(ขอยืมล็อกอินคนรู้จักมานะคะ)
ขอเกริ่นก่อนนะคะ อย่างที่ทุกคนคงทราบอยู่เเล้วว่าการเรียนการสอนหลักสูตรแพทยศาสตร์และทันตแพทยศาสตร์ มีต้นทุนในการเรียน การสอนที่สูง...คณะแพทยฯ/ทันตแพทยฯ ของมหาวิทยาลัยรัฐฯ จึงได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นเงินต่อหัวนศ.ทุกปี…ทำให้บัณทิตเเพทย์ หรือทันตแพทย์จะต้องไปปฏิบัติงานในหน่วยงานรัฐฯเพื่อชดใช้ทุน เป็นเวลา 3 ปีหลังจบการศึกษา
ส่วนในมหาวิทยาลัยเอกชน ที่ไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐฯ จึงมีค่าเทอมที่เเพง (รวมทั้งหลักสูตรเป็นเงินหลายล้านบาท) แต่เมื่อจบเเล้วก็ไม่มีติดสัญญาที่จะต้องชดใช้ทุน ทำงานในหน่วยงานของรัฐฯ
เเต่เเล้วก็มีคณะฯ นึงในมหาวิทยาลัยรัฐแห่งนึง ได้เปิดหลักสูตรทวิภาษา ขึ้น ซึ่งเปิดรับนศ. โดยการสอบตรงผ่านมหาวิทยาลัย โดยแบ่งใช้โควต้าจำนวนนักศึกษาจากจำนวนนักศึกษาเดิมที่รับปัจจุบัน เเต่นศ.กลุ่มนี้จะต้องเสียค่าเทอมที่แพงกว่า นศ.ที่เข้ามาด้วยระบบอื่นๆ (รวมทั้งหลักสูตรเป็นเงิน 7,XXX,XXX)
ข้อสังเกตุที่1
คณะฯ ยังได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐฯเท่าเดิม เนื่องจากรับนศ.ภายใต้โควต้าจำนวนนศ.เดิมที่รัฐบาลสนันสนุน....ส่งผลให้ นศ.กลุ่มนี้ยังติดสัญญา ที่จะต้องทำงานในหน่วยงานรัฐฯ เพื่อชดใช้ทุนหลังจากจบการศึกษา เเม้จะจ่ายค่าเทอมเเพง (พอๆกันหรือสูงกว่า คณะเดียวกันในมหาวิทยาลัยเอกชน)
ข้อสังเกตุที่2
ทางคณะฯไม่ได้เปิดเผยหลักสูตร หรือวิธีการสอน ของหลักสูตรทวิภาษา นี้อย่างชัดเจนว่า นศ. ที่จะเข้ามาเรียนหลักสูตร (ที่แพง)พิเศษนี้ จะได้รับการเรียนการสอนที่แตกต่างจากนศ.หลักสูตรปกติอย่างไร คุ้มค่ากับค่าเทอมที่ต้องต่ายมากกว่าคนอื่นหลายเท่าตัวหรือไม่ (แม้เเต่อาจารย์ผู้สอนเองก็ยังไม่ทราบว่าจะต้องสอนอย่างไรกับนศ.กลุ่มนี้ที่กำลังจะเริ่มเรียนในเดือนหน้านี้)
อยากทราบความคิดเห็นจากคนส่วนใหญ่ ผู้ปกครอง เเละน้องนักเรียนที่กำลังจะศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยค่ะ คิดว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่....
