เมื่อความกลัวมาเยือน แล้วปัญญาชนไทย จะอยู่ในสถานะไหน โดย ศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ

การเมืองวัฒนธรรม  มติชนสุดสัปดาห์
 
 
สิ่งที่ได้ประสบพบเห็นชั่วสองเดือนที่ผ่านมาจากนักการเมือง นักเคลื่อนไหวมวลชน นิสิตนักศึกษา อาจารย์ นักวิชาการ นักกฎหมาย ทนายความ นักหนังสือพิมพ์ บรรณาธิการ กวี นักเขียน ดารา นักร้อง นักแต่งเพลง นักปกป้องสิทธิมนุษยชน เทคโนแครต พระสงฆ์ ฯลฯ ซึ่งอาจรวมเรียกว่า "ปัญญาชน" บางท่านบางคนในบ้านเรา ซึ่งบ้างก็งดงามบรรเจิด บ้างก็ทุเรศอัปลักษณ์ บ้างก็สั่นสะเทือนตื้นตันใจจนน้ำตาปรี่ไหล แต่บ้างก็ชวนส่ายหน้าสบถด้วยอิดหนาระอาใจเหล่านี้
 
ทำให้ผมนึกถึงถ้อยความบาดก้นบึ้งหัวใจที่เคยอ่านพบเมื่อ20 ปีก่อน ข้างต้นจากปาฐกถาของ เอ็ดเวิร์ด ซาอิด ปัญญาชนนักวิชาการด้านวรรณกรรมวิจารณ์ชื่อดังชาวอเมริกันเชื้อสายปาเลสไตน์ผู้ล่วงลับ ที่รณรงค์ต่อสู้อย่างเข้มแข็งชั่วชีวิตเพื่อสิทธิของชาวปาเลสไตน์ผู้ถูกอิสราเอลยึดครองกดขี่บังคับขับไส
 
แรกอ่านแม้จะกินใจแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากจวบจนโลกหมุนพาเรามาประสบพบเจอ "ปีศาจแห่งการเปรียบเทียบ" ("the Spectre of Comparisons" ตามสำนวนของ ครูเบน แอนเดอร์สัน ที่รวบยอดความคิดขึ้นมาจากการอ่านนิยายของ โฮเซ่ ริซาล ปัญญาชนชาตินิยมปฏิวัติชาวฟิลิปปินส์) อีกครั้ง เหมือนถูกปีศาจจากความรับรู้ประสบพบเห็น ในอดีต/ที่อื่นหลอกหลอนแวบวาบทาบแซมในครรลองตาและครรลองคิดอีกครา ไม่สามารถที่จะมองปัจจุบัน/ที่นี่ได้ โดยไม่ถูก "หลอน" หรืออ่านเปรียบเทียบกับอดีต/ที่อื่นได้เลย และ ณ ขณะจิตนั้นก็สว่างวาบขึ้นในใจจนอดรำพึงไม่ได้ว่า "รู้จัก" มันนี่หว่า "จดจำ" มันได้แล้ว (ทั้งที่อาจไม่เคยพบเห็นมันมาก่อนเลยก็ได้) ที่แท้มันเป็นอย่างนี้นี่เอง!
 
ก็ต้องขอขอบคุณ "จักรวรรดินิยม" ทางการศึกษาและวัฒนธรรมอเมริกันด้วยสำนึกตื้นตันไว้ ณ ที่นี้
 
 
 
รู้จัก จดจำมันได้อย่างไรหรือ? อย่างนี้ครับ...
 
ในทางการเมืองวัฒนธรรม ระเบียบนิยมอำนาจหนึ่งๆ ย่อมปกครองโดยอาศัยความกลัวกับความเชื่อเป็นเครื่องมือ โดยเฉพาะกลไกรัฐราชการรวมศูนย์ซึ่งคุ้นชินกับระเบียบนิยมอำนาจมายาวนาน แม้ในยามที่ระบอบการเมืองเป็นประชาธิปไตย แต่โครงสร้างธรรมเนียมค่านิยมภายในของกลไกดังกล่าว ยังมีซากเดนเชื้อมูลนิยมอำนาจแน่นหนา

ระเบียบนิยมอำนาจใช้ความกลัวควบคุมผู้คน 2 แบบ แบบหนึ่งคือ [กลัว+เชื่อ] และอีกแบบคือ [กลัว+ไม่เชื่อ] แล้วแต่กรณี
 
ต่อคนทั่วไป ระเบียบนิยมอำนาจอาจใช้วิธีทำให้กลัวต่างชาติบ้าง หรือหวาดระแวงคนร่วมชาติเดียวกันเองบ้าง โดยปลูกฝังความเชื่อว่าคนเห็นต่างทางการเมืองไม่ใช่คนสัญชาติเดียวกัน แปลกต่าง อันตราย เพื่อแสวงหา ความมั่นคงปลอดภัย คนทั้งหลายควรหันมาพึ่งใบบุญอุปถัมภ์ของอำนาจ หรือนัยหนึ่งหันมาเชื่ออำนาจและกลัวอำนาจนั้นแทน

