ถามผู้รู้เกี่ยวกับเรื่องสิทธิผู้ป่วย / โรงพยาบาลหน่อยค่ะ
วันที่ 29 ม.ค. 57
ดิฉันไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลย่านมีนบุรีตามสิทธิประกันสังคม ด้วยอาการอ่อนเพลียเนื่องจากประจำเดือนมามากกว่าปกติ มาได้ประมาณ 2 สัปดาห์ แพทย์ตรวจปัสสาวะ ผลตรวจพบว่าดิฉันท้อง จึงส่งตัวไปพบแพทย์เฉพาะทาง หมอทำการตรวจภายใน อัลตร้าซาวน์ เจาะเลือดเพื่อดูระดับของฮอร์โมน เสร็จให้กลับบ้านได้
วันที่ 5 ก.พ. 57
ดิฉันได้มาตามที่หมอนัด หมอได้แจ้งเกี่ยวกับระดับฮอร์โมนว่ามีระดับที่สูง หมอทำการอัลตร้าซาวน์บอกว่าเจอตัวอ่อนที่น่าสงสัยอยู่ 2 จุด คือ ตรงปีกมดลูกข้างซ้าย และปากมดลูก จึงเจาะเลือดเพื่อดูระดับของฮอร์โมน เสร็จให้กลับบ้านได้
วันที่ 12 ก.พ. 57
ดิฉันได้มาตามที่หมอนัดอีกครั้ง หมอได้แจ้งผลตรวจของระดับฮอร์โมนการตั้งครรภ์ว่ามีระดับที่สูงขึ้น หมอจึงทำการอัลตร้าซาวน์อีกครั้งบอกว่าเจอตัวอ่อนอยู่บริเวณปีกมดลูกข้างซ้าย สรุปต้องทำการผ่าตัดปีกมดลูกข้างซ้ายออก จากนั้นดิฉันจึงได้รับการผ่าตัดทางหน้าท้อง (โดยวิธีบล็อกหลัง) หลังที่ทำการผ่าตัดไปแล้ว วันที่ 13 ก.พ. 57 หมอแจ้งให้ทราบว่าผ่าเข้าไปแล้วไม่พบตัวอ่อนในปีกมดลูก หมอจึงทำการเย็บกลับไปเป็นเหมือนเดิม แล้วจึงวินิจฉัยต่อไปว่าตัวอ่อนน่าจะฝั่งตัวอยู่บริเวณปากมดลูกต้องทำขูดมดลูกแต่ยังไม่สามารถทำการขูดได้ทันทีเพราะต้องพักรักษาตัวจากแผลผ่าตัดหน้าท้องก่อน
ดิฉันตกใจมาก เพราะเหมือนการผ่าตัดครั้งนี้ต้องเจ็บตัวฟรี แถมหมอยังมาวินิจฉัยให้งงเพิ่มต่อไปอีกว่าตัวอ่อนน่าจะไปอยู่ตรงอื่นแทน ดิฉันรู้สึกแย่กับการวินิจฉัยของหมอ ที่เหมือนเป็นการคาดเดาแบบสุ่มมาก
ดิฉันนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลา 4 วัน (12-15 ก.พ. 57) แล้วจึงขอกลับบ้าน ในระหว่างที่พักรักษาตัวที่บ้านยังมีอาการเจ็บบริเวณท้องน้อย กระดูกสันหลัง และบริเวณแผลผ่าตัด มีเลือดไหลออกจากช่องคลอดอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้นหมอนัดดูอาการอาทิตย์ละ 1 ครั้ง โดยการเจาะเลือดหาระดับฮอร์โมน แล้วทำการอัลตร้าซาวน์ จากผลการตรวจหมอแจ้งว่าระดับฮอร์โมนการตั้งครรภ์ลดลง เลือดมีการกระจายตัวและมีการหลุดไหลออกมาโดยที่ร่างกายขับออกมาเอง
วันที่ 14 มี.ค. 57
รู้สึกว่าเจ็บและเย็นที่กระดูกสันหลัง คลื่นไส้ เจ็บมดลูกมาก เลือดไหลออกทางช่องคลอดตัดสินใจไปโรงพยาบาลอีกครั้ง หมอทำการตรวจ บอกว่าต้องทำการขูดมดลูกด่วน คุยกับหมอขอย้ายโรงพยาบาลไปโรงพยาบาลพระมงกุฏ แต่มีปัญหาเกี่ยวกับหมอและเตียงคนไข้ จึงตัดสินใจรักษาต่อที่โรงพยาบาลเดิมแต่เปลี่ยนหมอผู้ให้การรักษาใหม่ (เพราะไม่มั่นใจในการรักษาจากหมอท่านเดิม)
วันที่ 17 มี.ค. 57