ปล. ขอแสดงความเห็นส่วนตัว รู้สึกว่า เป็นการทำให้การศึกษากลายเป็นการค้าไปซะแล้ว... T_T และอีกอย่างไม่เเน่ใจว่าจะมีผลกระทบต่อจำนวนทันตแพทย์ที่จะไปทำงานชดใช้ทุนหรือไม่ เพราะจ่ายค่าเรียนตั้งหลายหลายล้าน...กับเงินชดใช้ทุนเเค่ 400,000 ก็คงสามารถจ่ายได้สบายๆ จะได้ไม่ต้องไปทำงานชดใช้ทุนในต่างจังหวัด หรือหน่วยงานรัฐ
คิดอย่างไรกับ หลักสูตรทวิภาษา ที่จ่ายค่าเทอมแพงเป็นหลักล้าน เเต่จบมาแล้วยังต้องใช้ทุนเพราะคณะฯยังรับเงินสนับสนุนจากรัฐ
ขอเกริ่นก่อนนะคะ อย่างที่ทุกคนคงทราบอยู่เเล้วว่าการเรียนการสอนหลักสูตรแพทยศาสตร์และทันตแพทยศาสตร์ มีต้นทุนในการเรียน การสอนที่สูง...คณะแพทยฯ/ทันตแพทยฯ ของมหาวิทยาลัยรัฐฯ จึงได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นเงินต่อหัวนศ.ทุกปี…ทำให้บัณทิตเเพทย์ หรือทันตแพทย์จะต้องไปปฏิบัติงานในหน่วยงานรัฐฯเพื่อชดใช้ทุน เป็นเวลา 3 ปีหลังจบการศึกษา
ส่วนในมหาวิทยาลัยเอกชน ที่ไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐฯ จึงมีค่าเทอมที่เเพง (รวมทั้งหลักสูตรเป็นเงินหลายล้านบาท) แต่เมื่อจบเเล้วก็ไม่มีติดสัญญาที่จะต้องชดใช้ทุน ทำงานในหน่วยงานของรัฐฯ
เเต่เเล้วก็มีคณะฯ นึงในมหาวิทยาลัยรัฐแห่งนึง ได้เปิดหลักสูตรทวิภาษา ขึ้น ซึ่งเปิดรับนศ. โดยการสอบตรงผ่านมหาวิทยาลัย โดยแบ่งใช้โควต้าจำนวนนักศึกษาจากจำนวนนักศึกษาเดิมที่รับปัจจุบัน เเต่นศ.กลุ่มนี้จะต้องเสียค่าเทอมที่แพงกว่า นศ.ที่เข้ามาด้วยระบบอื่นๆ (รวมทั้งหลักสูตรเป็นเงิน 7,XXX,XXX)
ข้อสังเกตุที่1
คณะฯ ยังได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐฯเท่าเดิม เนื่องจากรับนศ.ภายใต้โควต้าจำนวนนศ.เดิมที่รัฐบาลสนันสนุน....ส่งผลให้ นศ.กลุ่มนี้ยังติดสัญญา ที่จะต้องทำงานในหน่วยงานรัฐฯ เพื่อชดใช้ทุนหลังจากจบการศึกษา เเม้จะจ่ายค่าเทอมเเพง (พอๆกันหรือสูงกว่า คณะเดียวกันในมหาวิทยาลัยเอกชน)
ข้อสังเกตุที่2
ทางคณะฯไม่ได้เปิดเผยหลักสูตร หรือวิธีการสอน ของหลักสูตรทวิภาษา นี้อย่างชัดเจนว่า นศ. ที่จะเข้ามาเรียนหลักสูตร (ที่แพง)พิเศษนี้ จะได้รับการเรียนการสอนที่แตกต่างจากนศ.หลักสูตรปกติอย่างไร คุ้มค่ากับค่าเทอมที่ต้องต่ายมากกว่าคนอื่นหลายเท่าตัวหรือไม่ (แม้เเต่อาจารย์ผู้สอนเองก็ยังไม่ทราบว่าจะต้องสอนอย่างไรกับนศ.กลุ่มนี้ที่กำลังจะเริ่มเรียนในเดือนหน้านี้)
อยากทราบความคิดเห็นจากคนส่วนใหญ่ ผู้ปกครอง เเละน้องนักเรียนที่กำลังจะศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยค่ะ คิดว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่....
ปล. ขอแสดงความเห็นส่วนตัว รู้สึกว่า เป็นการทำให้การศึกษากลายเป็นการค้าไปซะแล้ว... T_T และอีกอย่างไม่เเน่ใจว่าจะมีผลกระทบต่อจำนวนทันตแพทย์ที่จะไปทำงานชดใช้ทุนหรือไม่ เพราะจ่ายค่าเรียนตั้งหลายหลายล้าน...กับเงินชดใช้ทุนเเค่ 400,000 ก็คงสามารถจ่ายได้สบายๆ จะได้ไม่ต้องไปทำงานชดใช้ทุนในต่างจังหวัด หรือหน่วยงานรัฐ