ภายใต้ระเบียบนิยมอำนาจแบบแรกนี้ ภัยต่อความมั่นคงเกิดขึ้นได้เพียงใครสักคนโพล่งขึ้นว่า : "ข้าไม่เชื่อ" เพราะในเวลาอันสั้นมันอาจลุกลามไปเป็น "ข้าไม่กลัว"
 
ถึงจุดนั้นก็หมดกัน
 
อย่างไรก็ตามสำหรับ "ปัญญาชน" ซึ่งถูกฝึกมาโดยวิชาชีพให้ตั้งคำถาม ค้นคว้าหาความรู้ แสวงหาคำตอบที่เป็นไปได้ ไม่เชื่อง่ายๆ ขี้สงสัย วิพากษ์วิจารณ์ ขอบฟ้าโลกทัศน์กว้างขวางหลากหลายข้ามพรมแดนนานาภาษาตามสมควรนั้น วิธีการควบคุมแบบ [กลัว+เชื่อ] อาจไม่ได้ผล ระเบียบนิยมอำนาจอาจต้องหันไปใช้วิธีคุมแบบ [กลัว+ไม่เชื่อ] แทน
 
แต่การให้ปัญญาชนอยู่แบบ [กลัว+ไม่เชื่อ] นั้นเป็นอย่างไรหรือ?
 
ผมคิดว่ามันคือการอยู่แบบ [กลัว+แกล้งเชื่อ], [กลัว+แกล้งไม่กลัว], และ [กลัว+แกล้งไม่แกล้ง]
 
ปัญญาชนที่ร่ำเรียนเชี่ยวชาญวิทยาการสมัยใหม่แบบตะวันตกมีความรู้ความชำนาญและทักษะอันจำเป็นสำหรับการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะสำหรับประเทศกำลังพัฒนาหรือตลาดเกิดใหม่ การปฏิบัติของระเบียบนิยม อำนาจต่อปัญญาชนจึงมักนุ่มนวลอะลุ้มอล่วยกว่าคนกลุ่มอื่น ไม่ได้แปลว่าไม่ใช้มาตรการรุนแรง เพียงแต่หากใช้ความรุนแรงเข้ากดดันบังคับควบคุมปราบปรามก็มักจำกัดวง เฉพาะราย เฉพาะกรณีหรือชั่วคราว เปิดช่องให้ประนีประนอมยอมความ หวนกลับคืนมาสู่อ้อมกอดรัดของระเบียบนิยมอำนาจได้หากยอมรับเงื่อนไข เพื่อร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาประเทศชาติบ้านเมืองสืบต่อไป
 
ความกลัวแบบที่ปัญญาชนเผชิญจึงไม่เชิงกลัวภยันตรายทางกายภาพแต่มักเป็นความกลัวทางจริยธรรม (ethical fear-Vaclav Havel, The Power of the Powerless) มากกว่า
 
อะไรหรือคือความกลัวทางจริยธรรมที่ว่า?
 

มันคือกลัวลึกๆในมโนสำนึก รู้ตัวว่าในโลกการเมืองภายนอกมีเส้นบางๆ ที่มองไม่เห็นบางเส้นขีดคั่นขวางกั้นอยู่ ที่สำคัญคืออย่าไปพูดเขียนหรือทำล้ำเส้นเข้า มิฉะนั้น จะเดือดร้อน
 
ความตระหนักรู้ตัวถึงเส้นอันตรายที่มองไม่เห็นแต่ห้ามล้ำเส้นนี้เริ่มต้นอาจเป็นวิตกกังวลทว่า นานเข้าก็ชักคุ้นเคยกับการคุกคาม ว่าโลกเราก็เป็นอย่างนี้แหละ เส้นมองไม่เห็นนั้นก็เหมือนภูมิประเทศตามธรรมชาติที่ต้องหลีกหลบลัดเลาะอ้อมไป
 
เหมือนภูเขาแม่น้ำ หุบเหว ต้นไม้ ขอนไม้ หรือตอไม้ที่ต้องคอยยกเท้าข้ามเป็นประจำเมื่อเจอจนกลายเป็นนิสัย เป็นอัตโนมัติ
 
จิตใต้สำนึก เดินผ่านแถวนี้ทีไรเป็นต้องยกเท้าไว้ก่อนทุกที แม้จนบางทีไม่มีตอแล้วก็ยังยก ไม่มีขอนไม้ให้ลอดแล้วก็ยังหมอบราบ กราบกราน ค่อยๆ ปรับตัว ปรับจริยธรรมของตัว จนเข้ากับระดับและลักษณะภูมิประเทศทางจริยธรรมที่ระเบียบนิยมอำนาจนั้นๆ คาดหมายเรียกร้องเอาจากพลเมืองดีของตน