เข้ารับการรักษาตัวอีกครั้งตามที่หมอคนใหม่นัดเพื่อทำการขูดมดลูก หลังจากการขูดมดลูกเสร็จ เลือดไหลออกมามากกว่าปกติจึงต้องนอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการเป็นเวลาอีก 1 วัน (17 มี.ค. 57-18 มี.ค. 57) หลังจากการขูดมดลูกในครั้งนี้เลือดก็ยังไหลออกทางช่องคลอดกับเจ็บบริเวณแผลที่ผ่าตัดและบริเวณใกล้เคียงจนถึงปัจจุบัน
หลังจากผ่าตัดหยุดงานเกินกว่าที่บริษัทกำหนด บริษัทหักเงินเดือนตามจำนวนที่หยุด เสียประวัติการทำงาน
การใช้ชีวิตประจำวันลำบาก คือจะทำอะไรจากที่ค่อยทำก็ไม่คล่องตัวเหมือนเดิม ปวดหลังมากเวลานั่งนานๆ ไม่ค่อยได้ สุขภาพจิตเสีย ผลจากการผ่าตัดทำให้กลัวการเข้าพบหมอ เครื่องมือแพทย์ และกระทั่งเข็มฉีดยา
โดยปกติจะเลี้ยงลูกวัย 5 ขวบเอง แต่หลังการผ่าตัดสุขภาพไม่แข็งแรงจึงต้องจ้างคนมาดูแลแทน เป็นเวลาหลายเดือน
และต้องเดินทางไปหาหมอทุกอาทิตย์ (ระยะเวลา 29 ม.ค. 57 จนถึงปัจจุบัน)
หลังที่พบว่าน่าจะเกิดข้อผิดพลาดในการรักษาของหมอคนแรก จึงได้เจรจาเรียกร้องกับทางโรงพยาบาลให้รับผิดชอบ ทางโรงพยาบาลได้รับเรื่องไปดำเนินการ (ตั้งแต่เดือน เม ย.-กค.)
ผลสรุปทาง ร.พ. แจ้งกลับมาว่า ไม่สามารถจ่ายค่าสินไหมที่เรียกร้องได้ โดยอ้างว่าหมอทำการรักษาตามมาตรฐานทางการแพทย์แล้ว

อยากถามทุกท่านที่มีความรู้ว่าคนไข้พอจะเรียกร้องหรือสามารถฟ้องร้องกับทาง ร.พ. ได้หรือเปล่า หรือควรจะทำยังไงได้บ้างค่ะ (เสียลูกก็เสียใจมากพอแล้วยังต้องมาเจ็บตัวฟรีๆ อีกด้วยหรือ)
ความผิดพลาดในการวินิจฉัยของหมอทำชีวิตเปลี่ยน
วันที่ 29 ม.ค. 57
ดิฉันไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลย่านมีนบุรีตามสิทธิประกันสังคม ด้วยอาการอ่อนเพลียเนื่องจากประจำเดือนมามากกว่าปกติ มาได้ประมาณ 2 สัปดาห์ แพทย์ตรวจปัสสาวะ ผลตรวจพบว่าดิฉันท้อง จึงส่งตัวไปพบแพทย์เฉพาะทาง หมอทำการตรวจภายใน อัลตร้าซาวน์ เจาะเลือดเพื่อดูระดับของฮอร์โมน เสร็จให้กลับบ้านได้
วันที่ 5 ก.พ. 57
ดิฉันได้มาตามที่หมอนัด หมอได้แจ้งเกี่ยวกับระดับฮอร์โมนว่ามีระดับที่สูง หมอทำการอัลตร้าซาวน์บอกว่าเจอตัวอ่อนที่น่าสงสัยอยู่ 2 จุด คือ ตรงปีกมดลูกข้างซ้าย และปากมดลูก จึงเจาะเลือดเพื่อดูระดับของฮอร์โมน เสร็จให้กลับบ้านได้
วันที่ 12 ก.พ. 57
ดิฉันได้มาตามที่หมอนัดอีกครั้ง หมอได้แจ้งผลตรวจของระดับฮอร์โมนการตั้งครรภ์ว่ามีระดับที่สูงขึ้น หมอจึงทำการอัลตร้าซาวน์อีกครั้งบอกว่าเจอตัวอ่อนอยู่บริเวณปีกมดลูกข้างซ้าย สรุปต้องทำการผ่าตัดปีกมดลูกข้างซ้ายออก จากนั้นดิฉันจึงได้รับการผ่าตัดทางหน้าท้อง (โดยวิธีบล็อกหลัง) หลังที่ทำการผ่าตัดไปแล้ว วันที่ 13 ก.พ. 57 หมอแจ้งให้ทราบว่าผ่าเข้าไปแล้วไม่พบตัวอ่อนในปีกมดลูก หมอจึงทำการเย็บกลับไปเป็นเหมือนเดิม แล้วจึงวินิจฉัยต่อไปว่าตัวอ่อนน่าจะฝั่งตัวอยู่บริเวณปากมดลูกต้องทำขูดมดลูกแต่ยังไม่สามารถทำการขูดได้ทันทีเพราะต้องพักรักษาตัวจากแผลผ่าตัดหน้าท้องก่อน
