษตรกรชาวเขา ปลูกทดแทนฝิ่นตั้งแต่ระยะเริ่มแรกของการก่อตั้งโครงการหลวง โดยโครงการหลวงได้ดำเนินงานวิจัย พัฒนาสายพันธุ์กาแฟอราบิก้าที่ดี ที่เหมาะสมกับพื้นที่ปลูก เพื่อส่งเสริมแก่เกษตรกรชาวเขาในพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวง จำนวน 24 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 88 หมู่บ้าน 9,500 ไร่ มีจำนวนประชากรที่ได้รับประโยชน์ 2,602 ครัวเรือน ผลิตผลกาแฟจำหน่ายออกสู่ตลาดกว่า 500 ตันต่อปี และสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร 40 ล้านบาท ขบวนการผลิตกาแฟโครงการหลวง เน้นการผลิตที่ปลอดภัย ด้วยวิธีการปลูกแบบผสมผสานกับพืชท้องถิ่น
ขณะที่นายไพรินทร์ กล่าวว่า ปตท. เห็นถึงความตั้งใจและศักยภาพในการวิจัย พัฒนาสายพันธุ์กาแฟอราบิก้าของมูลนิธิโครงการหลวง จึงนำมาสู่ร่วมมือระหว่าง ปตท. กับมูลนิธิโครงการหลวง เริ่มตั้งแต่ช่วยเสริมสร้างให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง บนพื้นฐานของการพึ่งพาตนเอง ในขณะเดียวกันคาเฟ่อเมซอน ก็จะได้วัตถุดิบเป็นเมล็ดกาแฟคุณภาพเพื่อผู้บริโภคที่มาใช้บริการ และผู้บริโภคก็ยังมีส่วนช่วยสนับสนุนเกษตรกร ให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น.