ความกลัวทางจริยธรรมนี้ปกติจึงไม่แสดงอาการออกให้เห็นเด่นชัดโต้งๆว่ากลัว เพราะผู้กลัวคือตัวตน ทางจริยธรรม ศีลธรรม มโนธรรมในใจลึกๆ ซึ่งในสถานการณ์หนึ่งๆ เมื่อมโนธรรมจริยธรรมเรียกร้องให้แสดงตัว แสดงจุดยืน ออกมาต่อต้านคัดค้านการกระทำภายนอกที่ไม่ชอบธรรมแล้วก็ไม่ออกมา ไม่กล้าออกมา เพราะกลัวที่จะออกมา ตัวตนนั่นต่างหากที่ถูกทำร้าย ดัดแปลง กลับกลาย เปลี่ยนสีแปรธาตุ ถูก unman (คานธี) หรือจับตอนจนกลายเป็นขันทีทางจริยธรรมไปในที่สุด
 
จากเดิมที่อาจรู้สึกละอายต่อมโนธรรมของตัวเปลี่ยนเป็นมโนธรรมชักด้านเข้าหนาเข้า และปรับมโนธรรม ให้เข้ากับตัวตนใหม่ที่เปลี่ยนไป
 
งั้นที่ปัญญาชนกลัวนั้นคืออะไร?

 
นอกเหนือจากความกลัวภยันตรายทางกายภาพซึ่งย่อมมีร่วมกับคนกลุ่มอื่นสิ่งที่ปัญญาชนกลัวเป็นการเฉพาะกลุ่มตนคือกลัวผู้ใหญ่ในวงการไม่เอ็นดูเมตตาอุปถัมภ์บ้าง กลัวไม่ได้ทุนวิจัยบ้าง ไม่ได้รับเชิญไปร่วมประชุมใหญ่ทั้งในและต่างประเทศบ้าง กลัวขอตำแหน่งวิชาการไม่ได้บ้าง กลัวเข้าไม่ถึงแวดวงผู้กำหนดนโยบาย ไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการร่างกฎหมายและร่างรัฐธรรมนูญบ้าง ไม่ได้ตำแหน่ง ฐานะ อำนาจ อภิสิทธิ์ ชื่อเสียง ความนับหน้าถือตา กลัวไม่ได้ใช้ชีวิตบริโภคนิยมอย่างเคยหรืออย่างที่ฝันไว้บ้าง หรือแม้กระทั่งกลัวเชย กลัวถูกหัวเราะเยาะบ้าง เป็นต้น

เหมือนมีเสียงโหงพรายมากระซิบข้างหูตลอดเวลาว่า :-
 
"ส่วนตัวน้องอยากคิดอะไรก็คิดไป แต่เวลาออกตัวในที่สาธารณะต้องแสดงว่าเห็นด้วย อย่าก่อเรื่องยุ่ง อย่าไปแคร์สัจจะความจริงมาก ปิดปากมโนธรรมสำนึกของน้องเสีย แล้วพี่จะเปิดประตูกว้างต้อนรับน้อง"
 
"การเมืองน่ะอย่าไปยุ่งปล่อยให้เป็นธุระของพวกพี่ ทำตามที่พี่บอก อย่าคิดลึกคิดมาก อย่าแส่เข้าไปยุ่งเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับน้อง หุบปากซะ สอนหนังสือ/รายงานข่าว/เขียนคอลัมน์/วิจัยไป ดูแลตัวเองกับครอบครัวให้ดี แล้วน้องก็จะสบาย"
 
ชีวิตแบบ [กลัว+ไม่เชื่อ] ของปัญญาชนใต้ระเบียบนิยมอำนาจจึงเหมือนอยู่แบบเสแสร้งไปวันๆ ไม่รู้จบ ใช้ชีวิตเหมือนทดลองคำโกหกทีละคำๆ ไปเรื่อยๆ (คานธี, ข้าพเจ้าทดลองความจริง) เพื่อตัวกู ความก้าวหน้าในอาชีพการงานของกู

นานเข้าก็ชักชาเฉย ไม่แคร์ ซังกะตาย เฉื่อยเนือย ทำตัวอยู่ในกรอบในร่องในรอย เดินตามรูตีน (routine) บริโภคส่วนตัวหนักๆ เพื่อจะได้ลืมและหนีการเมือง
 
ถามว่าเอกลักษณ์ของกูคืออะไร?ตัวกูเองก็ไม่รู้ แล้วแต่เจ้านายอยากให้เป็นอะไร ปีก่อนอาจโลกาภิวัตน์สุดๆ ปีนี้พอเพียงถึงขนาด ปีหน้าไม่แน่อาจจะเออีซีก็เป็นได้ จากเดิมไม่เชื่อ อาจกลายเป็นเชื่อก็ได้ เพราะไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันก็ไม่สำคัญอะไรต่อชีวิตแล้วมิใช่หรือ?
 
ในระเบียบนิยมอำนาจ วิธีจัดการปัญญาชนให้ได้ผลที่สุดก็คือไม่ให้พวกเขาเป็นมรณสักขีผู้เสียสละ (martyr) หากเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นผู้อยู่รอด (survivor) หรือดีกว่านั้นคือเป็นบริกรทางปัญญา (intellectual service worker)

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว อย่าให้เสียของเลย...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่