ดิฉันตกใจมาก เพราะเหมือนการผ่าตัดครั้งนี้ต้องเจ็บตัวฟรี แถมหมอยังมาวินิจฉัยให้งงเพิ่มต่อไปอีกว่าตัวอ่อนน่าจะไปอยู่ตรงอื่นแทน ดิฉันรู้สึกแย่กับการวินิจฉัยของหมอ ที่เหมือนเป็นการคาดเดาแบบสุ่มมาก
ดิฉันนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลา 4 วัน (12-15 ก.พ. 57) แล้วจึงขอกลับบ้าน ในระหว่างที่พักรักษาตัวที่บ้านยังมีอาการเจ็บบริเวณท้องน้อย กระดูกสันหลัง และบริเวณแผลผ่าตัด มีเลือดไหลออกจากช่องคลอดอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้นหมอนัดดูอาการอาทิตย์ละ 1 ครั้ง โดยการเจาะเลือดหาระดับฮอร์โมน แล้วทำการอัลตร้าซาวน์ จากผลการตรวจหมอแจ้งว่าระดับฮอร์โมนการตั้งครรภ์ลดลง เลือดมีการกระจายตัวและมีการหลุดไหลออกมาโดยที่ร่างกายขับออกมาเอง
วันที่ 14 มี.ค. 57
รู้สึกว่าเจ็บและเย็นที่กระดูกสันหลัง คลื่นไส้ เจ็บมดลูกมาก เลือดไหลออกทางช่องคลอดตัดสินใจไปโรงพยาบาลอีกครั้ง หมอทำการตรวจ บอกว่าต้องทำการขูดมดลูกด่วน คุยกับหมอขอย้ายโรงพยาบาลไปโรงพยาบาลพระมงกุฏ แต่มีปัญหาเกี่ยวกับหมอและเตียงคนไข้ จึงตัดสินใจรักษาต่อที่โรงพยาบาลเดิมแต่เปลี่ยนหมอผู้ให้การรักษาใหม่ (เพราะไม่มั่นใจในการรักษาจากหมอท่านเดิม)
วันที่ 17 มี.ค. 57
เข้ารับการรักษาตัวอีกครั้งตามที่หมอคนใหม่นัดเพื่อทำการขูดมดลูก หลังจากการขูดมดลูกเสร็จ เลือดไหลออกมามากกว่าปกติจึงต้องนอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการเป็นเวลาอีก 1 วัน (17 มี.ค. 57-18 มี.ค. 57) หลังจากการขูดมดลูกในครั้งนี้เลือดก็ยังไหลออกทางช่องคลอดกับเจ็บบริเวณแผลที่ผ่าตัดและบริเวณใกล้เคียงจนถึงปัจจุบัน
หลังจากผ่าตัดหยุดงานเกินกว่าที่บริษัทกำหนด บริษัทหักเงินเดือนตามจำนวนที่หยุด เสียประวัติการทำงาน
การใช้ชีวิตประจำวันลำบาก คือจะทำอะไรจากที่ค่อยทำก็ไม่คล่องตัวเหมือนเดิม ปวดหลังมากเวลานั่งนานๆ ไม่ค่อยได้ สุขภาพจิตเสีย ผลจากการผ่าตัดทำให้กลัวการเข้าพบหมอ เครื่องมือแพทย์ และกระทั่งเข็มฉีดยา
โดยปกติจะเลี้ยงลูกวัย 5 ขวบเอง แต่หลังการผ่าตัดสุขภาพไม่แข็งแรงจึงต้องจ้างคนมาดูแลแทน เป็นเวลาหลายเดือน
และต้องเดินทางไปหาหมอทุกอาทิตย์ (ระยะเวลา 29 ม.ค. 57 จนถึงปัจจุบัน)
หลังที่พบว่าน่าจะเกิดข้อผิดพลาดในการรักษาของหมอคนแรก จึงได้เจรจาเรียกร้องกับทางโรงพยาบาลให้รับผิดชอบ ทางโรงพยาบาลได้รับเรื่องไปดำเนินการ (ตั้งแต่เดือน เม ย.-กค.)
ผลสรุปทาง ร.พ. แจ้งกลับมาว่า ไม่สามารถจ่ายค่าสินไหมที่เรียกร้องได้ โดยอ้างว่าหมอทำการรักษาตามมาตรฐานทางการแพทย์แล้ว